นานมาแล้วที่คนในพันทิปเถียงกันเรื่อง ความบริสุทธิ์ พรหมจรรย์ การแต่งงาน สิ่งที่เป็นประเด็นมากที่สุดคือ การยกเรื่องให้ผู้หญิงรักนวลสงวนตัว และมีกจะมีข้อคิดเห็นประเภท "อยากได้หญิงสาวบริสุทธิ์มาเป็นเจ้าสาว" หรือโน้มน้าวให้ผู้หญิงรู้จักรักษาพรหมจรรย์ไว้จนกว่าจะถึงวันแต่งงาน
สิ่งที่คนเราจะใช้เป็นเกณฑ์ในการยอมรับ คือ อายุ เรามักไม่ยอมรับยิ่งถ้าหากคนที่ถูกยกมากล่าวอ้างยังเป็นเยาวชนหรือวัยรุ่น ถ้าหากเขาจะมีเพศสัมพันธ์กัน หรือจะไม่เกิดการยอมรับที่เด็กสาวอายุไม่ถึง 18 เสียความบริสุทธิ์ เพราะนั่นคือศีลธรรมในสังคมที่เราจะยอมรับไม่ได้ให้มันเกิดขึ้น
ในทางกลับกัน ตามความเห็นต่างๆ ถ้าหากเป็นสตรีผู้สูงวัย มักจะไม่แคร์เท่าไหร่ จะมีวาทกรรมประเภท "รอจนหยากไย่ขึ้น" "อยากลงจากคาน" หรือถ้าหากจะมีใครมายอมรับว่าตนนั้นไม่ใช่สาวบริสุทธิ์ ในวัยที่เฉียดเข้าวัยกลางคนแล้ว ผมว่าคนส่วนใหญ่ยอมรับได้
แต่การตั้งกระทู้นี้มา ไม่เชิงว่าจะพูดถุงเรื่องที่กล่าวมาซักเท่าไหร่ ผมอยากโฟกัสไปที่ "การยอมรับ" นี่มันถูกกำหนดกรอบไว้ยังไง ในมิติอื่นๆ ไม่ใช่ในแง่มิติเยาวชน ไม่ใช่มิติของวัยที่พร้อมจะสมสู่ แต่อยากรู้ในแง่คุณค่าของมนุษย์คนนึงกับการถูกมีเพศสัมพันธ์
โดยสังคมเรามักไม่ยอมรับผู้หญิงที่มีอาชีพโสเภณี เพราะอะไร โดยทั่วไปคือเธอเป็นคนที่หน้าไม่อาย ที่เอาร่างกายของตัวเองเป็นเครื่องบำเรอกามผู้ชายแปลกหน้าเพื่อแลกเงิน นั่นคือความเลวทรามที่สังคมกำหนดว่า รับไม่ได้ นี่คือตามที่ผมเข้าใจ และในแง่มุมหนึ่งคือเรามองผู้หญิงในแง่ที่ว่า เธอถูกมีเพศสัมพันธ์มากครั้ง และมากคน เธอจึงเป็นคนที่ไร้ค่า ไม่สงวนตัว และเป็นคนที่ไร้ซึ่งพรหมจรรย์อย่างที่กรอบสังคมยอมรับ อย่างที่เพลงเพื่อชีวิตหลายเพลงสร้างวาทกรรม
ถ้าอย่างนั้นผมจะตั้งคำถามต่อการยอมรับนี้ว่า แล้วผู้หญิงทั่วไปที่มีแฟน ที่ยังไม่ได้แต่งงาน แล้วมีเพศสัมพันธ์กับแฟนก่อนแต่งงาน การยอมรับนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร เราถึงโอนอ่อนต่อการกระทำนี้ได้ในกรอบจารีต หรืออ้างเหตุผลในแง่ชีวิตคนๆหนึ่งมีสิทธิ์เลือกที่จะทำอะไรตามใจตนเอง
ประเด็นจึงอยู่ที่ว่า การมีเพศสัมพันธ์เป็นตัวชี้วัดคุณค่าความเป็นมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้หญิง แต่ในโลกความเป็นจริง มีผู้หญิงอีกมากที่ฟรีเซ็กซ์ ไปเที่ยวผับเพื่อวันไนท์แสตนด์ หรือผู้หญิงที่เปลี่ยนแฟน ทั้งที่จะโดยตัวเองพยายามหรือไม่พยายามที่จะมีแฟนให้น้อยคนที่สุด แต่ไม่ว่ากี่คนที่คบกันไป ต่างก็มีเพศสัมพันธ์กับเขาไปบ้าง นั่นคือโลกที่ผมรับรู้
