คืนวิญญาณที่สะอาดให้แก่เจ้าของ

คืนวิญญาณที่สะอาดให้แก่เจ้าของ



     บทความโดยอาจารย์บรรจง บินกาซัน ประธานโครงการอบรมผู้สนใจอิสลาม มูลนิธิสันติชน


     เมื่อประสบเคราะห์กรรมหรือได้ยินข่าวการตาย มุสลิมจะกล่าวคำว่า “อินนาลิลลาฮฺ วะอินนา อิลัยฮิรอญิอูน” ซึ่งมีความหมายว่า “แท้จริง เราเป็นของอัลลอฮฺ(พระเจ้า)และยังพระองค์ที่เราจะกลับไป” ทั้งนี้เพื่อเป็นการเตือนตัวเองให้ยอมรับความจริงว่า ชีวิตของมนุษย์ทั้งร่างกายและจิตใจมิได้เป็นของมนุษย์แต่ชีวิตของมนุษย์เป็นของพระเจ้าต่างหาก

     ถ้าใครคิดว่าชีวิตเป็นของตัวเอง ลองสั่งให้กระเพาะไม่ต้องย่อยอาหารแพงๆที่กินเข้าไปเพื่ออาหารจะได้อยู่ในร่างกายนานๆ หรือลองสั่งหัวใจให้เต้นสักสองร้อยครั้งต่อนาทีดูซิว่า มันจะเชื่อฟังเราหรือไม่ทั้งๆที่มันอยู่ในร่างกายของเรา

     แน่นอนไม่มีอวัยวะใดในร่างกายของเราเชื่อฟังเรา มันจะเชื่อฟังพระเจ้าผู้สร้างมันขึ้นมาเพื่อผลดีต่อชีวิตของเราเอง ดังนั้น เมื่อพระเจ้าเป็นเจ้าของชีวิตมนุษย์ พระองค์ย่อมจะทำกับชีวิตของเราอย่างไรก็ได้เหมือนกับที่เราจะทำอย่างไรก็ได้กับสิ่งที่เราเป็นเจ้าของ

     การยอมรับความจริงดังกล่าวทำให้มนุษย์ผู้ศรัทธาในพระเจ้ายอมรับสภาพการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับตน และส่งผลให้ผู้ประสบเคราะห์กรรมสามารถเตรียมตัวทำใจไว้สำหรับการกลับไปหาพระองค์ในอนาคต

     แต่การกลับไปหาพระเจ้าผู้เป็นเจ้าของชีวิตมิอาจเป็นไปได้เลยถ้ามนุษย์ไม่ตาย ดังนั้น ความตายจึงไม่ใช่จุดสุดท้ายของชีวิต ความตายเป็นแค่การคลอดของวิญญาณจากครรภ์แห่งโลกนี้ไปสู่อีกโลกหนึ่งเหมือนกับที่ทารกคลอดจากโลกแห่งครรภ์มารดามาสู่โลกชั่วคราวใบนี้ที่มีทั้งเรื่องดีเรื่องร้ายและเรื่องสับสนวุ่นวายเต็มไปหมด

     เมื่อทารกคลอดออกมาจากท้องแม่ ทารกไม่มีอะไรติดตัวมาเลย แต่หลังจากนั้นทารกก็ได้รับผ้าอ้อมห่มกายได้รับความรักและมือที่คอยปกป้องจากพ่อแม่ และอื่นๆอีกมากมาย สิ่งเหล่านี้ทารกมิเคยร้องขอเพราะยังพูดไม่ได้ แต่ที่ทารกได้รับก็เพราะสภาพของวิญญาณที่สะอาดบริสุทธิ์ซึ่งเห็นได้จากความไร้เดียงสารอยยิ้มและแววตาที่น่าเอ็นดูของทารก

     นี่คือสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าวิญญาณที่ถูกส่งมายังโลกนี้เป็นวิญญาณที่สะอาดบริสุทธิ์ และวิญญาณที่บริสุทธิ์นี้ได้รับการปกป้องดูแลจากพ่อแม่ แต่เมื่อโตขึ้น วิญญาณของทารกก็เริ่มเปรอะเปื้อนด้วยกิเลสและมลทินต่างๆ ที่นำมาซึ่งความทุกข์แก่ตัวเองและคนอื่นๆ ปัญหาของมนุษย์จึงอยู่ที่ว่ามนุษย์จะทำอย่างไรให้วิญญาณในร่างกายที่เติบโตมามีความสะอาดบริสุทธิ์ต่อไปเพื่อส่งวิญญาณของตัวเองคืนให้แก่เจ้าของผู้ส่งมันมาในสภาพที่สะอาดบริสุทธิ์เหมือนเดิม

