4 ก.ย. 56
ได้ฤกษ์เริ่มซักที...
ผมมีความฝันอยากจะเขียนหนังสือเป็นของตัวเองซักเล่ม แต่ไม่มีโอกาสที่จะทำและไม่รู้จะทำเรื่องอะไร มีแต่ความคิดที่ว่า อยาก อยาก อยาก ไม่เริ่มซักที ผมเคยดูบท สัมภาษณ์ ของนักเขียนดังๆ มีคนถาม(ผมก็อยากถาม)ว่าอยากจะเป็นนักเขียนทำไงครับ? คำตัวของนักเขียนเหล่านั้นคือ....ถ้าอยากเป็นนักเขียนก็เขียนเลยครับ!! ก็ถูก ผมเลยเริ่มที่จะลองเขียนบทความนี้ดูซึ่งความคิดนี้ก็ผุดขึ้นมาตอนที่ผมกำลังนั่งล้างจานอยู่ในห้องน้ำ ผมตั้งใจจะทำหนังสือเล่มนี้ให้สมบูรณ์ ผมเคยอ่านหนังสือหลายเล่มที่เกี่ยวกับการทำธุรกิจ นักเขียนจะเขียนเมื่อตอนที่ตัวเขาประสบความสำเร็จแล้ว ซึ่งก็เป็นการบอกเล่าประสบการณ์ที่ผ่านมาเพื่อเป็นข้อคิดและแนวทางให้กับคนอ่าน แต่ผมอยากทำหนังสือที่คนเขียนเริ่มเขียนพร้อมกับการเริ่มทำธุรกิจ อ่านแล้วได้มองเห็นสิ่งที่ผมกำลังคิดกำลังทำอยู่ ซึ่งผมไม่รู้หรอกว่าอนาคตผมจะประสบความสำเร็จหรือไม่ แต่อย่างน้อยถ้าคนที่ได้อ่านเรื่องราวผมเค้าก็จะได้รับรู้เรื่องราวการทำธุรกิจของผม วิธีการและแนวคิดของผมในการทำงาน เพื่อเป็นวิทยาทาน....
.....ก่อนอื่นแนะนำตัวนิดนึงครับ ผมเป็นเด็กหนุ่มคนนึงที่มีความฝันเหมือนเด็กหนุ่มทั่วไป ที่ฝันอยากจะประสบความสำเร็จสูงสุดในชีวิต จึงนำพามาสู่เส้นทางที่คิดว่าจะนำไปสู่ความสำเร็จ ซึ่งผมก็เหมือนคนทั่วไปที่พยายามหาหนทางค้นหาตัวเอง ตามหากล่องพรสวรรค์ที่ใครไม่รู้บอกไว้ว่าคนเราทุกคนเกิดมาพร้อมกล่องพรสวรรค์ ซึ่ง ณ ตอนนี้ผมก็ยังไม่รู้เลยว่ากล่องนั้นมันมีสำหรับทุกคนหรือเปล่า...
.....ความฝัน เชื่อว่าทุกคนถูกถามเรื่องความฝันในอนาคตตั้งแต่วัยเด็ก ซึ่งตอนนั้นเราจำไม่ได้หรอกว่าเราตอบอะไรไปบ้าง ผมคิดว่าสังคมไทยพยายามปลูกฝั่งเรามาตั้งแต่เด็กเรื่องของการประกอบอาชีพในอนาคต ซึ่งแน่นอนมันมีอยู่ไม่กี่อาชีพหรอก ได้แก่ ถ้าเด็กผู้ชายก็ ทหารครับ ตำรวจครับ เด็กผู้หญิงก็หมอค่ะ พยาบาลค่ะ และอาชีพครู ที่เด็กส่วนนึงที่พ่อแม่เป็นครูจะถูกปลูกฝั่งในเดินตามรอย แน่นอนครับผมเป็นเด็กผู้ชายผมยังจำได้ว่าตอนเด็กผมฝันอยากเป็นทหาร เพราะคิดว่าเท่จังได้จับปืน ได้ใส่เครื่องแบบเท่ๆ แล้วมันก็ถูกฝังลงในสมองส่วนลึกๆ ทำให้ผมพยายามที่จะทำตามความฝันนั้น..
...แต่ เมื่อพอผมกำลังเริ่มจะโตขึ้น โลกกระทัดมันกว้าง เราเจอสิ่งแปลกใหม่ มีทางเลือกมากมาย ผมได้ลองถามตัวเองอีกครั้งก่อนจะจบ ม.ปลายว่าตัวเองชอบอะไร? ความฝัน? ณ ตอนนั้นเป็นช่วงเวลาที่เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อมากเพราะตอนนั้นคิดว่าการเลือกเรียนมหาลัย มันเป็นการเลือกอาชีพที่เราะจะเป็นในอนาคต เพราะฉะนั้นการจะเลือกเรียนคณะอะไร ก็เหมือนเลือกว่าอนาคตเราจะเป็นอะไรนั่นเอง (ความคิด ณ ตอนนั้น) เลยตัดสินใจ..
