ครั้งแรกที่ผมรู้จักคำว่า "หุ้น" ตอนนั้นผมอยู่ชั้นป.6 ครับ
ตอนนั้นผมออกมาอ่านหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนที่ร้านหนังสือหน้าบ้าน ในตอนนั้นมันเริ่มทำให้ผมคิดแล้วว่าเรียนจบไปผมจะไม่เป็นลูกจ้างใครแน่ๆ ภายหลังจากนั้นตอนที่ผมเข้าม.1 ใหม่ๆ ผมก็เริ่ม "ปฎิบัติลับ" โดยถอนเงินออกมาจากบัญชีทั้งหมดประมาณ 2 หมื่นบาทมาเพื่อซื้อหุ้นโดยเฉพาะ ! ซึ่งในตอนนั้นหุ้นที่ผมอยากซื้อก็คือหุ้นในตำนานก็คือ BANPU ครับ ตอนนั้นราคาประมาณร้อยกว่าบาทกะไว้ว่าจะถือสัก 2-3 ปี (เดามั่วล้วนๆ) แต่น่าเสียดายที่ตอนนั้นพ่อแม่ผมมาเจอเงินก่อน กลายเป็นว่าความฝันก้าวแรกของผมก็เป็นอันล่มสลายไป
หลังจากนั้นต่อมาผมก็ซื้อหนังสือมาอ่านบ้างแต่ยังไม่มาก จนถึงจุดนึงที่ผมคันไม้คันมืออยากที่จะ "ลงสนาม" ซะที ตอนนั้นผมอยู่ประมาณม.2 ผมก็ต้วมเตี้ยมไปตลาดหลักทรัพย์แล้วบอกพี่ที่ประชาสัมพันธ์ว่า "ขอซื้อหุ้นหน่อยครับ !" และสิ่งที่ได้กลับมาก็คือ พี่เค้าก็ยิ้มแล้วก็ชี้ไปทางห้องสมุดมารวย (ประมาณว่าไปอ่านมาให้ดีก่อนนะหนู 5555) นั่นแหละครับคือจุดเริ่มต้นให้ผมรู้จักกับตลาดหุ้นอย่างจริงๆ จังๆ
จนพอผมอยู่ชั้นม.3 ผมก็ได้เปิดบัญชีซื้อขายเป็นของตัวเองซะที ! ในตอนนั้นผมมีเงินที่เก็บอยู่ทั้งหมด 15,000 บาท พอวันแรกที่ได้ล๊อกอินเข้า Streaming ก็งงเป้นไก่ตาแตกเลยทีเดียว เพราะหุ้นมันเยอะแยะมากมายไปหมด พอดีช่วงนั้นมันตรงกับตอนปิดเทอมผมเลยกะว่าจะเดย์เทรดเพื่อการค่าขนม มอง Ticker ไปมาก็ไปสะดุดตากับหุ้น True ครับ ผมก็เลยลองวิเคราะห์แบบบ้านๆ ว่าทรูนั้นสัญญาณครอบคลุมและคนใช้เยอะมันคงไม่เจ๊งง่ายๆ หรอกมั้ง ด้วยความเชือมันในตอนนั้นกับศักยภาพระยะยาวของบริษัท (ทั้งๆ ที่ผมแค่เดย์เทรด) ผมก็ซื้อไปหมดตัวเลยครับ แน่นอนว่าหลังจากนั้น 10 นาทีผมก็ขาดทุนและก็ขายออกไปเป็นที่เรียบร้อย 555555
ถ้าจำไม่ผิดตอนนั้นผมเหลือเงินอยู่ประมาณ 13k เศษๆ ด้วยความที่หน้ามืดตามัวจากการขาดทุน หลายวันต่อมาผมจึงซื้อหุ้นแบบมั่วซั่วอีกครั้ง โดยครั้งสุดท้ายที่ผมซื้อคือหุ้น BAY แต่ตัวนี้กำไรประมาณพันนึงครับ พอได้กำไรแล้วผมก็ออกจากตลาดไปในทันทีและทำให้ผมได้บทเรียนที่สำคัญคือ "ถ้าไม่มีความรู้อย่าเข้ามาในตลาดหุ้น"
