รักแรกที่ไม่ลืม ควรหาทางออกอย่างไรเพราะกระทบกับการใช้ชีวิตมาก

กระทู้คำถาม
เรื่องอาจจะยาวสักหน่อย แต่ถ้าท่านที่อ่านจนจบแล้วใคร่อยากจะขอความคิดเห็นกันสักหน่อยค่ะว่าดิฉันควรจะไปพบเขาหรือไม่
ดิฉันแต่งงานแล้วกับผู้ชายที่น่ารัก ดูแลครอบครัว เป็นพ่อของลูก และสามีที่ดี เรามีลูกสาวอายุ 3 ขวบด้วยกัน 1 คน ครอบครัวเรารักกันและมีความสุขดี แต่เหมือนมีเรื่องของผู้ชายอีกคนหนึ่งที่อยู่ในส่วนลึกของหัวใจดิฉันก็ว่าได้ อยู่มา 12 ปีแล้วค่ะ ดิฉันรู้สึกทนไม่ได้ เหมือนตัวเองสองใจ เหมือนคิดถึงอีกคนหนึ่งเสมอมาทั้งที่มีครอบครัวแล้ว แต่ไม่สามารถหยุดนึกถึงได้ หนักเข้าตอนนี้ถึงขั้นทรมานใจอยากเจอเหลือเกิน ถ้าได้พบกันอีกสักครั้งอาจจะมีทางออกที่ดีก็ได้
ตอนที่ดิฉันอายุ 17 ปี ได้มีโอกาสเดินทางไปแลกเปลี่ยนที่ประเทศญี่ปุ่นเป็นเวลา 1 ปี ตอนนั้นก็พบรักกับพื่อนร่วมชั้นเรียน คือ เริ่มจากเขาเป็นคนเดียวที่พูดภาษาอังกฤษได้ เพราะตามพ่อไปต่อปริญญาโท 4 ปีที่อังกฤษ คุณครูก็วานให้เขาดูแลเรา เรียนวิชาเลือกก็วิชาเดียวกัน สนใจภาษาต่างประเทศเหมือนกัน เวลาที่ใกล้ชิดกันประมาณ 4 เดือนจึงจะเริ่มชวนกันไปเดท แล้ววันนั้นก็มาถึง เราสองคนนัดเจอกันที่งานเทศกาลอาหารนานาชาติ เราก็ไปซุ้มอาหารไทย พี่ๆคนไทยก็แซวว่าพาแฟนมา มีป้อนผัดไทกันด้วย ไปถ่ายสติกเกอร์กันแล้วเขาก็เขียนคำนึงลงไปว่า “เราเป็นแฟนกันนะ” ตอนนั้นสับสน เขินอายคิดอะไรไม่ออก ก็ไม่ได้ตอบอะไรไปแต่ในใจอ่ะรู้สึกดีมากนะ แต่วันรุ่งขึ้นไปโรงเรียนโดนเพื่อนล้อแต่เช้าแบบตั้งตัวไม่ติด เพราะสติกเกอร์ที่ถ่ายเขาเอาไปแจกเพื่อนหมด เพื่อนหลายคนวิ่งมาขอว่ามีอีกมั้ยรูปประวัติศาสตร์ที่ว่านี้ 55555 จากที่เราอยากเก็บไว้เป็นเรื่องสองคน คืออารมณ์เด็กวัยทีน เขินอายไม่มั่นใจในตัเอง โดนเพื่อนแซวซะขนาดนั้น ดิฉันก็เลิกพูดกับตานี่ไปเลย 4 เดือน ไม่พูดไม่มองหน้าเลยนะคะ นั่งข้างกันมันคงงงน่าดู แต่คงรู้สึกตัวแหละว่าต้องทำอะไรให้เคืองใจสักอย่าง หลังจาก 4 เดือนที่ไม่พูดด้วยก็มาถึงวันวาเลนไทน์ ดิฉันเอาลูกอมช็อคโกแลตมาห่อใหญ่ เดินแจกทั่วชั้นเรียนคนละเม็ด