สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 62
ผมไม่รู้ว่าคุณเจ้าของกระทู้จะอ่านมาถึงข้อความของผมหรือปล่าว แต่ผมก็อยากจะแบ่งปันประสบการณ์ครับ
สถานการณ์คุณก็ถือว่าหนักและแย่ อาจจะมากกว่า พอๆ กัน หรือ เบากว่าผมครับ เรื่องของผมมีอยู่ว่า
ผมทำงานเป็นลูกจ้างเงินเดือนไม่มาก (มากกว่าคุณเล็กน้อย) ให้เงินเดือนพ่อแม่และน้องชายทุกเดือน พยายามจัดสรรเงินเก็บให้ได้ทุกเดือน
ต่อมาปี 2554 แม่ผมมีอาการหน้ามืด วูบ จึงนำส่งโรงพยาบาล หมอตรวจอาการ และเอ็กซเรย์สมอง ปรากฏว่าแม่เป็นเส้นเลือดในสมองตีบ แต่โชคดีเป็นไม่มาก พักอยู่ รพ ประมาณ 5 วัน หมอก็ให้กลับมากายภาพต่อที่บ้าน (ด้วยควมตกใจ พี่สาวพาแม่ส่ง รพ เอกชน หมดเงินไป 5 หมื่นกว่าบาท) กลับมาบ้าน พักฟื้นได้ประมาณ ไม่ถึง 10 วัน จู่ๆ แม่ก็พูดไม่ได้ ขยับตัวไม่ได้ เลยพาส่ง รพ อีกรอบ คราวนี้ส่งตัวไป รพ ที่แม่มีประกันสังคม หมอวินิจฉัยว่า แม่เป็นเลือดออกที่ก้านสมอง ซึ่งเป็นสาเหตุให้แม่พูดไม่ได้ และยังขยับตัวไม่ได้ การแก้ไขคือ กายภาพ หัดพูดใหม่ หัดเดินใหม่ แม่พักอยู่ รพ สักระยะ หมอจึงให้กลับบ้านได้ แต่เนื่องจาก แม่ต้องมีคนดูแลตลอดเวลา คอยเช็ดตัว ป้อนอาหาร เปลี่ยนผ้าอ้อม ซึ่งตรงนี้ พ่อดูแลถึงขนาดนั้นไม่ได้ พี่สาวออกไปอยู่ต่างหาก น้องชายก็ทำงานไม่เป็นเวลา และผมก็ทำงานเต็มเวลา
ผมจึงตัดสินใจ จ้างคนมาดูแลแม่โดยเฉพาะ เพื่อความสบายใจและอุ่นใจ และลดภาระของพ่อ และซื้อเวลาให้น้องชาย ให้ไปหางานประจำทำ และมาช่วยเหลือกันเรื่องค่าใช้จ่าย ที่สูงมาก ซึ่งค่าจ้างผู้ดูแล บวกกับของใช้ของแม่ เดือนละ 15,000 บาท ซึ่งผมก็มองโลกสวย คิดว่า พี่และน้องจะยื่นมาช่วย แต่ผลออกมา พี่ไม่ช่วยเหลือแม้แต่บาทเดียว จะมีแต่นานๆ แวะมาเยี่ยมที ซื้อกับข้าวหรือผ้าอ้อมมาให้ (แต่ไม่ได้รับผิดชอบว่าจะซื้อผ้าอ้อมมาให้ประจำ) ส่วนน้องชายก็ไม่ช่วยเรื่องเงินเลย แต่เขาก็รับผิดชอบซื้ออาหารให้แม่ไป และพ่อผมก็ดูแลแม่เป็นอย่างดี เรื่องอาหารการกินนอกเหนือจากที่น้องชายซื้อมาให้ และการดูแลโดยรวม และค่าน้ำค่าไฟ ในบ้าน แม่อยากทานอะไร พ่อจะสรรหามาให้ทุกอย่าง
ภาระดังกล่าวทำให้ผมเซ ไปเกือบปี เพราะต้องจัดการบริหารเรื่องเงินใหม่หมด จากกินอยู่ใช้เงินอย่างพอใจ ถึงจะฟุ้มเฟือยได้ไม่มาก แต่ก็ไม่ขัดสน ก็มาเป็นต้องประหยัดมาก กินน้อย ใช้น้อย แทบไม่มีเงินเก็บ เลย
