ถ้าคุณเจอแบบผม แฟนคุณที่กำลังจะแต่งทำแบบนี้ คุณจะคิดยังไง

เข้าเรื่องเลยนะครับ

ผมคบกับแฟนมานานหลายปี ทีนี้ก็ถึงเวลาที่จะต้องสร้างครอบครัวแต่งงานกัน โดยตลอดมาผมเองพยายามเก็บเงินเพื่อจะได้นำมาเป็นค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการแต่งงาน โดยเราสองคนสรุปว่าจะจดทะเบียนกันในเช้าวันแต่งงาน

เนื่องจากว่าเราคบกันมานาน สถานะการเงินของทั้งผมเองและของเธอ เราสองคนต่างรู้ ไม่มีปิดกั้นกัน จะกินจะใช้จ่ายอะไรก็จะรับรู้กันตลอด

ทีนี้ใกล้งานแต่งเข้ามาเรื่อยๆ ผมเองเพิ่งจะมาทราบว่าเธอได้โอนเงินเก็บของเธอเกือบ 80% ไปให้แม่ โดยหลังจากผมรู้ ผมได้ถามเธอว่าคุณแม่ติดขัดอะไรหรือไม่ เธอบอกว่าแม่ไม่ได้ติดขัดเรื่องเงินทองอะไร แต่แม่อยากให้เงินเก็บก้อนนี้เป็นเงินของครอบครัวของเธอเอง ไม่ใช่จะกลายเป็นทรัพย์สินสมรสในอนาคต ซึ่งเธอก็เห็นด้วย จึงได้โอนไป ผมฟังแล้ว... เอิ่มมมมมม...

คุณเป็นผมคุณจะคิดยังไง

พื้นฐานรายได้ผมมากกว่าเธอ เธอทำงานระดับ Officer ส่วนผมทำงานระดับ Officer and Advisor, เธอเงินเดือน 19000 ผมเงินเดือน 50000 ไม่ต้องพูดถึงเรื่องรถและบ้านกับเธอ ส่วนผมบ้านมี รถมี, อายุ 28 ทั้งคู่

เงินสดเก็บผมอยู่ที่ 600,000 ไม่รวมทองและหุ้น, เงินเก็บเธอ 150,000 ก็ 80% จาก 150,000 ที่โอนไปให้แม่เธอ ไม่มีทอง ไม่มีหุ้น

นี่ผมกำลังคิดจะบอกพ่อแม่ให้ล้มขันหมาก (ณ ตอนนี้ คือเลื่อนแต่งออกไปก่อน) หรือไม่ก็ลดสินสอดลงทันที 80% เช่นเดียวกัน

คุณเป็นผมคุณจะคิดยังไง
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 31
ไม่เกี่ยวกับเรื่องเงินทองๆหรอกค่ะที่ทำให้ จขกท. ตะหงิดใจ
แต่คงเป็นวิธีการของฝ่ายหญิง ที่รู้สึกว่ามันดูแปร่งๆ
เราเองเจอแบบนี้ก็ว่าจะโอนกลับไปให้พ่อกับแม่บ้างค่ะ
80%ของเงินเก็บเท่ากันไปเลย
พอแต่งงานแล้วก็เก็บกันใหม่ก็ได้ค่ะ เริ่มสร้างเนื้อสร้างตัวไปพร้อมกัน
รู้สึกแฟร์ดีค่ะ ตอนนี้ผู้หญิงผู้ชายเขาให้ความเท่าเทียมแล้วนี่คะ
เขามีค่าน้ำนมของเขา เราเองมีพ่อแม่ต้องตอบแทนบุญคุณเหมือนกัน
อย่าลืมนะคะ พอแต่งงานแล้ว พ่อแม่คุณก็เป็นพ่อแม่เขา แล้วพ่อแม่เขาก็เป็นพ่อแม่คุณค่ะ
ถ้าในท้ายสุด แต่งงานกันแล้ว แต่ฝ่ายหญิงเอาเงินไปเลี้ยงดูแต่ฝ่ายเขา
รวมถึงตัวคุณต้องมาเลี้ยงดูทั้งเขาและครอบครัวเขา แต่ครอบครัวคุณก็เป็นคุณคนเดียวที่ต้องดูแล
เราว่าไม่ค่อยโอเคค่ะ

ความเห็นส่วนตัวนะคะ ใครไม่เห็นด้วยก็ไม่ต้องสนใจความเห็นนี้นะคะ
มองข้ามไปเลย อย่ามาเกรียนนะคะ บอกไว้ก่อน
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 52
ถ้าไม่หลับหูหลับตา    ตอบแบบโลกสวยเกินไป