..ผมเลือกเรียนสถาปัตย์ เพราะตัวเองเป็นคนช่างคิดช่างประดิษฐ์ มีฝีมือด้านศิลปะเล็กน้อยไม่ถือว่าเก่งมาก เข้ามาเรียนสองปีแรกก็รู้สึกว่าสนุกเริ่มมีความฝันพรั่งพรูในสมอง ว่าจะเป็นสถาปนิกที่เก่งมีชื่อเสียง จะสร้างงานออกแบบที่ทุกคนเห็นแล้วร้อง โอ้ว้าวววว เป็นเด็กหนุ่มสถาปัตย์ที่มีไฟแรงกล้า พอขึ้นปีสาม มันเป็นอีกช่วงที่ผมย้อนดูตัวเองเพราะรู้สึกว่าตัวเองยังไม่อยากจะอยู่แค่ตรงนี้ หลังจากที่นั่งครุ่นคิดอยู่ซักพัก ความฝันในไวเด็กก็ผุดขึ้นมาในหัว ทหาร! แต่! เราเลือกเรียนสถาปัตย์แล้วทำไงดี? แต่ดีที่ผมเรียน รด.มาตอน ม.ปลายจึงเห็นหนทางที่จะนำไปสู่การเป็นทหารได้ จึงตัดสินใจเรียน รด.ต่อ ปี 4-5 เพื่อที่จะเป็นว่าที่ร้อยตรี เผื่อว่าในอนาคตเราจะได้มีโอกาสเข้ารับราชการทหาร ตามความฝันที่แม่อยากให้เป็น
...พอเรียนจบ ผมไม่อยากทำงานเป็นพนักงานออฟฟิต เป็นมนุษย์เงินเดือน เพราะเห็นสภาพและสัมผัสชีวิตออฟฟิตตอนที่ฝึกงาน ทำให้ผมยังไม่อยากที่จะเข้าไปทำงานเป็นพนักงานออฟฟิต หลังจากที่เรียนจบใหม่ จึงนำมาสู่เรื่องราว ที่เป็นแรงผลักดันและเป็นแรงบันดาลใจให้ผมอยากจะเขียนบทความ(อยากทำหนังสือ) บทความนี้ขึ้นมา
....ด้วยความโชคดี ในความโชคร้าย ตอนปีสุดท้ายก่อนจะเรียนจบสถาปัตย์ เทอมทำวิจัยก่อนจะสำเร็จการศึกษา ปรากฏว่าผมไม่ผ่านวิจัย เป็นเรื่องน่าเศร้ามาก(ขอระบายความอัดอั้น) ...เทอมสุดท้ายของการเป็นนิสิตสถาปัตย์ก็จะมีแค่ทำวิจัยเพื่อเป็นผลงานก่อนจบ ซึ่งผมก็รู้ตัวเองว่าคะแนนไม่ค่อยจะดี ผลงานก็อยู่ในเกณฑ์กลางๆ ก็ตั้งใจว่าจะพยายามเอาผมเองให้รอด จนมีถึงจะปลายเทอม ปรากฏว่าติด F ในวิชาวิจัยผลคือผมต้องรอเรียนใหม่อีกปี ทำให้ผมจบช้ากว่าเพื่อนรุ่นเดียวกัน 1 ปี ซึ่ง ณ ตอนนั้นผมก็ไม่ได้เตรียมใจไว้หรอกว่าตัวเองจะไม่ผ่านก็ลุ้นๆ วันที่ประกาศผลคะแนนผมกำลังเตรียมเอกสารเพื่อจะไปสมัครงาน พอรู้ผลคะแนนตัวเองถึงกับเข่าอ่อน รู้สึกหดหู่ หมดกำลังใจ ร่างกายไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาทันที ใช้เวลาประมาณสองอาทิตย์ ถึงจะตั้งสติและกู้กำลังใจตัวเองกลับมาได้ ซึ่งกำลังใจที่ได้ก็คือจากครอบครัว โชคดีที่ครอบครัวผมเข้าใจและให้โอกาส.... ผมก็สานฝันต่อด้วยโอกาสที่มี จนเทอมสุดท้าย(รอบที่สอง) ผมก็เรียนแค่ตัวเดียวเลยมีเวลาว่างเยอะ โชคดีได้ไปเจออาจารย์คนนึงซึ่งเป็นรุ่นพี่ที่คณะชื่อ อ.กิจ(พี่กิจ) แกมาสอนเป็นอาจารย์พิเศษที่คณะด้วย แกทำร้านกาแฟ ช่วงนั้นเป็นช่วงที่แฟนอาจารย์ท้องแก่ใกล้คลอดเลยไม่มีคนช่วยที่ร้าน บังเอิญวันนึงผมไปนั่งกินกาแฟที่ร้านของแก แกก็ถามเรื่องการเรียน ก็เลยนำมาสู่การได้เข้ามาทำงานร้านกาแฟ
