ผมเองเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ ทำให้เชื่อแบบไม่มีข้อสงสัยเลย
เหตุการณ์แรก เกิดขึ้นประมาณปี 2552 ตอนนั้นยายเพิ่งเสียใหม่ๆ
บ้านของผมอยู่ติดกับบ้านของยายที่เสียชีวิตใหม่ๆ ราวๆ 7 วันแรกหลังจากยายเสีย บ้านหลังนั้นถูกปิดมืด พอตกกลางคืน มีเสียงคนเดินไปเดินมา เสียงโยนข้าวโยนของ ประตูหน้าต่างมีเสียงเปิดปิดทั้งๆ ที่พอมองออกไปก็เห็นว่าประตูหน้าต่างนั้นนิ่งสนิท แต่เสียงปึงปังก็ยังอยู่
ช่วงนั้นสมาชิกในบ้านผมต่างกลัวกันไปหมด (ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น) แถมเหตุการณ์ก็หนักข้อขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเสียงเขย่าขวัญนั้นจากวันแรกๆ ที่เกิดเฉพาะเวลากลางคืน กลายเป็นเริ่มลามมาเกิดตอนเช้าตรู่ และหายไปตอนกลางวัน แต่พอโพล้เพล้ก็เริ่มอีก จนในที่สุดทุกคนก็ทนไม่ไหวจึงให้น้าซึ่งเป็นเจ้าของบ้านเปิดเข้าไปดู
สิ่งที่พบคือ เส้นผมหงอกของคนแก่กระจายอยู่ทั่วบ้าน ข้าวของยังอยู่เรียบร้อย ทั้งๆ ที่ทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่ามีเสียงโยนข้าวโยนของ แถมยังมีกลิ่นสาปสาง กลิ่นหมากพลู ตลบไปทั้งบ้าน
ทุกคนเชื่อว่าเป็นเพราะยายที่เสียชีวิตไปกลับมาอยู่ที่บ้าน จึงได้มีการทำบุญ และเปิดไฟทิ้งไว้แม้จะไม่มีคนอยู่บ้าน
เชื่อเรื่องที่ว่า เมื่อคนเราตายไปแล้วจะกลับมายังสถานที่ตายไหมครับ
เหตุการณ์แรก เกิดขึ้นประมาณปี 2552 ตอนนั้นยายเพิ่งเสียใหม่ๆ
บ้านของผมอยู่ติดกับบ้านของยายที่เสียชีวิตใหม่ๆ ราวๆ 7 วันแรกหลังจากยายเสีย บ้านหลังนั้นถูกปิดมืด พอตกกลางคืน มีเสียงคนเดินไปเดินมา เสียงโยนข้าวโยนของ ประตูหน้าต่างมีเสียงเปิดปิดทั้งๆ ที่พอมองออกไปก็เห็นว่าประตูหน้าต่างนั้นนิ่งสนิท แต่เสียงปึงปังก็ยังอยู่
ช่วงนั้นสมาชิกในบ้านผมต่างกลัวกันไปหมด (ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น) แถมเหตุการณ์ก็หนักข้อขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเสียงเขย่าขวัญนั้นจากวันแรกๆ ที่เกิดเฉพาะเวลากลางคืน กลายเป็นเริ่มลามมาเกิดตอนเช้าตรู่ และหายไปตอนกลางวัน แต่พอโพล้เพล้ก็เริ่มอีก จนในที่สุดทุกคนก็ทนไม่ไหวจึงให้น้าซึ่งเป็นเจ้าของบ้านเปิดเข้าไปดู
สิ่งที่พบคือ เส้นผมหงอกของคนแก่กระจายอยู่ทั่วบ้าน ข้าวของยังอยู่เรียบร้อย ทั้งๆ ที่ทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่ามีเสียงโยนข้าวโยนของ แถมยังมีกลิ่นสาปสาง กลิ่นหมากพลู ตลบไปทั้งบ้าน
ทุกคนเชื่อว่าเป็นเพราะยายที่เสียชีวิตไปกลับมาอยู่ที่บ้าน จึงได้มีการทำบุญ และเปิดไฟทิ้งไว้แม้จะไม่มีคนอยู่บ้าน