ด็ตามหัวข้อข้างบนครับ จากที่ผมวิเคราะห์ อาจจะเป็นเพราะว่า เศรษฐกิจ อยู่ในช่วงขาลงครับ ของใช้แพงขึ้น คนลดการใช้จ่ายลง ในหลายธุรกิจมีศักยภาพในการจ่ายค่าจ้างน้อยลง ยิ่งประเทศเราเป็น SME เป็นส่วนใหญ่ก็แทบไม่ต้องพูดถึงเลยครับ เพราะผู้ประกอบการหลายรายก็ขายของได้ลดลงมาก เพราะลูกค้าเดิมส่วนใหญ่ลดการบริโภคลงไปเพื่อไปผ่อนหนี้ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น บ้านหลังแรก รถคันแรก หนี้ก้อนแรก ซึ่งเลยส่งผลตามมากับการจ้างงานไปด้วย หลายๆบริษัท ไม่มีคน คนไม่พอครับ แต่ก็ไม่มีปัญญาจ้างคนเหมือนกัน เพราะเจอปริญญาตรี 15,000 ค้ำคออยู่ครับ ในภาวะแบบนี้ทำให้ไม่กล้าจ้าง จ้างมาทำงานไม่ได้ ก็มีปัญหาอีก ก็เลยต้องไปรับคนมีประสบการณ์ 1-2 ปี มากขึ้นแทน แต่ก็เจอเรียกเงินสูงอีก ก็เลยกลับมา Loop เดิมครับ คือ คนทำงานก็ไม่อยากทำ เพราะเงินน้ิอย ส่วนคนจ้างก็ไม่อยากจ้าง เพราะสู้ราคาไม่ไหว ก็เลยเป็น Gap แบบนี้ขึ้น
สรุปปัญหาตอนนี้ หลายบริษัทขาดคนทำงานในหลายตำแหน่งครับ แต่ไม่จ้างเพิ่ม คนสมัครไม่มีงานก็เยอะครับ แต่ก็ไม่ทำครับเพราะเงินน้อย แก้ปัญหาด้วยการไปเรียนต่อกันบาง ไปทำเองกันบาง ---> เศรษกิจก็ฝืดครับ เพราะคนแรงงานไม่มี กำลังซื้อก็ไม่มี คนได้ประโยชน์สุดในตอนนี้คือคนที่มีที่สำหรับให้เช่าครับ เพราะปล่อยเช่าไป ราคาเท่าเดิม ร้านค้าที่จะขายของก็ต้องทนจ่ายเท่าเดิม ไม่งั้นก็ต้องเลิกกิจการกันไป ส่วนคนมีที่เยอะๆ นี้ก็พวกนักการเมืองทั้งนั้น สรุปใครได้ประโยชน์สุดหละครับในกรณีนี้...
ปัญหาต่อมาหลายธุรกิจไทยที่มีขนาดเล็ก มีคนน้อยแผนกหละ 1 - 2 คน เยอะ คนที่มีเงินเดือนเยอะๆ ก็คือพนักงานอวุโสทั้งหลาย แต่ถามว่าทำงานกันคุ้มเงินมัย... บอกเลยว่าไม่คุ้มเงินเดือนกันเยอะ แต่ให้ออกไม่ได้ เพราะออกก็ไม่มีคนทำ+จ่ายค่าชดเชยอ่วม (แค่ทำกำไรปัจจุบันยังทำยากจะให้จ่ายค่าชดเชยก็จ่ายไม่ได่เหมือนกัน) เพราะหาคนใหม่ไม่ได้ สรุปก็กลับ loop เดิมด้านบนทุกอย่างต้องฉลอการตัดสินใจใหม่หมด เกิดเป็นภาวะเศรษกิจฝืดอีกเช่นกัน ผมว่าในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าอัตราการ turnover ของพนักงานในระดับฐานเงินเดือนล่างๆ จะเพิ่มอีกเป็นเท่าตัวเพราะคนพวกนี้จะรู้สึกว่าเงินไม่พอใช้เมื่อเทียบกับค่าครองชีพ เงินน้อยแต่งานหนัก (เพราะคนแก่ๆ ลอยตัวหนีปัญหากันหมด)
ช่วงนี้งานเด็กจบใหม่หายากใช้มัยครับ มีแต่ตำแหน่งต้องใช้ประสบการณ์
สรุปปัญหาตอนนี้ หลายบริษัทขาดคนทำงานในหลายตำแหน่งครับ แต่ไม่จ้างเพิ่ม คนสมัครไม่มีงานก็เยอะครับ แต่ก็ไม่ทำครับเพราะเงินน้อย แก้ปัญหาด้วยการไปเรียนต่อกันบาง ไปทำเองกันบาง ---> เศรษกิจก็ฝืดครับ เพราะคนแรงงานไม่มี กำลังซื้อก็ไม่มี คนได้ประโยชน์สุดในตอนนี้คือคนที่มีที่สำหรับให้เช่าครับ เพราะปล่อยเช่าไป ราคาเท่าเดิม ร้านค้าที่จะขายของก็ต้องทนจ่ายเท่าเดิม ไม่งั้นก็ต้องเลิกกิจการกันไป ส่วนคนมีที่เยอะๆ นี้ก็พวกนักการเมืองทั้งนั้น สรุปใครได้ประโยชน์สุดหละครับในกรณีนี้...
ปัญหาต่อมาหลายธุรกิจไทยที่มีขนาดเล็ก มีคนน้อยแผนกหละ 1 - 2 คน เยอะ คนที่มีเงินเดือนเยอะๆ ก็คือพนักงานอวุโสทั้งหลาย แต่ถามว่าทำงานกันคุ้มเงินมัย... บอกเลยว่าไม่คุ้มเงินเดือนกันเยอะ แต่ให้ออกไม่ได้ เพราะออกก็ไม่มีคนทำ+จ่ายค่าชดเชยอ่วม (แค่ทำกำไรปัจจุบันยังทำยากจะให้จ่ายค่าชดเชยก็จ่ายไม่ได่เหมือนกัน) เพราะหาคนใหม่ไม่ได้ สรุปก็กลับ loop เดิมด้านบนทุกอย่างต้องฉลอการตัดสินใจใหม่หมด เกิดเป็นภาวะเศรษกิจฝืดอีกเช่นกัน ผมว่าในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าอัตราการ turnover ของพนักงานในระดับฐานเงินเดือนล่างๆ จะเพิ่มอีกเป็นเท่าตัวเพราะคนพวกนี้จะรู้สึกว่าเงินไม่พอใช้เมื่อเทียบกับค่าครองชีพ เงินน้อยแต่งานหนัก (เพราะคนแก่ๆ ลอยตัวหนีปัญหากันหมด)