....การมาทำงานที่ร้านกาแฟกับ พี่กิจ เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด ช่วงแรกที่ผมช่วยงานพี่กิจที่ร้านกาแฟก็เป็นผู้ช่วยธรรมดา เริ่มจากการตักน้ำแข็ง ปั่นเครื่องดื่ม ก็เริ่มทำนั่น โน่น นี่ เยอะขึ้นแกก็สอนผมชง สอนสูตร สอนทุกอย่างจนเป็น จนแกมั่นใจให้ผมดูแลแทนช่วงที่ติดธุระ ช่วงนั้นเรียนด้วยก็รับทำเป็นพาสไทม์ พี่กิจช่วยเหลือทั้งเรื่องงานและเรื่องเรียน ผมทำงานด้วยและเรียนด้วยอยู่ประมาณเทอมกว่าๆ มันทำให้ผมชำนาญและฝีมือชงกาแฟก็โอเค พอผมจบพี่กิจเลยชวนมาทำงานแบบเต็มตัวแกมีสองสาขา ให้ผมดูแลอีกสาขาเพราะผู้จัดการคนเก่าจะออก ผมก็เลยเข้าทำงานที่ร้านกาแฟหน้าตึกคณะสถาปัตย์ที่ผมเคยเรียนอยู่ ในตำแหน่งผู้จัดการร้าน(ฟังดูดี^^)
....จุดเริ่มต้นของเรื่องราวก็เกิดจากการที่ผมเบื่องานออฟฟิต ไม่อยากทำงานบริษัทเป็นพนักงาน เป็นมนุษย์เงินเดือน ไม่ใช่เพราะผมกลัวลำบากหรือเพราะกลัวทำไม่ได้ แต่เป็นเพราะผมเคยใช้ชีวิตการเป็นลูกจ้างรายวัน เป็นมนุษย์เงินเดือน เคยทำงานในโรงงาน ในออฟฟิตผ่านความลำบากมาหมดแล้วตั้งแต่วัยเด็ก ผมเลยยังไม่อยากที่จะเข้าไปอยู่ในสภาวะแบบนั้นถึงแม้ว่าจะทำงานเกี่ยวกับสายงานที่ตัวเองเรียนมาก็เถอะ แต่ผมก็ไม่คิดที่จะทิ้งวิชาที่เรียนมา เพียงแต่ตอนนี้อยากจะทำอะไรซักอย่างที่ตัวเองอยากทำจริงๆ ทำแล้วมีความสุข ทำแล้วมีเงินเก็บ
...อะไรซักอย่างที่ตัวเองอยากทำจริงๆ ทำแล้วมีความสุข ทำแล้วมีเงินเก็บ ข้อความข้างต้นเป็นโจทย์ที่ผมครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลาที่ทำงานที่ร้านกาแฟ ความโชคดีของผมอีกอย่างคือการที่ได้มารู้จักกับพี่กิจ แกเป็นคนที่เป็นต้นแบบเป็นตัวอย่างในการคิด การวางแผน ช่วงเวลาที่ผมทำงานกับแกก็สอนผมแนะนำผมทั้งเรื่องการเรียนและการใช้เงินเหมือนเป็นน้องชายคนนึงของแก ด้วยความเหมือนเรื่องสถานะทางครอบครัวในไว้เด็กของผมกับพี่กิจทำให้แกเข้าใจผมเป็นอย่างดีแกก็แนะนำการใช้ชีวิตและวิธีการที่จะหาเงิน พี่กิจเป็นคนที่มีทักษะในการทำธุรกิจด้วยประสบการณ์ที่แกลองทำธุรกิจต่างๆ จนทุกวันนี้แกประสบความสำเร็จในการทำร้านกาแฟ และแกก็ยังคิดทำนั่น โน่น นี่ อีกหลายอย่าง แล้วผมก็ได้ซึมซับความแนวความคิดการเป็นนักธุรกิจกับแกมาพอสมควร
ด้วยโจทย์ที่ว่า “ทำอะไรซักอย่างที่ตัวเองอยากทำ ทำแล้วมีความสุข ทำแล้วมีเงินเก็บ” ทำให้ผมเริ่มมองหาช่องทางในการทำธุรกิจ การเริ่มต้นของผมเริ่มจากที่หาหนังสือมาอ่าน... โชคดีของผมอีกอย่างคือช่วงที่ทำงานร้านกาแฟผมได้รู้จักผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งเป็นคนที่เข้ามาจุดประกายหลายอย่างในตัวผม บังเอิญว่าเรามีแนวความคิดที่อยากจะรวยเหมือนกันเธอเป็นคนชอบอ่านหนังสือ สนใจการเล่นหุ้น ผมก็สนใจนะ แต่ผมไม่ค่อยอ่านหนังสือ เธอเป็นคนแนะนำให้ผมเริ่มอ่านหนังสือหาข้อมูล ด้วยความคิดที่ว่าอยากจะรวย อยากจะรวย แล้วมีคนบอกว่าเล่นหุ้นสิ เล่นง่าย รวยเร็ว ผมก็เริ่มศึกษาเรื่องหุ้น เมื่อลองอ่านลองศึกษาเรื่องหุ้นทำให้ผมรู้ว่า คนที่เล่นแล้วรวยคือเค้าเล่นกันทีละเป็นแสนเป็นล้าน และผมสิเงินเก็บก้อนแรกยังไม่มีเลย ผมเลยได้แค่อ่านแล้วก็เก็บข้อมูลเหล่านั้นไว้ก่อนดูท่าจะยังต้องใช้เวลาอีกนาน