คำถามคือ ถ้ามองในแง่ การที่ผู้หญิงคนหนึ่งถูกมีเพศสัมพันธ์มากครั้งหรือมากคน วัดจากจำนวนครั้งหรือจำนวนคน มนุษย์ผู้หญิงในสังคมทั่วไป"ส่วนหนึ่ง"ก็ไม่ต่างจากโสเภณีหรือเปล่า (อาจจะดูแรงไปหน่อย) ถ้ามองในกรอบของคนที่ยึดเรื่องการให้ผู้หญิงรักนวลสงวนตัว
ซึ่ีงโสเภณีก็มีข้อแตกต่างอยู่เหมือนกันในแง่จำนวนและความหลากหลายของผู้ชาย รวมถึงประเด็นละเอียดอ่อนอย่างท่าหรือความรุนแรงในการร่วมเพศ แต่ในข้อสรุปโสเภณีใช้การถูกร่วมเพศเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน "เงิน" แต่ผู้หญิงในสังคมอาจใช้มันเพื่อ "ความรัก"
ในทางกลับกัน ผู้ชายกลับไม่ได้เป็นอย่างนั้น การผ่านผู้หญิงมาเยอะ ในสังคมที่ผมรับรู้คือการประกาศศักดิ์ดา ความอหังการ์ ยิ่งในกลุ่มเพื่อนด้วยกัน ผมไม่เคยได้ยินคำประนามว่า ไอ้บ้ากาม จากการรับฟังวีรกรรมการได้ร่วมเพศมากครั้งมากคน หรือไอ้พวกสนับสนุนการค้ามนุษย์ เวลาที่มีใครไปเที่ยวอาบอบนวด ซ้ำกลับบรรยาย ลายแทง ส่งการบ้านอย่างภาคภิมิใจ ที่ได้ไปร่วมเพศกับโสเภณีมา
แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ผมค่อนข้างสนับสนุนแนวคิดที่ว่า เราวัดคนจากจำนวนการร่วมเพศไม่ได้ และไม่ส่งเสริมให้คนยึดสิ่งที่เรียกว่าพรหมจรรย์ เพราะโดยส่วนตัวเรารู้สึกว่าเรื่องนี้ล้าหลังไปแล้ว เราอยู่ในสังคมที่เปลี่ยนไป ทัศนคติก็เปลี่ยนไป การบังคับหรือยับยั้งมันเป็นไปไม่ได้ นอกเสียจากคุณจะอยู่ในสังคมชาวเขา อย่างการผิดผี ที่แตะตัวผู้หญิงแล้วต้องไปแต่งงานกับเขาอยู่กินกันจนชั่วชีวิต
ผู้หญิงที่ถูกมีเพศสัมพันธ์มากๆครั้งหรือมากๆคน มันไร้ค่ามากเหรอครับ (20+)
สิ่งที่คนเราจะใช้เป็นเกณฑ์ในการยอมรับ คือ อายุ เรามักไม่ยอมรับยิ่งถ้าหากคนที่ถูกยกมากล่าวอ้างยังเป็นเยาวชนหรือวัยรุ่น ถ้าหากเขาจะมีเพศสัมพันธ์กัน หรือจะไม่เกิดการยอมรับที่เด็กสาวอายุไม่ถึง 18 เสียความบริสุทธิ์ เพราะนั่นคือศีลธรรมในสังคมที่เราจะยอมรับไม่ได้ให้มันเกิดขึ้น
ในทางกลับกัน ตามความเห็นต่างๆ ถ้าหากเป็นสตรีผู้สูงวัย มักจะไม่แคร์เท่าไหร่ จะมีวาทกรรมประเภท "รอจนหยากไย่ขึ้น" "อยากลงจากคาน" หรือถ้าหากจะมีใครมายอมรับว่าตนนั้นไม่ใช่สาวบริสุทธิ์ ในวัยที่เฉียดเข้าวัยกลางคนแล้ว ผมว่าคนส่วนใหญ่ยอมรับได้
แต่การตั้งกระทู้นี้มา ไม่เชิงว่าจะพูดถุงเรื่องที่กล่าวมาซักเท่าไหร่ ผมอยากโฟกัสไปที่ "การยอมรับ" นี่มันถูกกำหนดกรอบไว้ยังไง ในมิติอื่นๆ ไม่ใช่ในแง่มิติเยาวชน ไม่ใช่มิติของวัยที่พร้อมจะสมสู่ แต่อยากรู้ในแง่คุณค่าของมนุษย์คนนึงกับการถูกมีเพศสัมพันธ์