     ถ้าเนื้อตัวสกปรก มนุษย์สามารถชำระล้างได้ด้วยสบู่หรือน้ำยาต่างๆสารพัดยี่ห้อ แต่หากวิญญาณสกปรกเล่ามนุษย์จะทำความสะอาดวิญญาณอย่างไร? เพราะถ้าวิญญาณสกปรก มันจะบงการเนื้อหนังมิให้ทำในสิ่งสะอาดแต่ถ้าวิญญาณสะอาด มันจะบงการเนื้อหนังมิให้ทำในสิ่งสกปรก วิญญาณจะต้องรับผิดชอบในสิ่งที่มันบงการหลังจากที่มันก้าวข้ามจากโลกนี้กลับไปสู่โลกที่แท้จริงของมัน

     นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมมนุษย์จึงต้องมีศาสนา เรียนรู้ศาสนา และปฏิบัติศาสนา

     สามัญสำนึกของมนุษย์รู้ว่าความหวงแหน ความตระหนี่ถี่เหนียว ความโลภ เป็นมลทินที่ทำให้มนุษย์บ้าสะสมวัตถุมีมากเกินพอแล้วยังไม่รู้จักพอและไม่อยากที่จะหยิบยื่นสิ่งที่ตัวเองมีอย่างเหลือเฟือเพื่อช่วยเหลือคนอื่นมิหนำซ้ำยังดูถูกคนอื่นที่ไม่มีว่าโง่ หากจะหยิบยื่นให้ใครก็ต้องมีข้อแม้หรือเงื่อนไขที่เป็นประโยชน์ต่อตน และให้แล้วชอบลำเลิกบุญคุณ มลทินดังกล่าวนี้เกิดขึ้นกับจิตวิญญาณและมีผลต่อพฤติกรรมที่เป็นผลเสียต่อตัวเองและคนรอบข้าง

     ดังนั้น ศาสนาจึงสอนศาสนิกให้หมั่นบริจาคหรือทำทานอยู่เนืองๆ เพื่อชำระจิตใจให้สะอาดหมดจดสดชื่นเหมือนกับการอาบน้ำชำระล้างร่างกายทุกวัน ท่านนบีมุฮัมมัดได้กล่าวไว้ว่า “ทุกคนต้องให้ทานทุกวันที่ดวงอาทิตย์ขึ้น” นั่นหมายความว่าถ้าใครต้องชำระร่างกายทุกวันคนนั้นก็ต้องให้ทานทุกวัน และการให้ทานนั้นเป็นความดี

     เมื่อการให้ทานเป็นความดี มีบางคนโต้แย้งว่าถ้าเช่นนั้นคนจนก็ไม่สามารถทำความดีได้เหมือนกับคนรวยท่านนบีมุฮัมมัดจึงบอกว่า “ประตูไปสู่ความดีมีหลายทาง เช่น การสดุดีสรรเสริญพระเจ้า การกำชับคนให้ทำความดีและห้ามปรามความชั่ว การนำสิ่งที่เป็นอันตรายออกจากทางเดิน การนำทางคนตาบอดการให้คำแนะนำที่ดี การช่วยแบกของให้คนอ่อนแอ เหล่านี้ล้วนเป็นการทำทานทั้งสิ้น”

     ท่านยังได้บอกอีกว่า “แม้แต่การยิ้มให้ก็เป็นทาน และการช่วยเหลือคนเดินทางผิดในโลกนี้ให้เดินในหนทางที่ถูกต้องก็เป็นทาน”

     คำสอนดังกล่าวบอกให้รู้ว่า การไม่มีเงินไม่ใช่อุปสรรคในการทำทานที่เป็นความดีแต่ประการใด

     นอกจากนี้แล้ว คำสอนของศาสนายังสอนวิธีการรักษาความดีที่เกิดขึ้นจากการทำทานให้ด้วยว่าเมื่อบริจาคหรือให้ทานไปแล้วอย่าลำเลิกบุญคุณกับคนที่เราให้ทานไป คัมภีร์กุรอานได้กล่าวว่า ความดีของทานที่เราบริจาคไปนั้นจะถูกสะสมไว้เหมือนกับดินที่เกาะอยู่รอบหินซึ่งจะพอกขึ้นเรื่อยๆ แต่ถ้าหากผู้ใดลำเลิกบุญคุณสิ่งที่เราบริจาคหรือทำทานไปจะกลายเป็นเหมือนฝนที่ตกลงมาชะดินแห่งความดีที่พอกหินให้หมดไป

     ดังนั้น ศาสนาจึงเป็นเหมือนคู่มือสอนมนุษย์ให้รู้จักวิธีการเตรียมวิญญาณให้สะอาดผ่องแผ้วเพื่อส่งวิญญาณนั้นคืนสู่ผู้ส่งมันมาในสภาพที่สะอาดเหมือนกับที่มันถูกส่งมาในตอนแรก



http://www.oknation.net/blog/knowislam/2013/02/08/entry-1
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่