นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET) จำนวน 460 บริษัท หรือ 92.92% ของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด 495 บริษัท (ไม่รวมบริษัทในกลุ่ม NC และ NPG) นำส่งผลการดำเนินงานงวดสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2556 แล้ว โดยมี บจ. ที่มีกำไรสุทธิจากผลการดำเนินงานจำนวน 368 บริษัท คิดเป็น 80% ของบริษัทที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด โดยยอดขายรวมไตรมาส 2 ปีนี้อยู่ที่ 2,602,869 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.14% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 165,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.86% สำหรับงวด 6 เดือน ยอดขายรวมอยู่ที่ 5,266,613 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 3.06% กำไรสุทธิ 409,713 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.74% ในขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นเท่ากับ 18.28% จาก 16.86% ในปีที่แล้ว ส่วนอัตรากำไรสุทธิเท่ากับ 7.78% จาก 6.81% ด้านอัตราส่วนหนี้สินรวมต่อทุน (ไม่รวมอุตสาหกรรมการเงิน) อยู่ที่ 1.27 เท่า
“แม้ว่ายอดขายไตรมาส 2 และงวด 6 เดือนแรกปีนี้จะเติบโตไม่มากจากปีก่อน แต่ความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุนของบริษัทจดทะเบียนดีขึ้นต่อเนื่อง ตั้งแต่การทำกำไรขั้นต้นจนถึงกำไรสุทธิ ทำให้กำไรโดยรวมเติบโตสูง โดยเฉพาะการทำกำไรขั้นต้นในไตรมาสนี้ของ บจ. ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าโภคภัณฑ์ด้านพลังงาน เหมืองแร่ ปิโตรเคมีและเหล็กมีผลขาดทุนจากการตีราคาสินค้าคงเหลือให้เป็นไปตามราคาตลาดและผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันลดลงมากเมื่อเทียบกับปีก่อน ในขณะเดียวกันการมีรายได้ที่ไม่ได้มาจากการดำเนินงาน เช่น กำไรจากการขายสินทรัพย์และจากการประเมินมูลค่าสินทรัพย์ เงินชดเชยค่าสินไหมน้ำท่วม ยังช่วยลดผลกระทบการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่เพิ่มขึ้นสูงและทำให้กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นอีกทางหนึ่งด้วย ” นายชนิตรกล่าว
บริษัทจดทะเบียนที่มีกำไรสุทธิสูงสุด 5 อันดับแรก คือ บมจ. ปตท. (PTT) บมจ. ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) บมจ. ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) บมจ. ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) และ บมจ. ธนาคารกรุงเทพ (BBL)
กลุ่มอุตสาหกรรม 3 อันดับแรกจาก 8 กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีกำไรสูงสุด ได้แก่ ธุรกิจการเงิน ทรัพยากร และอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง
สำหรับหมวดธุรกิจที่มีกำไรสูงสุด 3 อันดับแรก จาก 27 หมวดธุรกิจ ได้แก่ ธนาคาร พลังงานและสาธารณูปโภค และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยทั้ง 3 หมวดมีกำไรสุทธิรวม 236,884 ล้านบาท คิดเป็น 57.82% ของกำไรสุทธิรวมทั้งหมด และยอดขายรวมของทั้ง 3 หมวดคิดเป็น 54.84% ของยอดขายรวมทั้งหมด
บริษัทจดทะเบียนใน SET โตต่อเนื่อง มีกำไรสุทธิรวม 409,713 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันปีก่อน 17.74%
“แม้ว่ายอดขายไตรมาส 2 และงวด 6 เดือนแรกปีนี้จะเติบโตไม่มากจากปีก่อน แต่ความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุนของบริษัทจดทะเบียนดีขึ้นต่อเนื่อง ตั้งแต่การทำกำไรขั้นต้นจนถึงกำไรสุทธิ ทำให้กำไรโดยรวมเติบโตสูง โดยเฉพาะการทำกำไรขั้นต้นในไตรมาสนี้ของ บจ. ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าโภคภัณฑ์ด้านพลังงาน เหมืองแร่ ปิโตรเคมีและเหล็กมีผลขาดทุนจากการตีราคาสินค้าคงเหลือให้เป็นไปตามราคาตลาดและผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันลดลงมากเมื่อเทียบกับปีก่อน ในขณะเดียวกันการมีรายได้ที่ไม่ได้มาจากการดำเนินงาน เช่น กำไรจากการขายสินทรัพย์และจากการประเมินมูลค่าสินทรัพย์ เงินชดเชยค่าสินไหมน้ำท่วม ยังช่วยลดผลกระทบการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่เพิ่มขึ้นสูงและทำให้กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นอีกทางหนึ่งด้วย ” นายชนิตรกล่าว
บริษัทจดทะเบียนที่มีกำไรสุทธิสูงสุด 5 อันดับแรก คือ บมจ. ปตท. (PTT) บมจ. ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) บมจ. ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) บมจ. ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) และ บมจ. ธนาคารกรุงเทพ (BBL)
กลุ่มอุตสาหกรรม 3 อันดับแรกจาก 8 กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีกำไรสูงสุด ได้แก่ ธุรกิจการเงิน ทรัพยากร และอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง
สำหรับหมวดธุรกิจที่มีกำไรสูงสุด 3 อันดับแรก จาก 27 หมวดธุรกิจ ได้แก่ ธนาคาร พลังงานและสาธารณูปโภค และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยทั้ง 3 หมวดมีกำไรสุทธิรวม 236,884 ล้านบาท คิดเป็น 57.82% ของกำไรสุทธิรวมทั้งหมด และยอดขายรวมของทั้ง 3 หมวดคิดเป็น 54.84% ของยอดขายรวมทั้งหมด