ต่อมาประมาณช่วงม.4 ผมก็เริ่มได้อ่านหนังสือของ Warrant Buffett แบบจริงจัง (ก่อนหน้านั้นผมรู้จักเค้าในฐานะที่เป็นนักลงทุนที่เก่งที่สุดแต่ไม่เคยรู้วิธีการของเขาเลย) มันทำให้ผมเริ่มกลับมามีมุมมองบวกต่อตลาดหุ้นอีกครั้ง แต่ในตอนนั้นผมกลับคิดว่า "จะมาลงทุนระยะยาวเพื่อเอาผลตอบแทนแค่ 20% ต่อปีทำไม สู้เดย์เทรดให้ได้แค่วันละ 1% ก็รวยกว่าบัฟเฟตต์แล้ววว" ตอนนั้นคิดการณ์ใหญ่มากและทะนงตัวมากว่าผลตอบแทนแค่ 1% มันง่ายเหมือนปลอกกล้วยเข้าปาก หลังจากนั้นผมก็โอนเงินเข้าไปในบัญชีใหม่เป็นเงินสองหมื่นบาทและก็ได้ซื้อ iPhone มาเพื่อเดย์เทรดโดยเฉพาะ (ลงทุนเต็มที่เลย) พอวันรุ่งขึ้นก็จัดไปครับ ซื้อขายแบบมั่วๆ อีกแบ้ว
ไม่น่าเชื่อครับ ! ผมมีกำไรวันละ 1% ติดต่อกันตั้ง 10 วันแหน่ะ
ณ จุดนั้นภาพความฝันต่างๆ ก็ลอยเข้ามาตรงหน้าผมเลย เฟอรรารี่ คฤหาสน์ เที่ยวทั้งปีทั้งชาติ บลาๆๆๆ และจุดนั้นผมก็หยิ่งทะนงตัวกว่าเดิมอีกว่า "กุเก่งที่สุดในโลก" ในตอนนั้นผมรู้สึกว่าการเล่นหุ้นมันช่างง่ายดายจริงๆ
เมื่อผมเริ่มโลภมากขึ้น ในวันต่อมาผมคิดว่า "กำไรแค่ 1% มันน้อยซะไม่มี ทำไมไม่เล่นหุ้นปั่นให้ได้กำไรสักวันละ 10% ซะเลย" ว่าแล้วก็จัดไปครับ ผมซื้อหุ้นมาตัวเดียวเต็มปอดเช่นเคยและมั่นอกมันใจมากว่าวันนี้กุรวยแน่ๆ
แต่พอดีกว่าตอนทีผมซื้อนั้นมันเป็น "ยอดดอย" พอดีครับ 55555 วันนั้นผมขาดทุนไปประมาณเกือบ 2 พันบาท ผมตัดสินใจคัทลอสไป ในตอนนั้นความคิดแวบแรกที่เข้ามาคงเหมือนกับคนหลายๆ คนว่า "คอยดูนะ พรุ่งนี้จะมาเอากำไรคืนให้ได้"
พอวันรุ่งขึ้นผมก็ซื้อหุ้นด้วยความโลภถึงขึดสุดว่าจะต้อง "ฟันกำไร" ให้ได้แบบเละเทะ แล้วก็เละเทะจริงๆ ครับ ผมขาดทุนไปประมาณ 3 พันบาทในวันเดียว เมื่อผมคัทลอสเสร็จตอนนั้นในหัวผมมันโล่งไปหมด ผมไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อไปจนในที่สุด ผมก็ทิ้งเงินไว้ในนั้นและออกจากตลาดอีกครั้งครับ 5555 แต่อย่างน้อยเหตุการณ์ในช่วงนั้นทำให้ผมเริ่มคิดได้นิดนึงว่าการ "เก็งกำไร" มันคงไม่เหมาะกับผม และผมยังเป็น "ไก่อ่อน" ในตลาดหุ้นเหมือนเดิม