พอหนึ่งปีผ่านไป ทุกอย่างเริ่มเข้ารูปเข้ารอย ปรับตัวเข้ากับชีวิตสมถะ พอเพียงได้ พายุชีวิต ก็โถมมาอีก ในเดือน กพ ปี 56 พ่อผมมีอาการเดินเซ หนังตาตกข้างนึง ผมเห็นท่าไม่ได้ เลยให้พ่อไปหาหมอ พอพบหมอ ก็ให้นอน รพ เลย เพราะพ่อเป็นเส้นโลหิตในสมองตีบ พ่อนอน รพ ได้ประมาณสองวัน ก็กลายเป็นเจ้าชายนิทรา เพราะมีอาการสมองบวม หมอสมองมีความเห็นว่าต้องผ่าตัดเพื่อระบายน้ำในสมอง ในขณะที่หมอผ่าสมองเห็นว่า ไม่ควรผ่าตัด เพราะจะผ่าตัดหรือไม่ผ่าตัดมีค่าเท่ากัน พ่อจะกลายเป็นเจ้าชายนิทรา หมอจึงแนะให้รอดูอาการไปก่อน เพราะสมองที่บวม ส่วนใหญ่จะยุบเอง ใน 1-2 อาทิตย์ เมื่อพ่อไปนอน รพ ผมก็เลยต้องแวะไปหาพ่อก่อนทำงานทุกวัน หลังเลิกงานก็มาหาพ่อ ที่ รพ ก่อนกลับบ้านทุกวัน วันหยุด เสาร์ อาทิตย์ ก็ไปดูแลพ่อที่ รพ ทุกวัน ทั้งวัน จนถึงเวลาห้องพักผู้ป่วยปิด เป็นอย่างนี้ เกือบเดือน พ่อก็ฟื้นอย่างน่าอัศจรรย์ สัปดาห์กว่าๆ หมอก็ให้กลับบ้าน ไปทำภายภาพ อาการของพ่อตอนนั้น สามารถลุกนั่งได้ นอนพลิกตัวเองได้ ทานอาหารได้ ดื่มน้ำได้ แต่พูดไม่ค่อยถนัด และมีอาการชาของร่างกายหนึ่งซีก
เมื่อพ่อกลับมาพักรักษาตัวที่บ้าน ก็ต้องอาศัยการดูแลใกล้ชิดเหมือนแม่ แต่ผมไม่มีเงินจ้างคนดูแล้ว เลยต้องดูแลเอง สลับกับน้องชาย และคนดูแลแม่ที่เขามีน้ำใจมาก อาสาดูแลพ่อให้ตอนที่ผมและน้องไปทำงานนอกบ้าน โดยไม่คิดเงินเพิ่มเลย
แต่ค่าใช้จ่าย ก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก เพราะผมต้องรับผิดชอบค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ในบ้าน ซึ่ง พ่อและแม่ต้องนอนห้องแอร์ บวกกับอุปกรณ์ที่พ่อต้องใช้เหมือนแม่ จิปาถะ ถึงจุดนั้น ค่าใช้จ่ายที่ผมต้องจ่าย จาก เดือนละ 15,000 พุ่งไปเป็น เดือนละ 20,000 บาท และเหมือนเดิม พี่และน้องไม่ช่วยเหลือเรื่องเงินแม้แต่บาทเดียว พี่ทำเหมือนเดิม คือเวลาแวะมาเยี่ยม ก็ซื้อกับข้าว ผ้าอ้อม และเสื้อผ้ามาให้ พ่อ และแม่ น้องก็ซื้ออาหารให้ทั้งพ่อและแม่
ถึงตอนนั้น ผมเริ่มขัดสนอย่างหนัก จัดสรรเงินยังไงๆ ก็แทบไม่พอใช้ มีเงินกินข้าว 3 มื้อวันละ 100 บาท รวมถึงเวลาที่ต้องจัดสรรมาดูแลพ่อ เพื่อลดภาระคนที่ดูแลแม่ ผมต้องออกมาทำงาน และรีบกลับไปบ้าน ดูแลพ่อ วันหยุด เสาร อาทิตย์ ก็ต้องอยูดูแลพ่อทั้งวัน เงินและเวลาของผม หมด