ทั้งหญิงและชาย มีช็อคโกแลตที่เอามาแจกคุณครูอีก2ท่านด้วย ดิฉันใสๆไม่ได้คิดอะไร แค่อยากแจกเพราะว่าเป็นวาเลนไทน์เดียวที่ได้สัมผัสในญี่ปุ่น จนเดือนมีนาคมวันที่ 14 หรือ white day ที่เด็กผู้ชายจะเอาช็อคโกแลตมาให้ผู้หญิงที่ให้เขาในวันวาเลนไทน์ หรือเป็นการสารภาพรักอย่างมีนัยยะว่าตอบตกลงคบกํนประมาณนั้น อีตานี่จู่ๆก็เดินมาหาพร้อมช็อคโกแลตกล่องใหญ่มาก จนเพื่อนกรี๊ดแซวว่าทำไมให้ดิฉันคนเดียว
เขาก็ตอบว่า “ก็วาเลนไทน์เธอให้ชอคโกแลตฉัน”
ดิฉันบอกว่า “ก็ให้ทุกคนนะ ไม่ได้ให้ใครเป็นพิเศษ”
คำตอบเขาทำให้เรากลับมาคุยกันอีกก็คือ “ แต่มันเป็นช็อคโกแลตอันแรกในชีวิตฉัน”
เราทักทาย พูดคุยกันตามปกติ จนผ่านไปอีก 4เดือนดิฉันเดินทางกลับ เราก็ยังคุยกันบ้างในอีเมล์ บ่อยครั้งมากที่ให้เขาทำการบ้านแปลให้55555 เพราะเขาซิ่วจากมหาลัยบ้านเกิดไปเรียนในโตเกียว ปีที่เขาว่างเขาทำการบ้านให้ดิฉันทั้งปี (มิน่าทำไมเกรดเน่า)
แล้วดิฉันก็เริ่มมีแฟน เขาก็เช่นกัน เราจึงห่างหายกันไป อยู่มาวันหนึ่งเขาก็บอกว่าจะมาเมืองไทย
ดิฉันปิดเทอมแต่ตั้งใจมั่นเหมาะจะขึ้นไปหา นัดกันดิบดี เขาก็ไม่มา อุตส่าห์ขึ้นกรุงเทพมารอเขา จึงเมล์ไปถามว่าอะไรยังไง เขาก็ตอบว่าเขาขอโทษจริงๆตื่นเต้นรีบพิมพ์จึงพิมพ์ผิดเดือน
นั่นเป็นครั้งแรกที่เราพลาดการพบกัน
ครั้งที่2 เขามาพร้อมเพื่อน มาดูงานอะไรสักอย่าง แต่คราวนั้นดิฉันไปไม่ได้จริงๆเพราะพ่อเข้าโรงพยาบาล ต้องผลัดไปเฝ้าไข้กับแม่ แต่เราได้คุยโทรศัพท์กัน คราวนี้เขาบอกว่าเขามีแฟนแล้ว ที่มาและโทรหาอย่าได้เข้าใจผิดคิดอะไรมากเกินไป อ้าวไอ้นี่หลงตัวเองแฮะ ฉันก็มีแฟนนะ ก็เลยบอกเขาไปว่า “เป็นเพื่อนกันน่ะรู้แล้ว” หลังจากครั้งนั้นเขาก็หายไป3ปี แล้วโผล่มาใหม่บอกว่าจะมาหาที่เมืองไทย ไม่ว่าเธอจะอยู่ที่ไหน บ้านเกิดจะไกลแค่ไหนพร้อมลุยมาหา แถมยังบอกว่าโสดนะ ไม่มีแฟนแล้ว . ดันบอกเขาว่า “ ดีมากที่เธอจะมา แต่โชคไม่ดีเอาเสียเลย ฉันคงไปพบเธอไม่ได้เพราะวันนี้ฉันกำลังเดินทางไปคลอดลูกที่โรงพยาบาล” เขาถามกลับว่า “เธอแต่งงานตั้งแต่เมื่อไร ฉันไม่รู้เลย แต่ไม่เป็นไรนะ ขอให้เธอคลอดลูกอย่างปลอดภัย ขอแสดงความยินดีด้วย” ครั้งนั้นเขาเปลี่ยนการเดินทางจากกรุงเทพเป็นสิงคโปร์แทน แล้วเราก็ไม่ได้คุยกันอีก 2 ปี
