คงเป็นคำถามที่ถามกันบ่อยๆ สำหรับคนที่สนใจจะไปเรียนต่อต่างประเทศ โดยเฉพาะ อเมริกา อังกฤษ หรือ ออสเตเรีย ว่าระหว่างสอบโทเฟลกับไอเอล อย่างไหนดีกว่ากัน
ถ้าเป็นสมัยก่อน คนที่จะไปเรียนอเมริกา ต้องสอบโทเฟล ในขณะทีไปอังกฤษกับออสเตรีย ต้องสอบไอเอล แต่ปัจจุบันนี้ มหาวิทยลัยเปิดรับคะแนนจากทั้งสองสถาบันมากขึ้น
ก่อนอื่นต้องออกตัวก่อนว่า
ไม่ได้เก่งภาษาอังกฤษขั้นเทพอะไรนะครับ คะแนนก็กลางๆอ่ะ เพียงแต่ปัญหาที่ตัวเองเคยเจอ คือ ไม่มีใครแนะนำเรื่องการเตรียมตัวสอบ โดยเฉพาะ ค้นในเนต ก็จะเจอแต่รีวิว เก่าๆๆ ของเพื่อนๆ ยังไม่มีใครรีวิว เวอร์ชั่นใหม่ๆบ้าง และน้อยคนนักที่จะสอบทั้งสองสถาบัน จึงคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์แก่เพื่อนๆนะครับ
ส่วนตัวผมจะไปเรียนต่อที่อเมริกา เลยลองสอบโทเฟลดู แต่เนื่องจาก ที่ที่ผมจะไปเรียนเขาต้องการ speaking 20 ผมสอบได้ 19 เขาไม่รับ สอบไปสองครั้ง ก็ยังไม่ได้ (เศร้า และ จน เพราะ กระเป๋าแฟบในพริบตา - -" )
ผมเลยลองไปสอบ ไอเอล ดู (ผลยังไม่ออกนะครับ) ซึ่งเขาว่าง่ายกว่า แต่ในความคิดผม มันไม่ได้ง่ายกว่า โทเฟลทั้งหมดนะครับ
หลายคนคงโดนขู่มาว่า toefl ยากกว่า ielts มาก จึงควรสอบ ielts ส่วนตัว สำหรับความเห็นผมนั้นต่างไปนะครับ เพราะ toefl ในส่วนreading และ listening ง่ายกว่า ielts นะครับ ในขณะที่ ielts speaking and writing ง่ายกว่า โทเฟลครับ
Reading
ด้วยเหตุผลหลายๆข้อเลย
1.เวลา เท่ากันทั้งโทเฟล และ ไอเอล คือ 60 นาที แบ่งเป็น 3 เรื่องหลัก ถ้าใครเจอ 4 ก็คือว่าแจ็คพอตไป 5555 แต่ทั่วไปคือ 3 และแต่ละเรื่องจะมี 13-14 ข้อ เหมือนกันทั้งโทเฟล และ ไอเอล
2.เนื้อหา โทเฟล
บางคนบอกว่า เนื้อหาวิชาการกว่า ไอเอล และยากกว่า ผมว่าไม่จริงนะครับ ผมว่า โทเฟล practical มากกว่า คือ เขาเอาบทความใน textbooks หรือ เนื้ัอหาวิชาการมา (ซึ่งในความเป็นจริง เราไปเรียนต่อก็ต้องอ่านความรู้จาก textbooks พวกนี้อยู่แล้ว) มากกว่าที่จะอ่านบทความจากแหล่งความรู้อื่น เช่น วารสาร วิจัย บลา บลา.....เหมือนไอเอล การวัดความรู้ของโทเฟล ผมเลยคิดว่า ตรงประเด็นและเป็นทักษะที่นำไปใช้ในชีวิตจริงในการเรียน มากกว่า ไอเอล