ครึ่งเดือนให้หลัง พ่ออาการทรุด ไม่ตอบสนอง จึงนำส่ง รพ หมอบอกว่า พ่อมีอาการเลือดออกที่ก้านสมอง และส่งผลทำให้พ่อ มีอาการกึ่งเจ้าชายนิทรา คือ ลืมตาได้หนึ่งข้าง แต่ไม่สามารถสื่อสารได้ ต้องให้อาหารทางสายยาง และต้องใช้เครื่องมือในการดูดเสมหะในคอ พ่อนอนรักษาตัวอยู่ รพ ประมาณ สิบกว่าวัน อาการดีขึ้น หมอจึงแนะนำให้กลับบ้านเพราะเกรงว่าจะติดเชื้อใน รพ เนื่องจากร่างกายพ่ออ่อนแอ ผมจึงพาพ่อกลับมาบ้าน
การดูแลพ่อ ก็ต้องเพิ่มมากขึ้นอีก ต้องคอยพลิกตัว ให้อาหารทางสายยาง และดูดเสมหะ ทั้งวัน
พี่ผม เหมือนเดิม คือนานๆ แวะมาที่ ซื้อของที่จำเป็นมาให้ ส่วนน้องก็ช่วยดูแลตอนที่เขาไม่ได้ทำงาน แต่ไม่มีใครเสนอจะช่วยเหลือเรื่องเงิน ที่ผมรับภาระอยู่อย่างหนักหนาสาหัส
ชีวิตของผมเปลี่ยนไปอย่างมาก ไม่มีเงินใช้จ่าย ไม่เจอเพื่อนๆ ไม่สังสรร ไม่กินข้าวนอกบ้าน ทุกวันมีแต่ บ้าน และที่ทำงาน ไม่มีชีวิตส่วนตัว ในขณะที่ พี่ผมมีแฟน ก็ไปเที่ยวกับแฟน ทั้งในและนอกประเทศ และน้องชายก็เพิ่งไปเจอแฟนตอนพ่อป่วยใหม่ๆ เลยกำลังเห่อแฟนมาก เอาเข้าบ้าน เลี้ยงดูเป็นเรื่องเป็นราว
อีกประมาณสองอาทิตย์ถัดมา พ่อผมมีอาการหายใจแรงตัวโยน หายใจหอบอย่างหนัก ดูแล้วทรมาน ผมจึงนำตัวส่ง รพ เป็นครั้งที่สาม ไปถึงที่ รพ หมอสั่งแอดมิต ทันที และวินิจฉัยว่า พ่อมีอาการ ปอดแตก เลยต้องเจาะปอดเพื่อระบายลมที่คั่งในปอดออก พ่อก็ยังคงนอนไม่ได้สติอยู่ ในขณะที่มีสายยางระบายลมออกจากปอดเจาะอยู่ข้างลำตัว
กิจวัตรผมกลับไป เหมือนพ่อเข้า รพ ครั้งที่ สอง คือ บ้าน ที่ทำงาน รพ ไม่มีเวลาเป็นส่วนตัว ยกเว้นเวลานอน หลังเลิกงานต้องรีบไป รพ เพื่อเช็ดตัวพ่อ ป้อนอาหารทางสายยาง (ปกติมีเจ้าหน้าที่ รพ ทำให้ แต่ถ้าญาติคนไข้อยู่ พยาบาลก็จะบอกให้ญาติช่วยทำให้ เพื่อบรรเทางานของพยาบาล ซึ่งหนักที่ต้องดูแลคนไข้ทั้ง วอร์ด หลายสิบเตียง) และป้อนยาให้พ่อ นั่งคุยกับพ่อ สวดมนต์ให้พ่อฟัง เป็นอย่างนี้ ทุกวัน ไม่เว้นเสาร์อาทิตย์ แต่เสาร์อาทิตย์และวันหยุด จะพิเศษหน่อย คือผมจะไปหาพ่อประมาณ 10 โมงเช้า คุยให้พ่อฟัง สวดมนต์ และบีบนวด จนถึงเวลาห้องพักผู้ป่วยปิด ประมาณ 2 ทุ่ม จึงกลับบ้าน บางวันฝนตก ก็กลับก่อน ประมาณ 1 ทุ่ม
ในขณะที่ พี่ ก็มีแวะมาหาพ่อหลังเลิกงานบ้าง จากถี่ๆ เกือบทุกวัน ก็กลายเป็นนานๆ ที ส่วนน้อง ก็ไม่เห็นเลย หรืออาจจะมีแวะไปตอนผมไม่อยู่ ผมไม่ทราบ