ถือว่าฝ่ายหญิงเห็นแก่ตัวครับ

กะได้ฝ่ายเดียว  (คือค่าสินสอด)
ส่วนของเดิมของตนที่มี    กลัวเป็นของกลาง เป็นสินสมรส (เข้าใจผิดไปเอง)
กลัวเค้ามาแบ่ง
เสียความรู้สึกครับ   ว่ามั้ย

อย่าเพิ่งรีบแต่งครับ   แต่งไปก็โดนเอาเปรียบ
จขกท  คงไม่อยากโดนเอาเปรียบใช่มั้ยครับ

เดาล่วงหน้า  ชีวิตของชาย(ทั่วไป)
ถ้าแต่งงานกับหญิงหรือครอบครัวหญิง   ที่คิดแบบนี้ตั้งแต่ต้น    ไม่พ้น

- แต่งแล้ว   หญิงเอาเงินไปถือหมด        เค้าไม่ให้ชายเป็นฝ่ายถือเงินหรอกครับ    เซ็งเนอะ
- เงินได้แล้ว  หญิงส่งเงินให้ที่บ้านเค้าได้  ไม่เป็นไร       แต่ถ้าชายส่งเงินที่บ้านตัวเองบ้าง    คงโดนด่า    แปลกมั้ย
- หญิงทำประกันชีวิต  เค้าจะไม่ใส่ชื่อชายรับผลประโยชน์หรอกครับ   แม่เค้านู้น      
แต่เค้าจะบังคับคุณ ให้ทำประกัน      แล้วใส่ชื่อเค้า  ห้ามใส่ชื่อแม่ฝ่ายชาย     งี่เง่าดีมั้ย
- ATM คุณ   หญิงจะบังคับให้คุณบอกรหัส         แต่คุณจะไม่มีทางรู้ รหัส ATM หญิงหรอกครับ
ฯลฯ

ดังนั้น  ถ้ายังอยากแต่งงานกับคนนี้อีก    ให้แก้เผ็ดครับ
ดังนี้

1  กู้ยืมเงินมาปิดรถที่ผ่อนให้หมด    รถจะเป็นชื่อเรา ไม่ใช่สินสมรส             แต่เงินกู้จะเป็นหนี้ร่วม
2  กู้ยืมเงินมาปิดบ้าน    บ้านจะเป็นของเรา ไม่ใช่สินสมรส                          แต่เงินกู้จะเป็นหนี้ร่วม  
3  ฝากเงินไว้ในหุ้น  อย่าให้เค้าเห็นเงินสดเราในธนาคาร  หรือให้เห็นน้อยๆ
4  แยกจ่ายภาษี      เพราะเค้าจะฝากคุณคำนวณ  และจ่ายเงินไปเลย          แต่เค้าจะไม่ออกเงินให้  เนียนมั้ย

อีกเยอะครับ  

หญิงหลายคน  แต่งงานเหมือนกับลงทุนธุรกิจ    
อยากได้มากที่สุด   ขอตัวเองได้ฝ่ายเดียว
"พอชายทักท้วงก็แกล้งโกรธ     หาว่าไม่รักกันจริง"

แม้แต่ตอบความเห็นนี้  
มั่นใจว่า  หญิงบางคนอ่านแล้วปรี๊ดดดทันที
เหมือนไปจี้จุด

จขกท  อย่าเพิ่งรีบร้อนนะครับ  แต่งไป ถ้าขัดใจกันท้ายสุดก็เลิก  
แล้ววันเลิก จะมาเอาสมบัติท่านไปอีก
ซวยครับ

เม่าบัลเล่ต์

รปภ บิ๊กซี เอ็กซ์ตร้า
ความคิดเห็นที่ 16
คุณก็บอกเจ้าสาวในอนาคตของคุณว่าคุณเองก็จะโอนทรัพย์สิน 80% ไปให้พ่อแม่ของคุณเหมือนกัน แล้วถามเธอว่ายังจะแต่งมั๊ย?