3. ข้อสอบ โทเฟล จะเน้น ไปที่ความรู้ความเข้าใจ และ การตีความมากกว่า เช่น in the first paragraph .... imply that.... คือ หน้าที่เราคืออ่านบทความ และตีความ ใน เนื้อหาตรงนั้น และเอามาตอบคำถาม ซึ่งแน่นอน ในความเป็นจริง การเรียนมหาวิทยาลัย ทักษะการสรุปความเป็นสิ่งสำคัญ และต้องเอาไปใช้จริง การวัดความรู้ของผู้สอบก่อนไปเรียน ผมว่า สำคัญ และ โทเฟลก็ทำได้ตรงประเด็น หรือ โจทย์ที่ถามความหมายคำศัพท์ ก็ ใช้ได้จริง คือ ถ้าคุณรู้ความหมาย คุณก็ทำข้อสอบได้เลย แต่ถ้าไม่รู้ อ่านประโยคบริบท ก็ตอบได้
ในขณะที่ reading ielts จะยากกว่า มากๆๆๆๆ ......(ถ้าคนเคยสอบ) จะรู้ว่า ielts ถ้าคุณหา key words เจอ คุณก็จะตอบคำถามนั้นได้ ซึ่งในแต่ละข้อคุณก็ต้องวนหาทั้ง paragraph ซ้ำไปซ้ำมา เพื่อหาประโยค parallel กับโจทย์ ฉะนั้นในเวลาที่จำกัด การที่หาประโยคเจอนั้นทำได้ยากมาก รวมถึง การอ่านทั้ง paragraph ทำได้และเจอคำตอบแน่นอน แต่ถามว่าในเวลาที่จำกัดขนาดนี้ ใครจะทำได้ ถามว่ามันวัดความตีความเหมือนโทเฟลไหม วัดครับ แต่ ก็ต้องใช้ทักษะการหา ซึ่ง ในความเป็นจริง เราเรียนในคลาส อ่านหนังสือสอบ ทักษะการอ่าน และ จับใจความสำคัญของเนื้อหา น่าจะสำคัญกว่า ทักษะการหาปริศนาอักษรไขว้ ใครตาไว ก็จะเจอคำตอบ ประมาณนั้น
ส่วนตัวเลยชอบการสอบแบบโทเฟลมากกว่าครับ ผมได้คะแนน 24 ทั้งสองครั้ง
Listening
1.ข้อสอบ
มีหลายคนบอกว่าโทเฟล ยากกว่า ไอเอล เพราะไม่เห็นข้อสอบก่อน และ โจทย์ยาว ซึ่งผมไม่เห็นด้วยครับ การสอบโทเฟล คือการฟัง lecture จากอาจารย์ และ มีบทสนทนาเรื่องชีวิตประจำวันบ้าง จากนั้น ก็มาทำโจทย์ ซึ่ง เป็นการสรุปเนื้อหา จากที่เราฟัง ซึ่ง ผมคิดว่ามันเป็นทักษะการฟัง ที่คนสอบจะต้องใช้จริง เวลาไปเรียนที่โน่น คือ ต้องฟัง lecture อาจารย์ ยาวๆๆเป็นชั่วโมง ดังนั้น การสรุปความ ที่ได้ฟังจึงเป็นทักษะที่สำคัญกว่า
ในขณะที่ ไอเอล เน้นให้ฟัง ถ้าสามารถฟังคำนั้นได้ ก็ทำข้อสอบได้ มีการตีความบ้าง แต่ส่วนใหญ่เน้นฟัง key word ให้ออก
ที่สำคัญ การเห็นโจทย์ก่อน ไม่ได้ช่วยให้ทำข้อสอบได้มากขึ้นเลยครับ ขอย้ำ ในทางตรงกันข้าม โจทย์ที่ให้จะทำให้เรา เขว กับบทสนทนาที่ฟัง มากๆๆๆ เพราะเราจะพยายามจดจ่อกับ คำตอบที่มีในโจทย์ จนทำให้เสียสมาธิในการฟังไป สุดท้าย ทำไม่ได้ เพราะโจทย์หลอก เศร้า