ในขณะนั้น ผมทั้งเหนื่อย ทั้งท้อ ทั้งเสียใจ สุขภาพก็เริ่มแย่ เงินก็ไม่มี แต่ผมไม่ท้อ ไม่หยุดดูแลพ่อ ความคิดความเสียใจทั้งหลายผมเก็บไว้ในใจ แต่การดูแลพ่อ ต้องไม่บกพร่อง และผมก้ไม่รู้ว่า ผมต้องเผชิญมรสุมชีวิตอย่างนั้น อีกนานแค่ไหน ในขณะที่ผมอายุ 41 แล้ว ผมจะมีเวลาเก็บเงินตั้งตัวหรือปล่าว ทุกอย่างประดังประเดเข้ามา
จากเดือนปลายเดือน เมษายน ที่พ่อเข้า รพ เป็นครั้งที่สาม ผมก็ปฏิบัติกิจวัตรเช่นนั้นทุกวัน ลำพัง จากความเสียใจปนแค้น (พี่และน้อง) ผมยอมรับ แต่พอเวลาผ่านไป ความคิดเหล่านั้น ก็หายไป กลายเป็นการอโหสิกรรม ปล่อยวาง และบอกตัวเองว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้น ต้องมีเหตุผลของมัน อะไรที่เกิดขึ้นตอนนี้ ก็ต้องส่งผลให้เห็นในอนาคต เพื่อนๆ บอกว่า ทำไมผมต้องไปหาพ่อทุกวัน ทั้งที่พ่อเขานอนไม่รู้เรื่องอย่างนั้น ผมบอกว่า ผมสงสารพ่อ กลัวพ่อเหงา และคิดว่า ลูกทิ้งพ่อ และผมมั่นใจว่า พ่อสามารถรับรู้ได้ เพียงแต่พ่อสื่อสารไม่ได้ เท่านั้น
ผมจะบอกข้างๆ หูพ่อเสมอว่า ป๊าไม่ต้องกลัว ผมจะไม่ทิ้งป๊าไปไหน ผมจะดูแลป๊าอย่างนี้ มาหาป๊าอย่างนี้ทุกวัน ถ้าป๊าจะสู้ ผมจะสู้เป็นเพื่อนป๊า หรือถ้าป๊าไม่ไหว อยากพักผ่อน ป๊าก็ไม่ต้องห่วงม๊า ไม่ต้องห่วงใคร ขอให้ป๊าหลับให้สบาย ไปให้สงบ ไม่ทรมาน
ผมยอมรับว่า ผมทุกข์ทรมาน ทั้งร่างกายและจิตใจ กับสถานการณ์ชีวิตอย่างมาก แต่ผมมี ความสุข ที่ได้ทำหน้าที่ ของลูกที่ดี ที่ควรทำ ผมเหนื่อย ผมหมดแรง ผมหมดเงิน แต่ผมไม่หมดพลังใจ
ปลายเดือน กันยายน หลังจากที่ผมทำกิจวัตร ดูแลพ่อ เช็ดตัว ทาแป้ง ป้อนยาให้พ่อเสร็จ ผมก็เดินทางกลับบ้าน อีกครึ่งชั่วโมงให้หลัง พยาบาลโทรมาบอกว่า พ่อผมเสียชีวิตแล้ว
ผมหมดภาระอันยิ่งใหญ่ที่ต้องดูแลพ่อไปแล้ว เมื่อพ่อจากไป ผมไม่เสียใจเลย ที่ผมทุ่มเทดูแลพ่อ ตอนพ่อยังมีชิวิตอยู่ มองย้อนกลับทุกครั้ง ก็มีแต่ความภูมิใจ ผลในเรื่องบาปและบุญ ผมไม่ได้คิด ผมคิดแต่ว่า ดูแลพ่อไปเถอะ ตอนที่เขายังอยุ่ เพราะถ้าเขาไม่อยู่แล้ว ผมจะมาคอยยกมือไหว้รูปเขา หาน้ำ หาผลไม้ไปไหว้รูปเขา มีประโยชน์อะไร
ลูกทุกคนล้วนมีปมในชีวิตทุกคน ทุกคนล้วนมีข้ออ้างที่จะบอกมาอ้าง เพื่อไม่ต้องรับภาระดูแลพ่อแม่ยามแก่หรือล้มป่วย ลูกทุกคนไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดี และอบอุ่นกับพ่อแม่ตัวเองทุกคน ครอบครัวทุกครอบครัวไม่ได้อบอุ่นไปหมด นี่คือความจริง แต่ความจริงอีกข้อคือ ลูกทุกคนมีหน้าที่
หวังว่าเรื่องราวของผม จะเป็นกำลังใจให้คุณได้นะครับ