-เพิ่มเติม- หลังจากแต่งแล้ว ทรัพย์สินที่เธอหามาได้หลังจากนี้ก็จะกลายเป็นสินสมรส ดังนั้นอย่าเอาเรื่องเงินเดือนมาเอี่ยว
ความคิดเห็นที่ 87
สวัสดีทุกท่านนะครับ

ผมอ่านความเห็นหลายๆ ท่านแล้วก็สะท้อนว่าคนไทยอ่านหนังสือปีละ 7 บรรทัดจริง

หลายๆ ท่านต่อว่าผมว่าไม่แมน คิดหยุมหยิมเรื่องเงิน บางท่านลามไปว่าผมเสียดายเงินก้อนนั้น ก็ไม่เป็นไรครับ เพราะว่าตามที่ผมได้แจ้งไป ถ้าผมคิดหยุมหยิมเรื่องเงินจริงว่าอยากเอาเงินนั้นมาเป็นของทั้งคู่ ผมคงไม่คิดชวนให้แฟนผมจดทะเบียนกันหรอกครับ เพราะว่าถ้าอยากจะคิดหยุมหยิมจริง ดูเถิดครับว่าจดทะเบียนกันแล้วสินสมรสสัดส่นจะเป็นอย่างไร

ก็ไม่เป็นไรครับ ผมได้เล่าให้คุณพ่อคุณแม่ฟัง ว่ามีเรื่องแบบนี้ และผมคิดแบบนั้น ทางคุณพ่อคุณแม่ไม่เห็นด้วยที่จะล้มขันหมากหรือหักสินสอด บอกแต่ว่าถ้ารักกันก็ให้แต่งกันไป เรื่องสินสอด คุณพ่อคุณแม่จะจัดให้ตามที่คุยกันตอนต้นโดยไม่หักไม่ลด

แต่ว่าทางคุณพ่อคุณแม่ผมก็ให้ทางออกผมมาอย่างนึงคือ ในเมื่อทางบ้านฝ่ายหญิงกังวลเรื่องสินสมรส สินนอกสมรมมากนัก ก็เว้นเรื่องจดทะเบียนไปก่อน พร้อมแล้วค่อยจดทีหลังได้ แต่คือให้แต่งกันไปก่อน

ผมเองก็มาคิดดู ผมไม่ได้คิดประเด็นนี้มาก่อนเลย ก็สรุปว่าผมจะคุยกับแฟนพรุ่งนี้ว่าเรื่องจดทะเบียนให้เว้นไปก่อนอย่างไม่มีกำหนด ทางพ่อแม่เค้าจะได้สบายใจ

ขอบคุณทุกความเห็นมากครับ
ความคิดเห็นที่ 8
คิดหยุมหยิมจังนะคะ เราหมายถึงจขกทนะ
ถ้าเราเป็นเจ้าสาวมารู้จากกทนี้ เราเลิกเองเลยค่ะ

ฐานะ การงานคุณจัดว่าดีกว่าผู้หญิงเยอะนะคะ กับเงินแค่นั้น จะมาบอกลดสินสอด ดูไม่เข้าท่าเลย
หลายบ้านที่ผชเป็นฝ่ายเลี้ยงดูผู้หญิงหลังจากแต่งงานแล้ว

ผญ แต่งแล้วเลิก มีแต่เสีย ไม่เหมือนผชนะคะ แต่งไปแล้ว แถมผชบางบ้านก็ไม่ยอมให้ผญส่งเงินให้พ่อแม่ตัวเองก็มี
แล้วพ่อแม่เค้าจะเอาอะไรกินหรือใช้หรือรักษาตัวยามเจ็บป่วย


แค่เงิน 80% มันจะเท่าไหร่กันเชียว
ความคิดเห็นที่ 111
แสดงความคิดเห็นกันมาเยอะแยะ ..พี่สงสัยแค่นิดเดียวค่ะ
ท่านที่มาแสดงความคิดเห็น แต่งงานแล้วหรือยัง ?
เพราะหากยัง ...พวกท่านยังไม่รู้ซึ้งถึงความหมายของการแต่งงานแบบครอบครัวคนไทย..ของพ่อแม่บางประเภท !

..ต้องย้ำว่า "บางประเภท" นะคะ ไม่ได้เหมารวมพ่อปู่แม่ย่า พ่อตาแม่ยาย ทั้งหมดทุกครอบครัว

และถ้าท่านอายุ เกินหลักสี่แบบพี่ ..พบเจอเรื่องราวมามากมาย ทั้งประสบการณ์ตรง และประสบการณ์ทางอ้อมของคนรอบตัว
คุณจะเข้าใจว่าสิ่งที่ คุณ จขกท. รู้สึกอยู่ ณ เวลานี้ ไม่เกินเลยเท่าไหร่

..เพราะด้วยพื้นฐานการเพาะบ่มของวัฒนธรรมของเรา เน้นเรื่องความกตัญญูต่อบุพการี ต่อผู้มีพระคุณ
เมื่อรวม 2 ครอบครัว มาเป็น "ดอง" กันแล้ว  
หากตัว "คู่แต่งงาน" คือ ตัวเรา กับคู่สมรสของเรา ไม่มีจุดยืนที่ชัดเจนในการให้คำจำกัดความของคำว่า "กตัญญู"
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากสองคนสามีภรรยา ให้คำจำกัดความไม่เท่ากัน !
..จากประสบการณ์ บอกได้คำเดียวค่ะว่า "เจ๊ง" ทุกราย..

