คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 11
ที่ญี่ปุ่น จะเรียกการทำงานพิเศษว่า อลูไบท์โตะ หรือสั้นว่า ไบโตะ
สูงสุดที่ผมเคยได้คือ 900เยนต่อชั่วโมงครับ
เป็นร้านอาหารไทยบนห้างในย่านธุรกิจของญี่ปุ่น
เลยสี่ทุ่มหรือสามทุ่มนี่แหละผมจำไม่แม่น จะมีเงินพิเศษให้
มีค่ารถไฟให้ครับ มีข้าวให้กินหนึ่งมื้อ กินอะไรก็ได้
อีกร้านอยู่ในย่านช็อปปิ้ง ร้านอาหารไทยเหมือนกัน ได้ 800 เยนครับ
ร้านเปิด ห้าโมงเย็นถึงตึสอง รวมๆก็ เก้าชั่วโมง
เด็กไทยส่วนมาก บางคนก็อยากอยู่จนปิดร้าน เพราะได้เยอะมากในแต่ละคืน
เดือนๆนึงถ้าทำเยอะ ก็หลักแสนเยนขึ้นครับ จ่ายภาษีก็นิดเดียว
แต่ต้องแลกมาด้วยสุขภาพที่ไม่ดีเท่าไหร่
ยิ่งถ้าเป็นนักเรียนด้วยแล้ว เสียการเรียนพอสมควร
คือค่าแรงแต่ละที่มันก็จะแตกต่างกันออกไป
ถ้าเป็นพวกฟาสฟูด ค่าแรงจะถูกกว่าร้านทั่วไป
ทำงานพิเศษตามห้าง หรือเด็กนักเรียนที่อยู่ในร้านขายยา จะได้เยอะกว่า
เด็กญี่ปุ่นบางคนที่ทำงานด้วยกัน เก็บเงินไปเที่ยวฮาวายได้ก็มี
หรือบางคนก็เก็บเงินไปเที่ยวยุโรป ไปบาหลี หรือเก็บเงินซื้อโน่นนี่นั่นก็มี
มุมมองของคนญี่ปุ่นกับการทำงานพิเศษ เป็นไปในทางบวก
คือเค้ามองว่า เด็กคนไหนที่ไม่ทำงานพิเศษ จะกลายเป็นแกะดำไป
และมีผลต่อชีวิตการทำงานจริงด้วย เพราะมันฝึกทั้งความอดทน การเข้าสังคม
ส่วนมากบริษัทเค้าจะถามก่อนเลยว่า เคยทำงานพิเศษมาหรือเปล่า
พูดง่ายๆ งานพิเศษก็เหมือนสนามประลองก่อนลงสนามการทำงานในชีวิตจริง
หวังว่าจะได้ความรู้ไปไม่มากก็น้อยนะครับ
สูงสุดที่ผมเคยได้คือ 900เยนต่อชั่วโมงครับ
เป็นร้านอาหารไทยบนห้างในย่านธุรกิจของญี่ปุ่น
เลยสี่ทุ่มหรือสามทุ่มนี่แหละผมจำไม่แม่น จะมีเงินพิเศษให้
มีค่ารถไฟให้ครับ มีข้าวให้กินหนึ่งมื้อ กินอะไรก็ได้
อีกร้านอยู่ในย่านช็อปปิ้ง ร้านอาหารไทยเหมือนกัน ได้ 800 เยนครับ
ร้านเปิด ห้าโมงเย็นถึงตึสอง รวมๆก็ เก้าชั่วโมง
เด็กไทยส่วนมาก บางคนก็อยากอยู่จนปิดร้าน เพราะได้เยอะมากในแต่ละคืน
เดือนๆนึงถ้าทำเยอะ ก็หลักแสนเยนขึ้นครับ จ่ายภาษีก็นิดเดียว
แต่ต้องแลกมาด้วยสุขภาพที่ไม่ดีเท่าไหร่
ยิ่งถ้าเป็นนักเรียนด้วยแล้ว เสียการเรียนพอสมควร
คือค่าแรงแต่ละที่มันก็จะแตกต่างกันออกไป
ถ้าเป็นพวกฟาสฟูด ค่าแรงจะถูกกว่าร้านทั่วไป
ทำงานพิเศษตามห้าง หรือเด็กนักเรียนที่อยู่ในร้านขายยา จะได้เยอะกว่า
