ปาตีเมาะ เริ่มต้นด้วยการแจกแจงว่า ปัญหาชายแดนใต้จริงๆ ในมุมมองของผู้หญิงในพื้นที่มีด้วยกัน 5 สาเหตุ คือ
1.แบ่งแยกดินแดน แต่มีคนที่คิดแบบนี้อยู่ประมาณ 20% ของประชากรทั้งหมด
2.เรื่องยาเสพติด เป็นปัญหาประมาณ 30% โดยเฉพาะใบกระท่อม บางครอบครัวภรรยาต้องต้มน้ำใบกระท่อมให้สามีกินเพื่อไม่ให้ออกจากบ้านไปลักขโมยของของคนอื่น ขณะที่บางครอบครัวลูกเห็นพ่อกินใบกระท่อมก็กินตาม ทำให้ยาเสพติดจำพวกนี้ลามถึงเด็กอนุบาล คือได้พบเห็น เกี่ยวข้อง และสัมผัสแทบทุกวัน
3.ปัญหาเรื่องผลประโยชน์ เหตุรุนแรงบางเหตุ โดยเฉพาะเหตุยิงรายวัน เป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ได้เชื่อมโยงกับสถานการณ์ความไม่สงบ แต่เจ้าหน้าที่มักสรุปคดีว่าเกี่ยวข้องกับความมั่นคง เพราะจะได้ไม่ต้องทำงานหนักติดตามตัวคนร้ายมาดำเนินคดี ขณะที่ประชาชนบางส่วนก็ชอบให้เจ้าหน้าที่สรุปว่าเป็นคดีความมั่นคงเช่นกัน เพราะจะได้รับเงินเยียวยาในอัตราที่สูง เช่น ภรรยารู้ทั้งรู้ว่าสามีขัดแย้งผลประโยชน์หรือไปมีเรื่องกับใครมา แต่เมื่อถูกยิงตายก็มักจะให้เจ้าหน้าที่รีบสรุปสำนวนว่าเกี่ยวกับการก่อความไม่สงบ เพื่อจะได้เงินเยียวยาจากภาครัฐ ดังนั้นสถิติการเสียชีวิตของคนในพื้นที่ที่เป็นคดีความมั่นคงจึงสูงขึ้นเรื่อยๆ เพราะจะยิงใครหรือฆ่าใครก็ได้ สามารถนำไปโยงเรื่องสร้างสถานการณ์ได้ทั้งสิ้น
4.ปัญหาการลักลอบค้าน้ำมันเถื่อน เป็นธุรกิจขนาดใหญ่ เนื่องจากชาวบ้านในพื้นที่ไม่นิยมเติมน้ำมันตามปั๊ม แต่จะไปใช้น้ำมันจากประเทศมาเลเซียเพราะราคาถูกกว่า จนเกิดการลักลอบค้าน้ำมันเถื่อนอย่างไม่เกรงกลังกฎหมาย และ
5.ปัญหาความไม่เป็นธรรม
"ปัญหาทั้งหมดนี้รัฐแก้แค่เรื่องเดียว คือเรื่องแบ่งแยกดินแดน ซึ่งเป็นเพียง 20% ของปัญหาในพื้นที่ แต่กลับทุ่มงบประมาณจำนวนมากในเรื่องการจัดกำลังเจ้าหน้าที่ การจัดซื้ออาวุธ แต่ลืมแก้ปัญหาเรื่องคุณภาพชีวิตของคน"
ปาตีเมาะ กล่าวต่อว่า ตอนนี้รัฐพยายามบอกว่าการแก้ปัญหาต้องฟังเสียงชาวบ้าน แต่ไม่เคยเห็นรัฐบาลชุดไหนนำข้อเสนอของชาวบ้านไปแก้ไขจริงๆ เลย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเวทีที่หน่วยงานรัฐจัดขึ้น คนที่เข้าไปร่วมส่วนใหญ่เป็นคนหน้าเดิมๆ 10-20 เวทีก็วนกันอยู่ไปแบบนี้
