สงสัยบ้างรึเปล่า ว่าบางคนอยู่ใกล้กันแต่แทบไม่ได้คุยกัน แต่บางคน อยู่แสนไกลแต่ก็หากันเจอ
คือตอนนี้เราเริ่มสังเกตได้ว่าเราอยู่บ้านเดียวกับพี่ แต่คุยกันน้อยมาก ทำงาน กลับบ้านนอน แยกห้องกัน แต่สำหรับเพื่อนเราที่อยู่ต่างจังหวัด ไกลแสนไกล เรากลับได้คุยกันมากกว่า ใช้เวลาร่วมกันมากกว่า
เราเลยมานึกๆดูว่า คนที่เราคุยด้วยบ่อยๆใช้เวลาร่วมกันมากๆ ต่างก็มีลักษณะการใช้ชีวิตคล้ายๆเรา ส่วนเรื่องระยะทาง ความห่างไกล ไม่ใช่อุปสรรคเลย อาจจะให้เหตุผลว่าเป็นเพราะสมัยนี้มีอินเตอร์เน็ตเลยทำให้คุยกันง่ายขึ้น
เราเลยคิดย้อนกลับไป พ่อเราคนกรุงเทพ แม่เราคนเชียงใหม่ ยังมาเจอกันแล้วแต่งงานกันได้ ทั้งๆที่สมัยนั้นยังไม่มีอินเตอร์เน็ต ปู่เราคนจีน ย่าเราคนไทย ไกลกันสุดๆก็ยังมาเจอกัน
เราเลยเกิดข้อสงสัยอีกว่า จะมีมั๊ยนะ คนที่วิถีชีวิตต่างกันสุดๆ แต่มาลงเอยกัน ด้วยอีกความเชื่อที่ว่า ความแตกต่างทำให้เติมเต็มกันและกันได้ อาจจะเป็นแฟนกัน หรือแต่งงานกันก็แล้วแต่ มีใครพอจะรู้จักคนแบบนี้มั๊ย เพราะเท่าที่เรานึกออก มันไม่มี
และถ้าทฤษฎีแรงดึงดูดนี้จริง มันอาจจะลบล้างคำว่า พรหมลิขิต ก็ได้นะ ว่ามะ
รูปจากหนังสือ ควันใต้หมวก ของคุณตั้ม
จริงหรือไม่? ที่คนที่มีพฤติกรรมคล้ายๆกัน จะถูกดึงดูดเข้าหากัน
คือตอนนี้เราเริ่มสังเกตได้ว่าเราอยู่บ้านเดียวกับพี่ แต่คุยกันน้อยมาก ทำงาน กลับบ้านนอน แยกห้องกัน แต่สำหรับเพื่อนเราที่อยู่ต่างจังหวัด ไกลแสนไกล เรากลับได้คุยกันมากกว่า ใช้เวลาร่วมกันมากกว่า
เราเลยมานึกๆดูว่า คนที่เราคุยด้วยบ่อยๆใช้เวลาร่วมกันมากๆ ต่างก็มีลักษณะการใช้ชีวิตคล้ายๆเรา ส่วนเรื่องระยะทาง ความห่างไกล ไม่ใช่อุปสรรคเลย อาจจะให้เหตุผลว่าเป็นเพราะสมัยนี้มีอินเตอร์เน็ตเลยทำให้คุยกันง่ายขึ้น
เราเลยคิดย้อนกลับไป พ่อเราคนกรุงเทพ แม่เราคนเชียงใหม่ ยังมาเจอกันแล้วแต่งงานกันได้ ทั้งๆที่สมัยนั้นยังไม่มีอินเตอร์เน็ต ปู่เราคนจีน ย่าเราคนไทย ไกลกันสุดๆก็ยังมาเจอกัน
เราเลยเกิดข้อสงสัยอีกว่า จะมีมั๊ยนะ คนที่วิถีชีวิตต่างกันสุดๆ แต่มาลงเอยกัน ด้วยอีกความเชื่อที่ว่า ความแตกต่างทำให้เติมเต็มกันและกันได้ อาจจะเป็นแฟนกัน หรือแต่งงานกันก็แล้วแต่ มีใครพอจะรู้จักคนแบบนี้มั๊ย เพราะเท่าที่เรานึกออก มันไม่มี
และถ้าทฤษฎีแรงดึงดูดนี้จริง มันอาจจะลบล้างคำว่า พรหมลิขิต ก็ได้นะ ว่ามะ
รูปจากหนังสือ ควันใต้หมวก ของคุณตั้ม