เด็กญี่ปุ่นบางคนที่ทำงานด้วยกัน เก็บเงินไปเที่ยวฮาวายได้ก็มี
หรือบางคนก็เก็บเงินไปเที่ยวยุโรป ไปบาหลี หรือเก็บเงินซื้อโน่นนี่นั่นก็มี
มุมมองของคนญี่ปุ่นกับการทำงานพิเศษ เป็นไปในทางบวก
คือเค้ามองว่า เด็กคนไหนที่ไม่ทำงานพิเศษ จะกลายเป็นแกะดำไป
และมีผลต่อชีวิตการทำงานจริงด้วย เพราะมันฝึกทั้งความอดทน การเข้าสังคม
ส่วนมากบริษัทเค้าจะถามก่อนเลยว่า เคยทำงานพิเศษมาหรือเปล่า
พูดง่ายๆ งานพิเศษก็เหมือนสนามประลองก่อนลงสนามการทำงานในชีวิตจริง
หวังว่าจะได้ความรู้ไปไม่มากก็น้อยนะครับ
186CM ถูกใจ, i.amyiing ถูกใจ, f_m_p57 ถูกใจ, สมาชิกหมายเลข 715237 ถูกใจ, kahonoii ถูกใจ, kungsch ถูกใจ, saeioum ถูกใจ, akamichan ถูกใจ, Do you know who I am ถูกใจ, รู้ว่าเหนื่อย... ถูกใจรวมถึงอีก 35 คน ร่วมแสดงความรู้สึก
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 13
ญี่ปุ่น เขาจะบริหาร แบบสามระบบ เช่น งาน มีพาสโตะ + อารุไบ้โตะ + ไช
พาสโตะก็แบบแป้บๆ แม่บ้าน เด็กนักเรียนนิยม เช่นวันละ สามสี่ ช ม
อารุไบ้ ก็คล้าย เหมือนทด ลองงาน ไช ก็พนักงานประจํา
คนญี่ปุ่น ถ้า พาสโตะ อารุไบ้โตะ คุณเปลี่ยนงานบ่อย ออกโน่นไปนี่ก็ไม่มีปัญหา
แต่ถ้า เป็นไช พนักงานประจํา เขาจะไม่เปลี่ยนงานแล้ว
ถ้าเปลี่ยนงานใหม่ ในขณะที่คุณเป็นไช ประวัติคุณจะเสียเลย บริษัทจะไม่ชื่อถือ
ไช กินเงินเดือนประจํา มีโบนัส มีเงินฝากสะสม มีประกันบริษัท เงินบํานาญก็จะได้เยอะ เมื่อหมดอายุการทํางาน
ประกันสังคมก็จะดีกว่า พาสโตะ อารุไบ้โตะ
อารุไบ้โตะ พาสโตะ จะไม่มีโบนัส คนญี่ปุ่น เมื่อเรียนจบมา เขาถึงพุ่งเข้า บริษัทที่ชอบ แล้วจะไม่เปลี่ยนงาน
อยู่ยาว จนกว่าจะหมดอายุการทํางาน เมื่อหมด อายุการทํางาน ก็จะได้เงินก้อนใหญ่ เงินฝากสะสมจากบริษัท
เหมือนเป็นเงินฝาก แล้วมากิน บํานาญต่อจากรัฐบาล เพราะฉะนั้นคนญี่ปุ่น เขาถึงไม่เห่อไม่เวอร์เก็บเงิน
ไว้กินตอนแก่เหมือนคนไทย มีเงินเดือนก็กินก็เที่ยวไปใช้จ่ายไปในครอบครัว
คนที่ทํางานนาน ยิ่งได้เงินสะสมเยอะ เขาถึงไม่ไปเรียนหนัก และสูงเหมือนคนไทยเกินไป
คนที่ไปเรียนสูงๆ เช่นจบโท จบเอก จะเสียบเปรียบ คนที่เรียนจบ ป ตรี ตรงที่เงินสะสม และเงินบํานาญ
ตอนแก่ จะได้น้อยกว่า เพราะระยะ การทํางาน มันจะไม่เท่ากัน
คนญี่ปุ่น เขาถึงบอก เรียวโฮ เด็งกิไน้ ต้องเลือก อย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่จับปลาสองตัวในมือเดียวกัน