ดิฉันมีลูกสาวอายุ 1.6ขวบ เรากำลังจะไปเที่ยวญี่ปุ่น ดิฉันก็เมล์ตามเพื่อนทุกคนที่อาศัยอยู่ตามเมืองที่ดิฉันจะไป กำหนดการเดินทาง 3 สัปดาห์ ก็ไปเจอเพื่อนเท่านั้นและเยี่ยมโฮสต์แฟมิลี่
ตัวเขา เรียนที่ Sorbonne แคมปัสอาบูดาบี ตะวันออกกลาง แต่สัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะมาพบกันที่โตเกียว ดิฉันส่งของขวัญไปให้เขาที่อาบูดาบีเป็นตุ๊กตาหมีตัวเท่าฝ่ามือและถุงหอมสำหรับใส่ตู้เสื้อผ้ากลิ่น Frangipani   ตอนนั้นเป็นช่วงปีใหม่ หลังจากนั้น 1 เดือนดิฉันก็ได้รับจดหมายที่ทำให้น้ำตาร่วงจนถึงทุกวันนี้ กับประโยคหนึ่งคือ “ ฉันไม่เคยลืมเลย วันที่เราได้ไปเดทกัน เหตุการณ์ในวันนั้นฉันยังจำได้ดี ขอบคุณมากนะ มันเป็นช่วงเวลาที่ดีมากจริงๆสำหรับฉัน”  ดิฉันรู้สึกเหมือนถูกกระชากวิญญาณให้กลับไปในอดีต คิดถึงวันเก่าๆอย่างกับคนแก่
กำหนดการเดินทางของดิฉันคือปลายเดือนมีนาคม  และสามีจะร่วมเดินทางไปส่งดิฉันที่โตเกียว อยู่เที่ยว1 สัปดาห์ ซึ่งดิฉันก็ได้บอกเพื่อนๆให้ทราบ จากนั้นเพื่อนคนหนึ่งก็บอกดิฉันว่า ตานี่มาไม่ได้แล้วนะติดงานกะทันหัน. ดิฉันจิกทึ้งดึงตามตื้อให้มา เขาก็ไม่ตอบอะไร พยายามจับคู่ให้เพื่อนสาวพราวสเน่ห์เพื่อให้สบายใจเผื่อจะมาเจอได้ เขาก็เงียบไปจนถึงวันนี้ปีกว่าแล้ว
จู่ๆก็ฝันถึงเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ดิฉันมีอาการคิดถึงแบบทรมานใจสุดๆ เอาจดหมายมาอ่านแล้วรู้สึกว่ามันมีความหมายอะไรอยู่ในนั้น จึงปรึกษากับเพื่อนสนิทว่า ดิฉันควรไปเจอเค้ามั้ย จะได้รู้กันไปจะได้ปลงให้ได้ว่าต้องจบต้องยอมรับความจริงอะไรประมาณนี้ คืออยากเจอเพื่อจบน่ะค่ะ ไม่ได้จะสานต่ออะไร เพราะตอนนี้มันทรมานใจ รู้สึกติดค้างคาใจอยู่ตลอดเวลา มันคือรักแรกที่ไม่ลืมใช่ไหม มันไม่มีทางแก้หรือเปล่า จะไปพบเขาเพื่อหาคำตอบให้หัวใจตัวเอง จะบอกสามีตรงๆว่าไปทำไม ดิฉันควรทำยังไงดีคะ?
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่