เมื่อออกจากตลาดไปแล้วผมก็เริ่มกลับมาคิดใหม่ว่าถ้าหากการเก็งกำไรมันไม่เหมาะกับเราแล้วเราจะทำยังไงดี ในตอนนั้นผมหาอะไรอ่านในเว็บไปเรื่อยจนได้รู้จักแนวทางที่ว่า "เก็งผลประกอบการระยะสั้น" คือการซื้อหุ้นที่ผลประกอบการออกมาดีแล้วถือไว้เพื่อให้ราคาสูงขึ้น และแล้วสมองผมก็เริ่มคิดว่า "นี่แหละใช่เลย" อีกครั้งหนึ่ง ตอนนั้นผมซื้อหุ้น CM เพราะผลประกอบการออกมามีกำไรสูงพอควร (ซื้อตอนประมาณกันยาปี 55) แล้วก็ขายไปช่วงเดือนพฤศจิกายน ได้กำไรมาไม่มากเท่าไหร่แต่มันก้ทำให้ผมเริ่มรู้สึก "ลำพอง" ใจอีกครั้ง
เมื่อผมขายหุ้น CM ไปแล้วผมก็ได้ซื้อหุ้น AGE เพราะผลประกอบการไตรมาสสามตอนนั้นออกมาว่ามีกำไรเป็นไตรมาสแรกหลังจากที่ก่อนหน้านั้นสองไตรมาสขาดทุน ทำให้ผมคิดว่าในเมื่อมันทำกำไรหลังจากที่ขาดทุนมาอย่างยาวนานราคาหุ้นคงต้องพุ่งทะลุฟ้าเป็นแน่ ว่าแล้วก็จัดไปที่ราคาหุ้นละ 3.54 บาท และถือมาเรื่อยๆ จนราคาสูงสุดไปที่ประมาณ 3.8 กว่าๆ ผมนี่ยิ้มกริ่มเลยทีเดียวครับ แต่ยิ้มได้ไม่นานก็หุบยิ้มแทบไม่ทันทีเดียว เพราะหลังจากนั้นพอเข้าสู่สัปดาห์ปลายๆ ของเดือนมีนา (สัปดาห์ที่ตรงกับศุกร์แสนล้านพอดี) ราคาหุ้นก็เหลือแค่ 3.38 ในตอนนั้นผมรู้สึกสับสนเหมือนกันว่าจะทำยังไงกับหุ้นที่ถือ แต่สุดท้ายก็มีความคิดนึงมาในหัวว่า "ถ้าซื้อหุ้นเพราะอะไรก็ขายออกไปด้วยเหตุผลเดียวกัน" ผมจึงได้คิดอีกครั้งว่าตอนซื้อมาพบซื้อเพราะอะไร ผมซื้อเพราะเก็งในผลกำไรในไตรมาสนั้น ซื้อเพราะความโลภล้วนๆ ทั้งๆ ที่บริษัทนี้ก็ไม่ได้โดดเด่นอะไรเท่าไหร่เลย ทำให้ผมตัดสินใจขายและเป็นอีกครั้งที่ทำให้ผมต้องกลับไปอ่านหนังสือครับ 5555
ผมเพิ่งรู้สึก "เข็ด" กับการเก็งกำไรในตอนนั้นเองว่ามันคงไม่ใช่หนทางที่ยั่งยืนเป้นแน่แท้ ว่าแล้วผมก็ได้กลับไปอ่านหนังสือของบัฟเฟตต์อีกครั้ง จนมาถึงประโยคหนึ่งที่ทำให้ผมจำขึ้นใจมาถึงตอนนี้คือ "การลงทุนที่ดีคือการลงทุนด้วยมุมมองของการร่วมทำธุรกิจ" ซึ่งนั่นก็กลายเป็นหลักคิดของผมมาจนถึงตอนนี้ และจนวันนี้ผมก็ยังอ่านหนังสือเล่มนั้นอยู่เป็นรอบที่ 10 แล้วครับ เพราะยิ่งผมอ่านเท่าไหร่ผมก็ยิ่งรู้ว่า "การลงทุน" ที่แท้จริงนั้นมันคืออะไร