ขออนุญาตยกตัวอย่างเพื่อนสาวคนหนึ่ง เพื่อเป็นอุทาหรณ์
..เธอเป็นลูกคนเล็ก หัวอ่อน เป็นเด็กดีของพ่อแม่
เมื่อแต่งงานกับแฟน ..พ่อแม่เธอ ไม่อยากให้ลูกสาวแยกไปอยู่ที่อื่น ..ลูกสาวก็ไม่อยากไป เพราะโดยส่วนตัวทำงานบ้านไม่เป็น
อยู่ไปๆ ..พ่อตาแม่ยายกับลูกเขย เริ่มมีปัญหากันหนักขึ้น โดยเฉพาะเรื่องเงินๆ ทองๆ
เพราะพอเงินเดือนออก เมียยึดหมด เอาไปให้แม่ยาย เพราะแม่บอกว่าเอาไว้ใช้จ่ายในบ้าน
แต่ฝ่ายผัวก็คิดว่ามันมากไปมั้ย เพราะเล่นมายึดไปหมด ส่วนตัวไม่มีเหลือเก็บเลย
..วันหนึ่งผัวทนไม่ได้ ชวนเมียกับลูกย้ายออกจากบ้านแม่  เพราะอยากจะรู้เหลือเกินว่าจะอยู่กันเองได้มั้ย
แต่เมียไม่ยอมไป เหตุผลคือ ชั้นรักแม่ จะอยู่กับแม่
ทะเลาะกันใหญ่โต บานปลาย.. สุดท้ายกลายเป็นหย่ากันเลย สงสารแต่ลูก ต้องมาเป็นเด็กกำพร้า..

ส่วนคุณ จขกท. จะมาเดินซ้ำรอยเพื่อนพี่หรือไม่ ..ไม่สามารถบอกได้ค่ะ
เพราะต่างคน ต่างกรรม ต่างวาระ  คงได้แต่ให้ฟังไว้ และรู้ไว้ว่าเรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นจริงและสามารถพบเห็นได้อยู่ทั่วไป

สำหรับคู่ของพี่ ..โชคดีอยู่หน่อย ตรงที่เราให้คำจำกัดความของความกตัญญูต่อบุพการีไว้เท่ากัน
คือ ยอมทำให้ในระดับที่ตัวเราจะไม่เดือดร้อน
ด้วยบางทีความต้องการของพ่อแม่ ( ไม่ว่าทางฝั่งเค้า หรือฝั่งเรา ) ก็ไม่ได้ถูกต้องเหมาะสมเสมอไป
อาจต้องมีขัดใจท่านบ้าง แต่เราไม่ต้องเอาการเงินของครอบครัว เอาอนาคตของลูกเต้าเรา ไปเสี่ยงกับความอยากได้ อยากมีของปู่ย่าตายาย
แต่อะไรไม่มากเกินไป ให้ได้ เราก็ให้ท่าน เพื่อสนองพระคุณพ่อแม่ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ลูกที่ดีพึงกระทำ

..ดังนั้น พี่เห็นว่าคงเป็นเรื่องที่คุณ จขกท. ต้องพิจารณาเองแล้วล่ะ ฟังความคิดเห็นของคนอื่นที่ไม่รู้จักตัวตนของคุณ
ไม่รู้จักแฟนคุณ , ว่าที่แม่ยายคุณ ..ทุกคนก็จะพากันโดนวิจารณ์ไปต่างๆ นานา ขึ้นอยู่กับทัศนคติของเพื่อนสมาชิกแต่ละท่าน

..ลองพูดคุยกับแฟนคุณ และว่าที่แม่ยายคุณดู เพื่อหยั่งความคิด ..คุณน่าจะพอมองเห็นอนาคตได้ไม่ยาก

และสุดท้ายค่ะ..เราไม่สามารถใช้เหตุผลมาอธิบายเรื่องของความรักได้ แต่สามารถใช้เหตุผลในการตัดสินใจทำอะไรก็ตามได้
โชคดีค่ะ ดอกไม้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่