ผมเริ่มมองหาเป้าหมายที่เล็กลงและใกล้ตัว ผมไปหาซื้อหนังสือ SME มาอ่าน เป็นการแนะนำการทำธุรกิจขนาดย่อม ดูจะเหมาะกับคนที่กำลังเริ่มต้นจะสร้างตัวอย่างผม ในหนังสือก็แนะนำหลายอาชีพที่น่าสนใจ พี่กิจแกเห็นผมกำลังสนใจที่จะทำธุรกิจแกเลยให้หนังสือเล่มหนึ่งกับผม ชื่อหนังสือ “คู่มือเก็บเงิน” พร้อมกับบอกว่า “แกต้องมีทุนก่อน” หนังสือเล่มนี้ทำให้ผมเริ่มต้นเก็บเงินอย่างจริงจัง เริ่มจากเงินเดือนเดือนแรกจากการทำงานร้านกาแฟผมก็เริ่มแบ่งเก็บแบ่งใช้ เพื่อจะเป็นทุนทำธุรกิจซักอย่าง
...มีสิ่งหนึ่งที่ผมได้จากหนังสือคือผมต้องมีเป้าหมายเป็นขั้น เริ่มจากเล็ก ไปใหญ่ ผมเจอธุรกิจที่หน้าสนใจที่อยากทำอยู่ 5 อย่าง คือ
1. ร้านเบเกอรี่ กาแฟ อาหารจานเดียว เพราะเป็นคนชอบทำกับข้าวและพอมีวิชาเรื่องการชงกาแฟ
2. ร้านนมสด ขนมปัง เครื่องดื่ม(เพื่อสุขภาพ)
3. E-Business การทำธุรกิจแบบออนไลน์
4. คาร์แคร์ดูแลรักษารถยนต์
5. บ้านจัดสรร-หมู่บ้านคนวัยหลังเกษียณ
ซึ่ง 5 เป้าหมายนี้ผมต้องวางแผนการเก็บเงินเพื่อจะเป็นทุน ซึ่งต้องใช้เวลาพอสมควร กว่าจะได้เริ่มนับ 1 ผมต้องเริ่มจากติดลบเยอะเพราะว่าพื้นฐานครอบครัวผมไม่ได้ร่ำรวย หลังจากเรียนจบผมก็เหมือนต้องดูแลรับผิดชอบตัวเอง 100% เพราะพี่สาวที่เคยช่วยเหลือระหว่างเรียนแกก็บอกคงไม่ได้ช่วยแล้ว ต่อไปต้องหาเอง ผมเริ่มจากติดลบ แต่ผมไม่เคยคิดน้อยใจ ไม่เคยท้อ และก็ไม่คิดจะหวังเพิ่งใคร
ขณะที่ผมทำงานร้านกาแฟผมก็พยายามให้ทำงานพิเศษเพื่อที่จะได้เงินเป็นต้นว่า ทำของมาขายที่ร้านเพื่อได้เงินเล็กๆ น้อยๆ เป็นค่าข้าว ส่วนเงินเดือนจะได้เก็บ จนผ่านไปประมาณสามเดือนผมเริ่มมีเงินเก็บจำนวนหนึ่งซึ่งพอที่จะลงทุนทำอะไรซักอย่างได้ ผมก็เริ่มหาข้อมูลธุรกิจแบบจริงจัง วิธีการของผมคือ ผมอาศัยอยู่ในเขตที่เป็นสถานศึกษาคือ เขตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ซึ่งมีประชากรจำนวนมากมาย ผมมองหาโอกาสทางธุรกิจด้วยการขับรถสำรวจถนนตั้งแต่ทางแยกเข้ามาใน ม.จนสุดทางสังเกตจดข้อมูลร้านค้าเก็บสถิติ ด้วยความที่เรียนสถาปัตย์ มันสอนให้ผมรู้ว่าผมต้องเก็บข้อมูลแบบไหนการวิเคราะห์กิจกรรม พฤติกรรมของคน จนนำไปสู่โอกาส จึงพอสรุปได้คร่าวๆ คือ
- พฤติกรรมของนิสิตชอบความสะดวกสบาย
- ชอบตามกระแส เห่อของใหม่
- ชอบความแปลกใหม่
นี่เป็นบทวิเคราะห์หยาบๆ ของกระผมเอง ผมเลยคิดหาของมาขายเพื่อจะได้เก็บเงิน โดยตั้งโจทย์ให้ตัวเองว่าจะทำอะไรดีที่แปลกไม่เหมือนใคร?
ปัจจุบัน ขณะที่ผมกำลังเขียนบทความนี้อยู่ ผมก็กำลังดำเนินธุรกิจขายลูกชิ้นปิ้งอยู่ ซึ่งผมสร้างความแปลกใหม่ด้วยรูปแบบที่ไม่มีใครทำ คิดค้นสูตรน้ำจิ้มที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง หาจุดขายให้สินค้า เริ่มดำเนินการได้ประมาณ 3 อาทิตย์ปรากฏว่าผมเป็นที่น่าพอใจ กำไรเท่าตัว แต่ผมก็ยังไม่หยุดคิดที่จะทำอย่างอื่น เริ่มจากเล็กๆ ไปหาใหญ่ๆ
.....เริ่มต้นอย่างไร?