ผมจึงไม่เห็นด้วยกับการสอบไอเอล เท่าไหร่ เพราะ การฟังคำๆเดียวให้ออกในบทสนทนา ไม่ได้วัดทักษะอะไรเลย นอกจากการฟังซ้ำๆ ในความเป็นจริง คงจะจำได้ เวลา ติวเตอร์หลายคนสอนเรื่องการฟัง ถ้าคุณฟังคำนั้นไม่ออก หรือ ฟังไม่รู้เรื่อง ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องไปเปิดดิก หาความหมายคำๆนั้นเพื่อที่จะฟังให้เข้าใจ การใช้บริบท หรือ ประโยคข้างเคียง สื่อความหมายคุณก็สามารถฟังรู้เรื่องได้ การฟังให้ได้ทุกคำจึงไม่จำเป็น (ถ้าทำได้ก็ดี) ซึ่งไอเอล มาวัดตรงนี้ ถามว่าเอาไปใช้ได้จริงในการฟังไหม ผมว่า ยาก ไม่ค่อยวัดอะไร
ในขณะที่โทเฟล ดังที่กล่าวไป เขาให้คุณฟังจริงๆๆ อย่างเดียว ไม่ต้องเสียสมาธิกับโจทย์ แล้วสรุปใจความ หรือ ประเด็นสำคัญ แล้วไปตอบคำถาม ซึ่ง แน่นอน ไม่มีใครฟังได้ครบทุกคำ จำได้ทุกประโยค และไม่จำเป็นด้วย แต่ถ้าคุณสามารถสรุปประเด็นหลักได้ คุณก็ได้คะแนน ซึ่ง มันรวบรวมทักษะหลายๆอย่าง โดยเฉพาะเอาไปเรียน lecture ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของคนสอบ คือเรียนต่อต่างประเทศ ผมจึงคิดว่า โทเฟล วัดได้ดีกว่า และใช้ได้จริงในทางปฏิบัติครับ
สรุป ส่วนตัวคิดว่า reading กับ listening โทเฟล ดีกว่าครับ ง่ายกว่าด้วย เพราะ multiple choice ใช้การตัด choiceได้ ขณะที่โอกาสถูกยัง 25 เปอร์เซนต์ ไอเอล ทำไม่ได้ มั่ว โอกาสถูกยากมาก โดยเฉพาะการเติมคำศัพท์
เด๋วมาต่อ WRITING AND SPEAKING
[CR] ความแตกต่าง TOEFL and IELTS examination
ถ้าเป็นสมัยก่อน คนที่จะไปเรียนอเมริกา ต้องสอบโทเฟล ในขณะทีไปอังกฤษกับออสเตรีย ต้องสอบไอเอล แต่ปัจจุบันนี้ มหาวิทยลัยเปิดรับคะแนนจากทั้งสองสถาบันมากขึ้น
ก่อนอื่นต้องออกตัวก่อนว่า ไม่ได้เก่งภาษาอังกฤษขั้นเทพอะไรนะครับ คะแนนก็กลางๆอ่ะ เพียงแต่ปัญหาที่ตัวเองเคยเจอ คือ ไม่มีใครแนะนำเรื่องการเตรียมตัวสอบ โดยเฉพาะ ค้นในเนต ก็จะเจอแต่รีวิว เก่าๆๆ ของเพื่อนๆ ยังไม่มีใครรีวิว เวอร์ชั่นใหม่ๆบ้าง และน้อยคนนักที่จะสอบทั้งสองสถาบัน จึงคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์แก่เพื่อนๆนะครับ
ส่วนตัวผมจะไปเรียนต่อที่อเมริกา เลยลองสอบโทเฟลดู แต่เนื่องจาก ที่ที่ผมจะไปเรียนเขาต้องการ speaking 20 ผมสอบได้ 19 เขาไม่รับ สอบไปสองครั้ง ก็ยังไม่ได้ (เศร้า และ จน เพราะ กระเป๋าแฟบในพริบตา - -" ) ผมเลยลองไปสอบ ไอเอล ดู (ผลยังไม่ออกนะครับ) ซึ่งเขาว่าง่ายกว่า แต่ในความคิดผม มันไม่ได้ง่ายกว่า โทเฟลทั้งหมดนะครับ