ที่ผมร่ายยาวมาทั้งหมดไม่ใช่เพื่อจะมาบอกว่าการเก็งกำไรคือหายนะและไม่มีทางประสบความสำเร็จ สิ่งที่ผมอยากจะบอกก็คือ นักลงทุนในตลาดทุกคนต่างก็มีสไตล์เป้นของตัวเอง บางคนอาจจะเป็นนักเก็งกำไรมือฉกาจ ในขณะที่อีกคนคือนักลงทุนผู้มั่งคั่งก็ได้ ซึ่งไม่ว่าวิธีใดก็สามารถทำกำไรให้กับผู้ลงทุนได้ทั้งนั้น หากเราหาแนวทางที่ใช่สำหรับเราได้แล้วก็เท่ากับว่าเรามีชัยในตลาดไปกว่าครึ่งแล้ว ดีกว่าการเล่นอย่างไร้ทิศทางซึ่งในที่สุดก็จะนำมาสู่ "หายนะ" ถึงแม้วันนี้ที่ตลาดหุ้นตกต่ำและเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก นักลงทุนหลายๆ ท่านที่ถึงแม้จะกำไรหายไปบานตะไทหรือบางคนอาจจะขาดทุน แต่ผมเชื่อว่าอย่างน้อยก้ทำให้เราได้ "เรียนรู้" อะไรหลายๆ อย่างจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ หากแนวทางที่เราทำมาเราคิดว่ามันไม่ใช่สำหรับเราก็ยังไม่สายที่จะเปลี่ยนแปลง แต่หากมันใช่ก็ขอให้มั่นใจในแผนนั้นและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดและแน่วแน่ ตัวผมเองก็อายุแค่ 17 ผมเองก็ไม่ใช่เซียน ไม่ใช่นักลงทุนมือฉมัง ไม่ใช่นักลงทุนชื่อดัง แต่อย่างน้อยผมก็หวังว่าที่ผมเขียนมาทั้งหมดในนี้จะให้ประโยชน์กับใครได้บ้างไม่มากก็น้อยครับ
โชคดีในการลงทุนครับ ทักทายยามค่ำครับ
ประสบการณ์ของตัวผมเองตั้งแต่เริ่มรู้จักกับตลาดหุ้นครับ
ตอนนั้นผมออกมาอ่านหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนที่ร้านหนังสือหน้าบ้าน ในตอนนั้นมันเริ่มทำให้ผมคิดแล้วว่าเรียนจบไปผมจะไม่เป็นลูกจ้างใครแน่ๆ ภายหลังจากนั้นตอนที่ผมเข้าม.1 ใหม่ๆ ผมก็เริ่ม "ปฎิบัติลับ" โดยถอนเงินออกมาจากบัญชีทั้งหมดประมาณ 2 หมื่นบาทมาเพื่อซื้อหุ้นโดยเฉพาะ ! ซึ่งในตอนนั้นหุ้นที่ผมอยากซื้อก็คือหุ้นในตำนานก็คือ BANPU ครับ ตอนนั้นราคาประมาณร้อยกว่าบาทกะไว้ว่าจะถือสัก 2-3 ปี (เดามั่วล้วนๆ) แต่น่าเสียดายที่ตอนนั้นพ่อแม่ผมมาเจอเงินก่อน กลายเป็นว่าความฝันก้าวแรกของผมก็เป็นอันล่มสลายไป
หลังจากนั้นต่อมาผมก็ซื้อหนังสือมาอ่านบ้างแต่ยังไม่มาก จนถึงจุดนึงที่ผมคันไม้คันมืออยากที่จะ "ลงสนาม" ซะที ตอนนั้นผมอยู่ประมาณม.2 ผมก็ต้วมเตี้ยมไปตลาดหลักทรัพย์แล้วบอกพี่ที่ประชาสัมพันธ์ว่า "ขอซื้อหุ้นหน่อยครับ !" และสิ่งที่ได้กลับมาก็คือ พี่เค้าก็ยิ้มแล้วก็ชี้ไปทางห้องสมุดมารวย (ประมาณว่าไปอ่านมาให้ดีก่อนนะหนู 5555) นั่นแหละครับคือจุดเริ่มต้นให้ผมรู้จักกับตลาดหุ้นอย่างจริงๆ จังๆ