ที่ผ่านมามีหลายองค์กรที่ไม่เกี่ยวข้องกับภาครัฐลงพื้นที่ไปสอบถามชาวบ้านซึ่งเป็นรากหญ้าจริงๆ ปรากฏว่าสิ่งที่ชาวบ้านต้องการ คือ 1.อยากให้รัฐแก้ปัญหาเรื่องยาเสพติด
2.เรื่องการศึกษา เพราะเด็กบางคนเรียนถึงชั้น ป.6 ยังอ่านหนังสือไม่ออก เขียนหนังสือไม่ได้
3.ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน และ
4.ปัญหาเรื่องกระบวนการยุติธรรม โดยชาวบ้านไม่ต้องการแบ่งแยกดินแดน ถามว่าสันติภาพในมุมมองของชาวบ้านคืออะไร ส่วนใหญ่ตอบว่าอยากอยู่อย่างสงบสุข กินอิ่มนอนอุ่นเท่านั้น
นอกจากนั้นยังพบปัญหาความรุนแรงในครอบครัวที่มีส่วนกระตุ้นให้เกิดสถานการณ์รุนแรงในพื้นที่ มีกฎชุมชนบางแห่งที่ไม่ได้สร้างขึ้นเพื่อแก้ปัญหาให้สังคมสงบสุข แต่กลายเป็นกฎที่ลิดรอนสิทธิของผู้หญิง เช่น ผู้หญิงคนใดนั่งซ้อนรถมอเตอร์ไซค์ผู้ชายที่ไม่ใช่ญาติพี่น้องก็จะถูกจับแต่งงาน หรือการประกาศผ่านหอกระจายข่าวว่า ถ้าเจอ ผู้หญิงคนไหนไม่ใส่ฮิญาบ (ผ้าคลุมศีรษะ) ออกจากบ้าน จะถูกจับโกนผม อยากถามว่าที่นี่คือประเทศไทย กฎหมายไม่ได้เขียนให้เรื่องแบบนี้เป็นความผิดที่ต้องถูกลงโทษ แล้วมีกฎแบบนี้ได้อย่างไร
ผู้หญิงคนไหนไม่ใส่ฮิญาบ (ผ้าคลุมศีรษะ) ออกจากบ้าน จะถูกจับโกนผม
1.แบ่งแยกดินแดน แต่มีคนที่คิดแบบนี้อยู่ประมาณ 20% ของประชากรทั้งหมด
2.เรื่องยาเสพติด เป็นปัญหาประมาณ 30% โดยเฉพาะใบกระท่อม บางครอบครัวภรรยาต้องต้มน้ำใบกระท่อมให้สามีกินเพื่อไม่ให้ออกจากบ้านไปลักขโมยของของคนอื่น ขณะที่บางครอบครัวลูกเห็นพ่อกินใบกระท่อมก็กินตาม ทำให้ยาเสพติดจำพวกนี้ลามถึงเด็กอนุบาล คือได้พบเห็น เกี่ยวข้อง และสัมผัสแทบทุกวัน
3.ปัญหาเรื่องผลประโยชน์ เหตุรุนแรงบางเหตุ โดยเฉพาะเหตุยิงรายวัน เป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ได้เชื่อมโยงกับสถานการณ์ความไม่สงบ แต่เจ้าหน้าที่มักสรุปคดีว่าเกี่ยวข้องกับความมั่นคง เพราะจะได้ไม่ต้องทำงานหนักติดตามตัวคนร้ายมาดำเนินคดี ขณะที่ประชาชนบางส่วนก็ชอบให้เจ้าหน้าที่สรุปว่าเป็นคดีความมั่นคงเช่นกัน เพราะจะได้รับเงินเยียวยาในอัตราที่สูง เช่น ภรรยารู้ทั้งรู้ว่าสามีขัดแย้งผลประโยชน์หรือไปมีเรื่องกับใครมา แต่เมื่อถูกยิงตายก็มักจะให้เจ้าหน้าที่รีบสรุปสำนวนว่าเกี่ยวกับการก่อความไม่สงบ เพื่อจะได้เงินเยียวยาจากภาครัฐ ดังนั้นสถิติการเสียชีวิตของคนในพื้นที่ที่เป็นคดีความมั่นคงจึงสูงขึ้นเรื่อยๆ เพราะจะยิงใครหรือฆ่าใครก็ได้ สามารถนำไปโยงเรื่องสร้างสถานการณ์ได้ทั้งสิ้น