เหมือนบังคับให้ทุกคน อยู่ในระดับไกล้ๆกัน ไม่ทําให้สังคม เหลื่อมลําจนเกินไป
พาสโตะก็แบบแป้บๆ แม่บ้าน เด็กนักเรียนนิยม เช่นวันละ สามสี่ ช ม
อารุไบ้ ก็คล้าย เหมือนทด ลองงาน ไช ก็พนักงานประจํา
คนญี่ปุ่น ถ้า พาสโตะ อารุไบ้โตะ คุณเปลี่ยนงานบ่อย ออกโน่นไปนี่ก็ไม่มีปัญหา
แต่ถ้า เป็นไช พนักงานประจํา เขาจะไม่เปลี่ยนงานแล้ว
ถ้าเปลี่ยนงานใหม่ ในขณะที่คุณเป็นไช ประวัติคุณจะเสียเลย บริษัทจะไม่ชื่อถือ
ไช กินเงินเดือนประจํา มีโบนัส มีเงินฝากสะสม มีประกันบริษัท เงินบํานาญก็จะได้เยอะ เมื่อหมดอายุการทํางาน
ประกันสังคมก็จะดีกว่า พาสโตะ อารุไบ้โตะ
อารุไบ้โตะ พาสโตะ จะไม่มีโบนัส คนญี่ปุ่น เมื่อเรียนจบมา เขาถึงพุ่งเข้า บริษัทที่ชอบ แล้วจะไม่เปลี่ยนงาน
อยู่ยาว จนกว่าจะหมดอายุการทํางาน เมื่อหมด อายุการทํางาน ก็จะได้เงินก้อนใหญ่ เงินฝากสะสมจากบริษัท
เหมือนเป็นเงินฝาก แล้วมากิน บํานาญต่อจากรัฐบาล เพราะฉะนั้นคนญี่ปุ่น เขาถึงไม่เห่อไม่เวอร์เก็บเงิน
ไว้กินตอนแก่เหมือนคนไทย มีเงินเดือนก็กินก็เที่ยวไปใช้จ่ายไปในครอบครัว
คนที่ทํางานนาน ยิ่งได้เงินสะสมเยอะ เขาถึงไม่ไปเรียนหนัก และสูงเหมือนคนไทยเกินไป
คนที่ไปเรียนสูงๆ เช่นจบโท จบเอก จะเสียบเปรียบ คนที่เรียนจบ ป ตรี ตรงที่เงินสะสม และเงินบํานาญ
ตอนแก่ จะได้น้อยกว่า เพราะระยะ การทํางาน มันจะไม่เท่ากัน
คนญี่ปุ่น เขาถึงบอก เรียวโฮ เด็งกิไน้ ต้องเลือก อย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่จับปลาสองตัวในมือเดียวกัน
เหมือนบังคับให้ทุกคน อยู่ในระดับไกล้ๆกัน ไม่ทําให้สังคม เหลื่อมลําจนเกินไป
สมาชิกหมายเลข 7649001 ถูกใจ, รสต้มโคล้ง ถูกใจ, ->บังเอิญไหมที่เราได้พบกัน<- ถูกใจ, สมาชิกหมายเลข 732984 ถูกใจ, รู้ว่าเหนื่อย... ถูกใจ, Kuchiki_R ถูกใจ, jinnyjoy ถูกใจ, Quasar ถูกใจ, พ ชมภัค ถูกใจ, NoizY ถูกใจรวมถึงอีก 2 คน ร่วมแสดงความรู้สึก
แสดงความคิดเห็น
เด็กญี่ปุ่นทำงาน part-time ได้เงินเยอะหรือเปล่า?
เก็บตังค์ซื้อกีตาร์ได้ (K-On)
เป็นเด็กปั๊ม ซื้อรถมือสองได้ (Initial D)
เป็นคนส่งหนังสือพิมพ์ กับทำงานก่อสร้าง ไปเที่ยวต่างประเทศกว่า 10 ประเทศ (Ano Hana)
ไม่รู้ว่าเรื่องจริงหรือเปล่า ผมสงสัยจริงๆ เลยครับ
ตอนผมเรียนมัธยม เคยลองหางานพิเศษ บวกลบคูณหารแล้วค่าแรงยังได้ไม่พอค่ารถกับค่าอาหารกลางวันเลยนะครัฟ