จนพอผมอยู่ชั้นม.3 ผมก็ได้เปิดบัญชีซื้อขายเป็นของตัวเองซะที ! ในตอนนั้นผมมีเงินที่เก็บอยู่ทั้งหมด 15,000 บาท พอวันแรกที่ได้ล๊อกอินเข้า Streaming ก็งงเป้นไก่ตาแตกเลยทีเดียว เพราะหุ้นมันเยอะแยะมากมายไปหมด พอดีช่วงนั้นมันตรงกับตอนปิดเทอมผมเลยกะว่าจะเดย์เทรดเพื่อการค่าขนม มอง Ticker ไปมาก็ไปสะดุดตากับหุ้น True ครับ ผมก็เลยลองวิเคราะห์แบบบ้านๆ ว่าทรูนั้นสัญญาณครอบคลุมและคนใช้เยอะมันคงไม่เจ๊งง่ายๆ หรอกมั้ง ด้วยความเชือมันในตอนนั้นกับศักยภาพระยะยาวของบริษัท (ทั้งๆ ที่ผมแค่เดย์เทรด) ผมก็ซื้อไปหมดตัวเลยครับ แน่นอนว่าหลังจากนั้น 10 นาทีผมก็ขาดทุนและก็ขายออกไปเป็นที่เรียบร้อย 555555
ถ้าจำไม่ผิดตอนนั้นผมเหลือเงินอยู่ประมาณ 13k เศษๆ ด้วยความที่หน้ามืดตามัวจากการขาดทุน หลายวันต่อมาผมจึงซื้อหุ้นแบบมั่วซั่วอีกครั้ง โดยครั้งสุดท้ายที่ผมซื้อคือหุ้น BAY แต่ตัวนี้กำไรประมาณพันนึงครับ พอได้กำไรแล้วผมก็ออกจากตลาดไปในทันทีและทำให้ผมได้บทเรียนที่สำคัญคือ "ถ้าไม่มีความรู้อย่าเข้ามาในตลาดหุ้น"
ต่อมาประมาณช่วงม.4 ผมก็เริ่มได้อ่านหนังสือของ Warrant Buffett แบบจริงจัง (ก่อนหน้านั้นผมรู้จักเค้าในฐานะที่เป็นนักลงทุนที่เก่งที่สุดแต่ไม่เคยรู้วิธีการของเขาเลย) มันทำให้ผมเริ่มกลับมามีมุมมองบวกต่อตลาดหุ้นอีกครั้ง แต่ในตอนนั้นผมกลับคิดว่า "จะมาลงทุนระยะยาวเพื่อเอาผลตอบแทนแค่ 20% ต่อปีทำไม สู้เดย์เทรดให้ได้แค่วันละ 1% ก็รวยกว่าบัฟเฟตต์แล้ววว" ตอนนั้นคิดการณ์ใหญ่มากและทะนงตัวมากว่าผลตอบแทนแค่ 1% มันง่ายเหมือนปลอกกล้วยเข้าปาก หลังจากนั้นผมก็โอนเงินเข้าไปในบัญชีใหม่เป็นเงินสองหมื่นบาทและก็ได้ซื้อ iPhone มาเพื่อเดย์เทรดโดยเฉพาะ (ลงทุนเต็มที่เลย) พอวันรุ่งขึ้นก็จัดไปครับ ซื้อขายแบบมั่วๆ อีกแบ้ว
ไม่น่าเชื่อครับ ! ผมมีกำไรวันละ 1% ติดต่อกันตั้ง 10 วันแหน่ะ ณ จุดนั้นภาพความฝันต่างๆ ก็ลอยเข้ามาตรงหน้าผมเลย เฟอรรารี่ คฤหาสน์ เที่ยวทั้งปีทั้งชาติ บลาๆๆๆ และจุดนั้นผมก็หยิ่งทะนงตัวกว่าเดิมอีกว่า "กุเก่งที่สุดในโลก" ในตอนนั้นผมรู้สึกว่าการเล่นหุ้นมันช่างง่ายดายจริงๆ