หลายคนคงโดนขู่มาว่า toefl ยากกว่า ielts มาก จึงควรสอบ ielts ส่วนตัว สำหรับความเห็นผมนั้นต่างไปนะครับ เพราะ toefl ในส่วนreading และ listening ง่ายกว่า ielts นะครับ ในขณะที่ ielts speaking and writing ง่ายกว่า โทเฟลครับ
Reading
ด้วยเหตุผลหลายๆข้อเลย
1.เวลา เท่ากันทั้งโทเฟล และ ไอเอล คือ 60 นาที แบ่งเป็น 3 เรื่องหลัก ถ้าใครเจอ 4 ก็คือว่าแจ็คพอตไป 5555 แต่ทั่วไปคือ 3 และแต่ละเรื่องจะมี 13-14 ข้อ เหมือนกันทั้งโทเฟล และ ไอเอล
2.เนื้อหา โทเฟล บางคนบอกว่า เนื้อหาวิชาการกว่า ไอเอล และยากกว่า ผมว่าไม่จริงนะครับ ผมว่า โทเฟล practical มากกว่า คือ เขาเอาบทความใน textbooks หรือ เนื้ัอหาวิชาการมา (ซึ่งในความเป็นจริง เราไปเรียนต่อก็ต้องอ่านความรู้จาก textbooks พวกนี้อยู่แล้ว) มากกว่าที่จะอ่านบทความจากแหล่งความรู้อื่น เช่น วารสาร วิจัย บลา บลา.....เหมือนไอเอล การวัดความรู้ของโทเฟล ผมเลยคิดว่า ตรงประเด็นและเป็นทักษะที่นำไปใช้ในชีวิตจริงในการเรียน มากกว่า ไอเอล
3. ข้อสอบ โทเฟล จะเน้น ไปที่ความรู้ความเข้าใจ และ การตีความมากกว่า เช่น in the first paragraph .... imply that.... คือ หน้าที่เราคืออ่านบทความ และตีความ ใน เนื้อหาตรงนั้น และเอามาตอบคำถาม ซึ่งแน่นอน ในความเป็นจริง การเรียนมหาวิทยาลัย ทักษะการสรุปความเป็นสิ่งสำคัญ และต้องเอาไปใช้จริง การวัดความรู้ของผู้สอบก่อนไปเรียน ผมว่า สำคัญ และ โทเฟลก็ทำได้ตรงประเด็น หรือ โจทย์ที่ถามความหมายคำศัพท์ ก็ ใช้ได้จริง คือ ถ้าคุณรู้ความหมาย คุณก็ทำข้อสอบได้เลย แต่ถ้าไม่รู้ อ่านประโยคบริบท ก็ตอบได้
ในขณะที่ reading ielts จะยากกว่า มากๆๆๆๆ ......(ถ้าคนเคยสอบ) จะรู้ว่า ielts ถ้าคุณหา key words เจอ คุณก็จะตอบคำถามนั้นได้ ซึ่งในแต่ละข้อคุณก็ต้องวนหาทั้ง paragraph ซ้ำไปซ้ำมา เพื่อหาประโยค parallel กับโจทย์ ฉะนั้นในเวลาที่จำกัด การที่หาประโยคเจอนั้นทำได้ยากมาก รวมถึง การอ่านทั้ง paragraph ทำได้และเจอคำตอบแน่นอน แต่ถามว่าในเวลาที่จำกัดขนาดนี้ ใครจะทำได้ ถามว่ามันวัดความตีความเหมือนโทเฟลไหม วัดครับ แต่ ก็ต้องใช้ทักษะการหา ซึ่ง ในความเป็นจริง เราเรียนในคลาส อ่านหนังสือสอบ ทักษะการอ่าน และ จับใจความสำคัญของเนื้อหา น่าจะสำคัญกว่า ทักษะการหาปริศนาอักษรไขว้ ใครตาไว ก็จะเจอคำตอบ ประมาณนั้น
ส่วนตัวเลยชอบการสอบแบบโทเฟลมากกว่าครับ ผมได้คะแนน 24 ทั้งสองครั้ง
Listening