เริ่มต้นอย่างไร?
ได้ฤกษ์เริ่มซักที...
ผมมีความฝันอยากจะเขียนหนังสือเป็นของตัวเองซักเล่ม แต่ไม่มีโอกาสที่จะทำและไม่รู้จะทำเรื่องอะไร มีแต่ความคิดที่ว่า อยาก อยาก อยาก ไม่เริ่มซักที ผมเคยดูบท สัมภาษณ์ ของนักเขียนดังๆ มีคนถาม(ผมก็อยากถาม)ว่าอยากจะเป็นนักเขียนทำไงครับ? คำตัวของนักเขียนเหล่านั้นคือ....ถ้าอยากเป็นนักเขียนก็เขียนเลยครับ!! ก็ถูก ผมเลยเริ่มที่จะลองเขียนบทความนี้ดูซึ่งความคิดนี้ก็ผุดขึ้นมาตอนที่ผมกำลังนั่งล้างจานอยู่ในห้องน้ำ ผมตั้งใจจะทำหนังสือเล่มนี้ให้สมบูรณ์ ผมเคยอ่านหนังสือหลายเล่มที่เกี่ยวกับการทำธุรกิจ นักเขียนจะเขียนเมื่อตอนที่ตัวเขาประสบความสำเร็จแล้ว ซึ่งก็เป็นการบอกเล่าประสบการณ์ที่ผ่านมาเพื่อเป็นข้อคิดและแนวทางให้กับคนอ่าน แต่ผมอยากทำหนังสือที่คนเขียนเริ่มเขียนพร้อมกับการเริ่มทำธุรกิจ อ่านแล้วได้มองเห็นสิ่งที่ผมกำลังคิดกำลังทำอยู่ ซึ่งผมไม่รู้หรอกว่าอนาคตผมจะประสบความสำเร็จหรือไม่ แต่อย่างน้อยถ้าคนที่ได้อ่านเรื่องราวผมเค้าก็จะได้รับรู้เรื่องราวการทำธุรกิจของผม วิธีการและแนวคิดของผมในการทำงาน เพื่อเป็นวิทยาทาน....
.....ก่อนอื่นแนะนำตัวนิดนึงครับ ผมเป็นเด็กหนุ่มคนนึงที่มีความฝันเหมือนเด็กหนุ่มทั่วไป ที่ฝันอยากจะประสบความสำเร็จสูงสุดในชีวิต จึงนำพามาสู่เส้นทางที่คิดว่าจะนำไปสู่ความสำเร็จ ซึ่งผมก็เหมือนคนทั่วไปที่พยายามหาหนทางค้นหาตัวเอง ตามหากล่องพรสวรรค์ที่ใครไม่รู้บอกไว้ว่าคนเราทุกคนเกิดมาพร้อมกล่องพรสวรรค์ ซึ่ง ณ ตอนนี้ผมก็ยังไม่รู้เลยว่ากล่องนั้นมันมีสำหรับทุกคนหรือเปล่า...
.....ความฝัน เชื่อว่าทุกคนถูกถามเรื่องความฝันในอนาคตตั้งแต่วัยเด็ก ซึ่งตอนนั้นเราจำไม่ได้หรอกว่าเราตอบอะไรไปบ้าง ผมคิดว่าสังคมไทยพยายามปลูกฝั่งเรามาตั้งแต่เด็กเรื่องของการประกอบอาชีพในอนาคต ซึ่งแน่นอนมันมีอยู่ไม่กี่อาชีพหรอก ได้แก่ ถ้าเด็กผู้ชายก็ ทหารครับ ตำรวจครับ เด็กผู้หญิงก็หมอค่ะ พยาบาลค่ะ และอาชีพครู ที่เด็กส่วนนึงที่พ่อแม่เป็นครูจะถูกปลูกฝั่งในเดินตามรอย แน่นอนครับผมเป็นเด็กผู้ชายผมยังจำได้ว่าตอนเด็กผมฝันอยากเป็นทหาร เพราะคิดว่าเท่จังได้จับปืน ได้ใส่เครื่องแบบเท่ๆ แล้วมันก็ถูกฝังลงในสมองส่วนลึกๆ ทำให้ผมพยายามที่จะทำตามความฝันนั้น..
...แต่ เมื่อพอผมกำลังเริ่มจะโตขึ้น โลกกระทัดมันกว้าง เราเจอสิ่งแปลกใหม่ มีทางเลือกมากมาย ผมได้ลองถามตัวเองอีกครั้งก่อนจะจบ ม.ปลายว่าตัวเองชอบอะไร? ความฝัน? ณ ตอนนั้นเป็นช่วงเวลาที่เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อมากเพราะตอนนั้นคิดว่าการเลือกเรียนมหาลัย มันเป็นการเลือกอาชีพที่เราะจะเป็นในอนาคต เพราะฉะนั้นการจะเลือกเรียนคณะอะไร ก็เหมือนเลือกว่าอนาคตเราจะเป็นอะไรนั่นเอง (ความคิด ณ ตอนนั้น) เลยตัดสินใจ..