โดยสังคมเรามักไม่ยอมรับผู้หญิงที่มีอาชีพโสเภณี เพราะอะไร โดยทั่วไปคือเธอเป็นคนที่หน้าไม่อาย ที่เอาร่างกายของตัวเองเป็นเครื่องบำเรอกามผู้ชายแปลกหน้าเพื่อแลกเงิน นั่นคือความเลวทรามที่สังคมกำหนดว่า รับไม่ได้ นี่คือตามที่ผมเข้าใจ และในแง่มุมหนึ่งคือเรามองผู้หญิงในแง่ที่ว่า เธอถูกมีเพศสัมพันธ์มากครั้ง และมากคน เธอจึงเป็นคนที่ไร้ค่า ไม่สงวนตัว และเป็นคนที่ไร้ซึ่งพรหมจรรย์อย่างที่กรอบสังคมยอมรับ อย่างที่เพลงเพื่อชีวิตหลายเพลงสร้างวาทกรรม
ถ้าอย่างนั้นผมจะตั้งคำถามต่อการยอมรับนี้ว่า แล้วผู้หญิงทั่วไปที่มีแฟน ที่ยังไม่ได้แต่งงาน แล้วมีเพศสัมพันธ์กับแฟนก่อนแต่งงาน การยอมรับนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร เราถึงโอนอ่อนต่อการกระทำนี้ได้ในกรอบจารีต หรืออ้างเหตุผลในแง่ชีวิตคนๆหนึ่งมีสิทธิ์เลือกที่จะทำอะไรตามใจตนเอง
ประเด็นจึงอยู่ที่ว่า การมีเพศสัมพันธ์เป็นตัวชี้วัดคุณค่าความเป็นมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้หญิง แต่ในโลกความเป็นจริง มีผู้หญิงอีกมากที่ฟรีเซ็กซ์ ไปเที่ยวผับเพื่อวันไนท์แสตนด์ หรือผู้หญิงที่เปลี่ยนแฟน ทั้งที่จะโดยตัวเองพยายามหรือไม่พยายามที่จะมีแฟนให้น้อยคนที่สุด แต่ไม่ว่ากี่คนที่คบกันไป ต่างก็มีเพศสัมพันธ์กับเขาไปบ้าง นั่นคือโลกที่ผมรับรู้
คำถามคือ ถ้ามองในแง่ การที่ผู้หญิงคนหนึ่งถูกมีเพศสัมพันธ์มากครั้งหรือมากคน วัดจากจำนวนครั้งหรือจำนวนคน มนุษย์ผู้หญิงในสังคมทั่วไป"ส่วนหนึ่ง"ก็ไม่ต่างจากโสเภณีหรือเปล่า (อาจจะดูแรงไปหน่อย) ถ้ามองในกรอบของคนที่ยึดเรื่องการให้ผู้หญิงรักนวลสงวนตัว
ซึ่ีงโสเภณีก็มีข้อแตกต่างอยู่เหมือนกันในแง่จำนวนและความหลากหลายของผู้ชาย รวมถึงประเด็นละเอียดอ่อนอย่างท่าหรือความรุนแรงในการร่วมเพศ แต่ในข้อสรุปโสเภณีใช้การถูกร่วมเพศเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน "เงิน" แต่ผู้หญิงในสังคมอาจใช้มันเพื่อ "ความรัก"
ในทางกลับกัน ผู้ชายกลับไม่ได้เป็นอย่างนั้น การผ่านผู้หญิงมาเยอะ ในสังคมที่ผมรับรู้คือการประกาศศักดิ์ดา ความอหังการ์ ยิ่งในกลุ่มเพื่อนด้วยกัน ผมไม่เคยได้ยินคำประนามว่า ไอ้บ้ากาม จากการรับฟังวีรกรรมการได้ร่วมเพศมากครั้งมากคน หรือไอ้พวกสนับสนุนการค้ามนุษย์ เวลาที่มีใครไปเที่ยวอาบอบนวด ซ้ำกลับบรรยาย ลายแทง ส่งการบ้านอย่างภาคภิมิใจ ที่ได้ไปร่วมเพศกับโสเภณีมา
แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ผมค่อนข้างสนับสนุนแนวคิดที่ว่า เราวัดคนจากจำนวนการร่วมเพศไม่ได้ และไม่ส่งเสริมให้คนยึดสิ่งที่เรียกว่าพรหมจรรย์ เพราะโดยส่วนตัวเรารู้สึกว่าเรื่องนี้ล้าหลังไปแล้ว เราอยู่ในสังคมที่เปลี่ยนไป ทัศนคติก็เปลี่ยนไป การบังคับหรือยับยั้งมันเป็นไปไม่ได้ นอกเสียจากคุณจะอยู่ในสังคมชาวเขา อย่างการผิดผี ที่แตะตัวผู้หญิงแล้วต้องไปแต่งงานกับเขาอยู่กินกันจนชั่วชีวิต