เมื่อผมเริ่มโลภมากขึ้น ในวันต่อมาผมคิดว่า "กำไรแค่ 1% มันน้อยซะไม่มี ทำไมไม่เล่นหุ้นปั่นให้ได้กำไรสักวันละ 10% ซะเลย" ว่าแล้วก็จัดไปครับ ผมซื้อหุ้นมาตัวเดียวเต็มปอดเช่นเคยและมั่นอกมันใจมากว่าวันนี้กุรวยแน่ๆ แต่พอดีกว่าตอนทีผมซื้อนั้นมันเป็น "ยอดดอย" พอดีครับ 55555 วันนั้นผมขาดทุนไปประมาณเกือบ 2 พันบาท ผมตัดสินใจคัทลอสไป ในตอนนั้นความคิดแวบแรกที่เข้ามาคงเหมือนกับคนหลายๆ คนว่า "คอยดูนะ พรุ่งนี้จะมาเอากำไรคืนให้ได้"
พอวันรุ่งขึ้นผมก็ซื้อหุ้นด้วยความโลภถึงขึดสุดว่าจะต้อง "ฟันกำไร" ให้ได้แบบเละเทะ แล้วก็เละเทะจริงๆ ครับ ผมขาดทุนไปประมาณ 3 พันบาทในวันเดียว เมื่อผมคัทลอสเสร็จตอนนั้นในหัวผมมันโล่งไปหมด ผมไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อไปจนในที่สุด ผมก็ทิ้งเงินไว้ในนั้นและออกจากตลาดอีกครั้งครับ 5555 แต่อย่างน้อยเหตุการณ์ในช่วงนั้นทำให้ผมเริ่มคิดได้นิดนึงว่าการ "เก็งกำไร" มันคงไม่เหมาะกับผม และผมยังเป็น "ไก่อ่อน" ในตลาดหุ้นเหมือนเดิม
เมื่อออกจากตลาดไปแล้วผมก็เริ่มกลับมาคิดใหม่ว่าถ้าหากการเก็งกำไรมันไม่เหมาะกับเราแล้วเราจะทำยังไงดี ในตอนนั้นผมหาอะไรอ่านในเว็บไปเรื่อยจนได้รู้จักแนวทางที่ว่า "เก็งผลประกอบการระยะสั้น" คือการซื้อหุ้นที่ผลประกอบการออกมาดีแล้วถือไว้เพื่อให้ราคาสูงขึ้น และแล้วสมองผมก็เริ่มคิดว่า "นี่แหละใช่เลย" อีกครั้งหนึ่ง ตอนนั้นผมซื้อหุ้น CM เพราะผลประกอบการออกมามีกำไรสูงพอควร (ซื้อตอนประมาณกันยาปี 55) แล้วก็ขายไปช่วงเดือนพฤศจิกายน ได้กำไรมาไม่มากเท่าไหร่แต่มันก้ทำให้ผมเริ่มรู้สึก "ลำพอง" ใจอีกครั้ง
เมื่อผมขายหุ้น CM ไปแล้วผมก็ได้ซื้อหุ้น AGE เพราะผลประกอบการไตรมาสสามตอนนั้นออกมาว่ามีกำไรเป็นไตรมาสแรกหลังจากที่ก่อนหน้านั้นสองไตรมาสขาดทุน ทำให้ผมคิดว่าในเมื่อมันทำกำไรหลังจากที่ขาดทุนมาอย่างยาวนานราคาหุ้นคงต้องพุ่งทะลุฟ้าเป็นแน่ ว่าแล้วก็จัดไปที่ราคาหุ้นละ 3.54 บาท และถือมาเรื่อยๆ จนราคาสูงสุดไปที่ประมาณ 3.8 กว่าๆ ผมนี่ยิ้มกริ่มเลยทีเดียวครับ แต่ยิ้มได้ไม่นานก็หุบยิ้มแทบไม่ทันทีเดียว เพราะหลังจากนั้นพอเข้าสู่สัปดาห์ปลายๆ ของเดือนมีนา (สัปดาห์ที่ตรงกับศุกร์แสนล้านพอดี) ราคาหุ้นก็เหลือแค่ 3.38 ในตอนนั้นผมรู้สึกสับสนเหมือนกันว่าจะทำยังไงกับหุ้นที่ถือ แต่สุดท้ายก็มีความคิดนึงมาในหัวว่า "ถ้าซื้อหุ้นเพราะอะไรก็ขายออกไปด้วยเหตุผลเดียวกัน" ผมจึงได้คิดอีกครั้งว่าตอนซื้อมาพบซื้อเพราะอะไร ผมซื้อเพราะเก็งในผลกำไรในไตรมาสนั้น ซื้อเพราะความโลภล้วนๆ ทั้งๆ ที่บริษัทนี้ก็ไม่ได้โดดเด่นอะไรเท่าไหร่เลย ทำให้ผมตัดสินใจขายและเป็นอีกครั้งที่ทำให้ผมต้องกลับไปอ่านหนังสือครับ 5555
ผมเพิ่งรู้สึก "เข็ด" กับการเก็งกำไรในตอนนั้นเองว่ามันคงไม่ใช่หนทางที่ยั่งยืนเป้นแน่แท้ ว่าแล้วผมก็ได้กลับไปอ่านหนังสือของบัฟเฟตต์อีกครั้ง จนมาถึงประโยคหนึ่งที่ทำให้ผมจำขึ้นใจมาถึงตอนนี้คือ "การลงทุนที่ดีคือการลงทุนด้วยมุมมองของการร่วมทำธุรกิจ" ซึ่งนั่นก็กลายเป็นหลักคิดของผมมาจนถึงตอนนี้ และจนวันนี้ผมก็ยังอ่านหนังสือเล่มนั้นอยู่เป็นรอบที่ 10 แล้วครับ เพราะยิ่งผมอ่านเท่าไหร่ผมก็ยิ่งรู้ว่า "การลงทุน" ที่แท้จริงนั้นมันคืออะไร
ที่ผมร่ายยาวมาทั้งหมดไม่ใช่เพื่อจะมาบอกว่าการเก็งกำไรคือหายนะและไม่มีทางประสบความสำเร็จ สิ่งที่ผมอยากจะบอกก็คือ นักลงทุนในตลาดทุกคนต่างก็มีสไตล์เป้นของตัวเอง บางคนอาจจะเป็นนักเก็งกำไรมือฉกาจ ในขณะที่อีกคนคือนักลงทุนผู้มั่งคั่งก็ได้ ซึ่งไม่ว่าวิธีใดก็สามารถทำกำไรให้กับผู้ลงทุนได้ทั้งนั้น หากเราหาแนวทางที่ใช่สำหรับเราได้แล้วก็เท่ากับว่าเรามีชัยในตลาดไปกว่าครึ่งแล้ว ดีกว่าการเล่นอย่างไร้ทิศทางซึ่งในที่สุดก็จะนำมาสู่ "หายนะ" ถึงแม้วันนี้ที่ตลาดหุ้นตกต่ำและเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก นักลงทุนหลายๆ ท่านที่ถึงแม้จะกำไรหายไปบานตะไทหรือบางคนอาจจะขาดทุน แต่ผมเชื่อว่าอย่างน้อยก้ทำให้เราได้ "เรียนรู้" อะไรหลายๆ อย่างจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ หากแนวทางที่เราทำมาเราคิดว่ามันไม่ใช่สำหรับเราก็ยังไม่สายที่จะเปลี่ยนแปลง แต่หากมันใช่ก็ขอให้มั่นใจในแผนนั้นและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดและแน่วแน่ ตัวผมเองก็อายุแค่ 17 ผมเองก็ไม่ใช่เซียน ไม่ใช่นักลงทุนมือฉมัง ไม่ใช่นักลงทุนชื่อดัง แต่อย่างน้อยผมก็หวังว่าที่ผมเขียนมาทั้งหมดในนี้จะให้ประโยชน์กับใครได้บ้างไม่มากก็น้อยครับ
โชคดีในการลงทุนครับ ทักทายยามค่ำครับ