..ผมเลือกเรียนสถาปัตย์ เพราะตัวเองเป็นคนช่างคิดช่างประดิษฐ์ มีฝีมือด้านศิลปะเล็กน้อยไม่ถือว่าเก่งมาก เข้ามาเรียนสองปีแรกก็รู้สึกว่าสนุกเริ่มมีความฝันพรั่งพรูในสมอง ว่าจะเป็นสถาปนิกที่เก่งมีชื่อเสียง จะสร้างงานออกแบบที่ทุกคนเห็นแล้วร้อง โอ้ว้าวววว เป็นเด็กหนุ่มสถาปัตย์ที่มีไฟแรงกล้า พอขึ้นปีสาม มันเป็นอีกช่วงที่ผมย้อนดูตัวเองเพราะรู้สึกว่าตัวเองยังไม่อยากจะอยู่แค่ตรงนี้ หลังจากที่นั่งครุ่นคิดอยู่ซักพัก ความฝันในไวเด็กก็ผุดขึ้นมาในหัว ทหาร! แต่! เราเลือกเรียนสถาปัตย์แล้วทำไงดี? แต่ดีที่ผมเรียน รด.มาตอน ม.ปลายจึงเห็นหนทางที่จะนำไปสู่การเป็นทหารได้ จึงตัดสินใจเรียน รด.ต่อ ปี 4-5 เพื่อที่จะเป็นว่าที่ร้อยตรี เผื่อว่าในอนาคตเราจะได้มีโอกาสเข้ารับราชการทหาร ตามความฝันที่แม่อยากให้เป็น
...พอเรียนจบ ผมไม่อยากทำงานเป็นพนักงานออฟฟิต เป็นมนุษย์เงินเดือน เพราะเห็นสภาพและสัมผัสชีวิตออฟฟิตตอนที่ฝึกงาน ทำให้ผมยังไม่อยากที่จะเข้าไปทำงานเป็นพนักงานออฟฟิต หลังจากที่เรียนจบใหม่ จึงนำมาสู่เรื่องราว ที่เป็นแรงผลักดันและเป็นแรงบันดาลใจให้ผมอยากจะเขียนบทความ(อยากทำหนังสือ) บทความนี้ขึ้นมา
....ด้วยความโชคดี ในความโชคร้าย ตอนปีสุดท้ายก่อนจะเรียนจบสถาปัตย์ เทอมทำวิจัยก่อนจะสำเร็จการศึกษา ปรากฏว่าผมไม่ผ่านวิจัย เป็นเรื่องน่าเศร้ามาก(ขอระบายความอัดอั้น) ...เทอมสุดท้ายของการเป็นนิสิตสถาปัตย์ก็จะมีแค่ทำวิจัยเพื่อเป็นผลงานก่อนจบ ซึ่งผมก็รู้ตัวเองว่าคะแนนไม่ค่อยจะดี ผลงานก็อยู่ในเกณฑ์กลางๆ ก็ตั้งใจว่าจะพยายามเอาผมเองให้รอด จนมีถึงจะปลายเทอม ปรากฏว่าติด F ในวิชาวิจัยผลคือผมต้องรอเรียนใหม่อีกปี ทำให้ผมจบช้ากว่าเพื่อนรุ่นเดียวกัน 1 ปี ซึ่ง ณ ตอนนั้นผมก็ไม่ได้เตรียมใจไว้หรอกว่าตัวเองจะไม่ผ่านก็ลุ้นๆ วันที่ประกาศผลคะแนนผมกำลังเตรียมเอกสารเพื่อจะไปสมัครงาน พอรู้ผลคะแนนตัวเองถึงกับเข่าอ่อน รู้สึกหดหู่ หมดกำลังใจ ร่างกายไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาทันที ใช้เวลาประมาณสองอาทิตย์ ถึงจะตั้งสติและกู้กำลังใจตัวเองกลับมาได้ ซึ่งกำลังใจที่ได้ก็คือจากครอบครัว โชคดีที่ครอบครัวผมเข้าใจและให้โอกาส.... ผมก็สานฝันต่อด้วยโอกาสที่มี จนเทอมสุดท้าย(รอบที่สอง) ผมก็เรียนแค่ตัวเดียวเลยมีเวลาว่างเยอะ โชคดีได้ไปเจออาจารย์คนนึงซึ่งเป็นรุ่นพี่ที่คณะชื่อ อ.กิจ(พี่กิจ) แกมาสอนเป็นอาจารย์พิเศษที่คณะด้วย แกทำร้านกาแฟ ช่วงนั้นเป็นช่วงที่แฟนอาจารย์ท้องแก่ใกล้คลอดเลยไม่มีคนช่วยที่ร้าน บังเอิญวันนึงผมไปนั่งกินกาแฟที่ร้านของแก แกก็ถามเรื่องการเรียน ก็เลยนำมาสู่การได้เข้ามาทำงานร้านกาแฟ
....การมาทำงานที่ร้านกาแฟกับ พี่กิจ เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด ช่วงแรกที่ผมช่วยงานพี่กิจที่ร้านกาแฟก็เป็นผู้ช่วยธรรมดา เริ่มจากการตักน้ำแข็ง ปั่นเครื่องดื่ม ก็เริ่มทำนั่น โน่น นี่ เยอะขึ้นแกก็สอนผมชง สอนสูตร สอนทุกอย่างจนเป็น จนแกมั่นใจให้ผมดูแลแทนช่วงที่ติดธุระ ช่วงนั้นเรียนด้วยก็รับทำเป็นพาสไทม์ พี่กิจช่วยเหลือทั้งเรื่องงานและเรื่องเรียน ผมทำงานด้วยและเรียนด้วยอยู่ประมาณเทอมกว่าๆ มันทำให้ผมชำนาญและฝีมือชงกาแฟก็โอเค พอผมจบพี่กิจเลยชวนมาทำงานแบบเต็มตัวแกมีสองสาขา ให้ผมดูแลอีกสาขาเพราะผู้จัดการคนเก่าจะออก ผมก็เลยเข้าทำงานที่ร้านกาแฟหน้าตึกคณะสถาปัตย์ที่ผมเคยเรียนอยู่ ในตำแหน่งผู้จัดการร้าน(ฟังดูดี^^)
....จุดเริ่มต้นของเรื่องราวก็เกิดจากการที่ผมเบื่องานออฟฟิต ไม่อยากทำงานบริษัทเป็นพนักงาน เป็นมนุษย์เงินเดือน ไม่ใช่เพราะผมกลัวลำบากหรือเพราะกลัวทำไม่ได้ แต่เป็นเพราะผมเคยใช้ชีวิตการเป็นลูกจ้างรายวัน เป็นมนุษย์เงินเดือน เคยทำงานในโรงงาน ในออฟฟิตผ่านความลำบากมาหมดแล้วตั้งแต่วัยเด็ก ผมเลยยังไม่อยากที่จะเข้าไปอยู่ในสภาวะแบบนั้นถึงแม้ว่าจะทำงานเกี่ยวกับสายงานที่ตัวเองเรียนมาก็เถอะ แต่ผมก็ไม่คิดที่จะทิ้งวิชาที่เรียนมา เพียงแต่ตอนนี้อยากจะทำอะไรซักอย่างที่ตัวเองอยากทำจริงๆ ทำแล้วมีความสุข ทำแล้วมีเงินเก็บ
...อะไรซักอย่างที่ตัวเองอยากทำจริงๆ ทำแล้วมีความสุข ทำแล้วมีเงินเก็บ ข้อความข้างต้นเป็นโจทย์ที่ผมครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลาที่ทำงานที่ร้านกาแฟ ความโชคดีของผมอีกอย่างคือการที่ได้มารู้จักกับพี่กิจ แกเป็นคนที่เป็นต้นแบบเป็นตัวอย่างในการคิด การวางแผน ช่วงเวลาที่ผมทำงานกับแกก็สอนผมแนะนำผมทั้งเรื่องการเรียนและการใช้เงินเหมือนเป็นน้องชายคนนึงของแก ด้วยความเหมือนเรื่องสถานะทางครอบครัวในไว้เด็กของผมกับพี่กิจทำให้แกเข้าใจผมเป็นอย่างดีแกก็แนะนำการใช้ชีวิตและวิธีการที่จะหาเงิน พี่กิจเป็นคนที่มีทักษะในการทำธุรกิจด้วยประสบการณ์ที่แกลองทำธุรกิจต่างๆ จนทุกวันนี้แกประสบความสำเร็จในการทำร้านกาแฟ และแกก็ยังคิดทำนั่น โน่น นี่ อีกหลายอย่าง แล้วผมก็ได้ซึมซับความแนวความคิดการเป็นนักธุรกิจกับแกมาพอสมควร
ด้วยโจทย์ที่ว่า “ทำอะไรซักอย่างที่ตัวเองอยากทำ ทำแล้วมีความสุข ทำแล้วมีเงินเก็บ” ทำให้ผมเริ่มมองหาช่องทางในการทำธุรกิจ การเริ่มต้นของผมเริ่มจากที่หาหนังสือมาอ่าน... โชคดีของผมอีกอย่างคือช่วงที่ทำงานร้านกาแฟผมได้รู้จักผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งเป็นคนที่เข้ามาจุดประกายหลายอย่างในตัวผม บังเอิญว่าเรามีแนวความคิดที่อยากจะรวยเหมือนกันเธอเป็นคนชอบอ่านหนังสือ สนใจการเล่นหุ้น ผมก็สนใจนะ แต่ผมไม่ค่อยอ่านหนังสือ เธอเป็นคนแนะนำให้ผมเริ่มอ่านหนังสือหาข้อมูล ด้วยความคิดที่ว่าอยากจะรวย อยากจะรวย แล้วมีคนบอกว่าเล่นหุ้นสิ เล่นง่าย รวยเร็ว ผมก็เริ่มศึกษาเรื่องหุ้น เมื่อลองอ่านลองศึกษาเรื่องหุ้นทำให้ผมรู้ว่า คนที่เล่นแล้วรวยคือเค้าเล่นกันทีละเป็นแสนเป็นล้าน และผมสิเงินเก็บก้อนแรกยังไม่มีเลย ผมเลยได้แค่อ่านแล้วก็เก็บข้อมูลเหล่านั้นไว้ก่อนดูท่าจะยังต้องใช้เวลาอีกนาน