1.ข้อสอบ มีหลายคนบอกว่าโทเฟล ยากกว่า ไอเอล เพราะไม่เห็นข้อสอบก่อน และ โจทย์ยาว ซึ่งผมไม่เห็นด้วยครับ การสอบโทเฟล คือการฟัง lecture จากอาจารย์ และ มีบทสนทนาเรื่องชีวิตประจำวันบ้าง จากนั้น ก็มาทำโจทย์ ซึ่ง เป็นการสรุปเนื้อหา จากที่เราฟัง ซึ่ง ผมคิดว่ามันเป็นทักษะการฟัง ที่คนสอบจะต้องใช้จริง เวลาไปเรียนที่โน่น คือ ต้องฟัง lecture อาจารย์ ยาวๆๆเป็นชั่วโมง ดังนั้น การสรุปความ ที่ได้ฟังจึงเป็นทักษะที่สำคัญกว่า
ในขณะที่ ไอเอล เน้นให้ฟัง ถ้าสามารถฟังคำนั้นได้ ก็ทำข้อสอบได้ มีการตีความบ้าง แต่ส่วนใหญ่เน้นฟัง key word ให้ออก ที่สำคัญ การเห็นโจทย์ก่อน ไม่ได้ช่วยให้ทำข้อสอบได้มากขึ้นเลยครับ ขอย้ำ ในทางตรงกันข้าม โจทย์ที่ให้จะทำให้เรา เขว กับบทสนทนาที่ฟัง มากๆๆๆ เพราะเราจะพยายามจดจ่อกับ คำตอบที่มีในโจทย์ จนทำให้เสียสมาธิในการฟังไป สุดท้าย ทำไม่ได้ เพราะโจทย์หลอก เศร้า
ผมจึงไม่เห็นด้วยกับการสอบไอเอล เท่าไหร่ เพราะ การฟังคำๆเดียวให้ออกในบทสนทนา ไม่ได้วัดทักษะอะไรเลย นอกจากการฟังซ้ำๆ ในความเป็นจริง คงจะจำได้ เวลา ติวเตอร์หลายคนสอนเรื่องการฟัง ถ้าคุณฟังคำนั้นไม่ออก หรือ ฟังไม่รู้เรื่อง ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องไปเปิดดิก หาความหมายคำๆนั้นเพื่อที่จะฟังให้เข้าใจ การใช้บริบท หรือ ประโยคข้างเคียง สื่อความหมายคุณก็สามารถฟังรู้เรื่องได้ การฟังให้ได้ทุกคำจึงไม่จำเป็น (ถ้าทำได้ก็ดี) ซึ่งไอเอล มาวัดตรงนี้ ถามว่าเอาไปใช้ได้จริงในการฟังไหม ผมว่า ยาก ไม่ค่อยวัดอะไร
ในขณะที่โทเฟล ดังที่กล่าวไป เขาให้คุณฟังจริงๆๆ อย่างเดียว ไม่ต้องเสียสมาธิกับโจทย์ แล้วสรุปใจความ หรือ ประเด็นสำคัญ แล้วไปตอบคำถาม ซึ่ง แน่นอน ไม่มีใครฟังได้ครบทุกคำ จำได้ทุกประโยค และไม่จำเป็นด้วย แต่ถ้าคุณสามารถสรุปประเด็นหลักได้ คุณก็ได้คะแนน ซึ่ง มันรวบรวมทักษะหลายๆอย่าง โดยเฉพาะเอาไปเรียน lecture ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของคนสอบ คือเรียนต่อต่างประเทศ ผมจึงคิดว่า โทเฟล วัดได้ดีกว่า และใช้ได้จริงในทางปฏิบัติครับ
สรุป ส่วนตัวคิดว่า reading กับ listening โทเฟล ดีกว่าครับ ง่ายกว่าด้วย เพราะ multiple choice ใช้การตัด choiceได้ ขณะที่โอกาสถูกยัง 25 เปอร์เซนต์ ไอเอล ทำไม่ได้ มั่ว โอกาสถูกยากมาก โดยเฉพาะการเติมคำศัพท์
เด๋วมาต่อ WRITING AND SPEAKING