4.ปัญหาการลักลอบค้าน้ำมันเถื่อน เป็นธุรกิจขนาดใหญ่ เนื่องจากชาวบ้านในพื้นที่ไม่นิยมเติมน้ำมันตามปั๊ม แต่จะไปใช้น้ำมันจากประเทศมาเลเซียเพราะราคาถูกกว่า จนเกิดการลักลอบค้าน้ำมันเถื่อนอย่างไม่เกรงกลังกฎหมาย และ
5.ปัญหาความไม่เป็นธรรม
"ปัญหาทั้งหมดนี้รัฐแก้แค่เรื่องเดียว คือเรื่องแบ่งแยกดินแดน ซึ่งเป็นเพียง 20% ของปัญหาในพื้นที่ แต่กลับทุ่มงบประมาณจำนวนมากในเรื่องการจัดกำลังเจ้าหน้าที่ การจัดซื้ออาวุธ แต่ลืมแก้ปัญหาเรื่องคุณภาพชีวิตของคน"
ปาตีเมาะ กล่าวต่อว่า ตอนนี้รัฐพยายามบอกว่าการแก้ปัญหาต้องฟังเสียงชาวบ้าน แต่ไม่เคยเห็นรัฐบาลชุดไหนนำข้อเสนอของชาวบ้านไปแก้ไขจริงๆ เลย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเวทีที่หน่วยงานรัฐจัดขึ้น คนที่เข้าไปร่วมส่วนใหญ่เป็นคนหน้าเดิมๆ 10-20 เวทีก็วนกันอยู่ไปแบบนี้
ที่ผ่านมามีหลายองค์กรที่ไม่เกี่ยวข้องกับภาครัฐลงพื้นที่ไปสอบถามชาวบ้านซึ่งเป็นรากหญ้าจริงๆ ปรากฏว่าสิ่งที่ชาวบ้านต้องการ คือ 1.อยากให้รัฐแก้ปัญหาเรื่องยาเสพติด
2.เรื่องการศึกษา เพราะเด็กบางคนเรียนถึงชั้น ป.6 ยังอ่านหนังสือไม่ออก เขียนหนังสือไม่ได้
3.ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน และ
4.ปัญหาเรื่องกระบวนการยุติธรรม โดยชาวบ้านไม่ต้องการแบ่งแยกดินแดน ถามว่าสันติภาพในมุมมองของชาวบ้านคืออะไร ส่วนใหญ่ตอบว่าอยากอยู่อย่างสงบสุข กินอิ่มนอนอุ่นเท่านั้น
นอกจากนั้นยังพบปัญหาความรุนแรงในครอบครัวที่มีส่วนกระตุ้นให้เกิดสถานการณ์รุนแรงในพื้นที่ มีกฎชุมชนบางแห่งที่ไม่ได้สร้างขึ้นเพื่อแก้ปัญหาให้สังคมสงบสุข แต่กลายเป็นกฎที่ลิดรอนสิทธิของผู้หญิง เช่น ผู้หญิงคนใดนั่งซ้อนรถมอเตอร์ไซค์ผู้ชายที่ไม่ใช่ญาติพี่น้องก็จะถูกจับแต่งงาน หรือการประกาศผ่านหอกระจายข่าวว่า ถ้าเจอ ผู้หญิงคนไหนไม่ใส่ฮิญาบ (ผ้าคลุมศีรษะ) ออกจากบ้าน จะถูกจับโกนผม อยากถามว่าที่นี่คือประเทศไทย กฎหมายไม่ได้เขียนให้เรื่องแบบนี้เป็นความผิดที่ต้องถูกลงโทษ แล้วมีกฎแบบนี้ได้อย่างไร