ผมเริ่มมองหาเป้าหมายที่เล็กลงและใกล้ตัว ผมไปหาซื้อหนังสือ SME มาอ่าน เป็นการแนะนำการทำธุรกิจขนาดย่อม ดูจะเหมาะกับคนที่กำลังเริ่มต้นจะสร้างตัวอย่างผม ในหนังสือก็แนะนำหลายอาชีพที่น่าสนใจ พี่กิจแกเห็นผมกำลังสนใจที่จะทำธุรกิจแกเลยให้หนังสือเล่มหนึ่งกับผม ชื่อหนังสือ “คู่มือเก็บเงิน” พร้อมกับบอกว่า “แกต้องมีทุนก่อน” หนังสือเล่มนี้ทำให้ผมเริ่มต้นเก็บเงินอย่างจริงจัง เริ่มจากเงินเดือนเดือนแรกจากการทำงานร้านกาแฟผมก็เริ่มแบ่งเก็บแบ่งใช้ เพื่อจะเป็นทุนทำธุรกิจซักอย่าง
...มีสิ่งหนึ่งที่ผมได้จากหนังสือคือผมต้องมีเป้าหมายเป็นขั้น เริ่มจากเล็ก ไปใหญ่ ผมเจอธุรกิจที่หน้าสนใจที่อยากทำอยู่ 5 อย่าง คือ
1. ร้านเบเกอรี่ กาแฟ อาหารจานเดียว เพราะเป็นคนชอบทำกับข้าวและพอมีวิชาเรื่องการชงกาแฟ
2. ร้านนมสด ขนมปัง เครื่องดื่ม(เพื่อสุขภาพ)
3. E-Business การทำธุรกิจแบบออนไลน์
4. คาร์แคร์ดูแลรักษารถยนต์
5. บ้านจัดสรร-หมู่บ้านคนวัยหลังเกษียณ
ซึ่ง 5 เป้าหมายนี้ผมต้องวางแผนการเก็บเงินเพื่อจะเป็นทุน ซึ่งต้องใช้เวลาพอสมควร กว่าจะได้เริ่มนับ 1 ผมต้องเริ่มจากติดลบเยอะเพราะว่าพื้นฐานครอบครัวผมไม่ได้ร่ำรวย หลังจากเรียนจบผมก็เหมือนต้องดูแลรับผิดชอบตัวเอง 100% เพราะพี่สาวที่เคยช่วยเหลือระหว่างเรียนแกก็บอกคงไม่ได้ช่วยแล้ว ต่อไปต้องหาเอง ผมเริ่มจากติดลบ แต่ผมไม่เคยคิดน้อยใจ ไม่เคยท้อ และก็ไม่คิดจะหวังเพิ่งใคร
ขณะที่ผมทำงานร้านกาแฟผมก็พยายามให้ทำงานพิเศษเพื่อที่จะได้เงินเป็นต้นว่า ทำของมาขายที่ร้านเพื่อได้เงินเล็กๆ น้อยๆ เป็นค่าข้าว ส่วนเงินเดือนจะได้เก็บ จนผ่านไปประมาณสามเดือนผมเริ่มมีเงินเก็บจำนวนหนึ่งซึ่งพอที่จะลงทุนทำอะไรซักอย่างได้ ผมก็เริ่มหาข้อมูลธุรกิจแบบจริงจัง วิธีการของผมคือ ผมอาศัยอยู่ในเขตที่เป็นสถานศึกษาคือ เขตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ซึ่งมีประชากรจำนวนมากมาย ผมมองหาโอกาสทางธุรกิจด้วยการขับรถสำรวจถนนตั้งแต่ทางแยกเข้ามาใน ม.จนสุดทางสังเกตจดข้อมูลร้านค้าเก็บสถิติ ด้วยความที่เรียนสถาปัตย์ มันสอนให้ผมรู้ว่าผมต้องเก็บข้อมูลแบบไหนการวิเคราะห์กิจกรรม พฤติกรรมของคน จนนำไปสู่โอกาส จึงพอสรุปได้คร่าวๆ คือ
- พฤติกรรมของนิสิตชอบความสะดวกสบาย
- ชอบตามกระแส เห่อของใหม่
- ชอบความแปลกใหม่
นี่เป็นบทวิเคราะห์หยาบๆ ของกระผมเอง ผมเลยคิดหาของมาขายเพื่อจะได้เก็บเงิน โดยตั้งโจทย์ให้ตัวเองว่าจะทำอะไรดีที่แปลกไม่เหมือนใคร?
ปัจจุบัน ขณะที่ผมกำลังเขียนบทความนี้อยู่ ผมก็กำลังดำเนินธุรกิจขายลูกชิ้นปิ้งอยู่ ซึ่งผมสร้างความแปลกใหม่ด้วยรูปแบบที่ไม่มีใครทำ คิดค้นสูตรน้ำจิ้มที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง หาจุดขายให้สินค้า เริ่มดำเนินการได้ประมาณ 3 อาทิตย์ปรากฏว่าผมเป็นที่น่าพอใจ กำไรเท่าตัว แต่ผมก็ยังไม่หยุดคิดที่จะทำอย่างอื่น เริ่มจากเล็กๆ ไปหาใหญ่ๆ
.....เริ่มต้นอย่างไร?