คนดี ไม่มีวันอับจน ครับ
สถานการณ์คุณก็ถือว่าหนักและแย่ อาจจะมากกว่า พอๆ กัน หรือ เบากว่าผมครับ เรื่องของผมมีอยู่ว่า
ผมทำงานเป็นลูกจ้างเงินเดือนไม่มาก (มากกว่าคุณเล็กน้อย) ให้เงินเดือนพ่อแม่และน้องชายทุกเดือน พยายามจัดสรรเงินเก็บให้ได้ทุกเดือน
ต่อมาปี 2554 แม่ผมมีอาการหน้ามืด วูบ จึงนำส่งโรงพยาบาล หมอตรวจอาการ และเอ็กซเรย์สมอง ปรากฏว่าแม่เป็นเส้นเลือดในสมองตีบ แต่โชคดีเป็นไม่มาก พักอยู่ รพ ประมาณ 5 วัน หมอก็ให้กลับมากายภาพต่อที่บ้าน (ด้วยควมตกใจ พี่สาวพาแม่ส่ง รพ เอกชน หมดเงินไป 5 หมื่นกว่าบาท) กลับมาบ้าน พักฟื้นได้ประมาณ ไม่ถึง 10 วัน จู่ๆ แม่ก็พูดไม่ได้ ขยับตัวไม่ได้ เลยพาส่ง รพ อีกรอบ คราวนี้ส่งตัวไป รพ ที่แม่มีประกันสังคม หมอวินิจฉัยว่า แม่เป็นเลือดออกที่ก้านสมอง ซึ่งเป็นสาเหตุให้แม่พูดไม่ได้ และยังขยับตัวไม่ได้ การแก้ไขคือ กายภาพ หัดพูดใหม่ หัดเดินใหม่ แม่พักอยู่ รพ สักระยะ หมอจึงให้กลับบ้านได้ แต่เนื่องจาก แม่ต้องมีคนดูแลตลอดเวลา คอยเช็ดตัว ป้อนอาหาร เปลี่ยนผ้าอ้อม ซึ่งตรงนี้ พ่อดูแลถึงขนาดนั้นไม่ได้ พี่สาวออกไปอยู่ต่างหาก น้องชายก็ทำงานไม่เป็นเวลา และผมก็ทำงานเต็มเวลา
ผมจึงตัดสินใจ จ้างคนมาดูแลแม่โดยเฉพาะ เพื่อความสบายใจและอุ่นใจ และลดภาระของพ่อ และซื้อเวลาให้น้องชาย ให้ไปหางานประจำทำ และมาช่วยเหลือกันเรื่องค่าใช้จ่าย ที่สูงมาก ซึ่งค่าจ้างผู้ดูแล บวกกับของใช้ของแม่ เดือนละ 15,000 บาท ซึ่งผมก็มองโลกสวย คิดว่า พี่และน้องจะยื่นมาช่วย แต่ผลออกมา พี่ไม่ช่วยเหลือแม้แต่บาทเดียว จะมีแต่นานๆ แวะมาเยี่ยมที ซื้อกับข้าวหรือผ้าอ้อมมาให้ (แต่ไม่ได้รับผิดชอบว่าจะซื้อผ้าอ้อมมาให้ประจำ) ส่วนน้องชายก็ไม่ช่วยเรื่องเงินเลย แต่เขาก็รับผิดชอบซื้ออาหารให้แม่ไป และพ่อผมก็ดูแลแม่เป็นอย่างดี เรื่องอาหารการกินนอกเหนือจากที่น้องชายซื้อมาให้ และการดูแลโดยรวม และค่าน้ำค่าไฟ ในบ้าน แม่อยากทานอะไร พ่อจะสรรหามาให้ทุกอย่าง
ภาระดังกล่าวทำให้ผมเซ ไปเกือบปี เพราะต้องจัดการบริหารเรื่องเงินใหม่หมด จากกินอยู่ใช้เงินอย่างพอใจ ถึงจะฟุ้มเฟือยได้ไม่มาก แต่ก็ไม่ขัดสน ก็มาเป็นต้องประหยัดมาก กินน้อย ใช้น้อย แทบไม่มีเงินเก็บ เลย
พอหนึ่งปีผ่านไป ทุกอย่างเริ่มเข้ารูปเข้ารอย ปรับตัวเข้ากับชีวิตสมถะ พอเพียงได้ พายุชีวิต ก็โถมมาอีก ในเดือน กพ ปี 56 พ่อผมมีอาการเดินเซ หนังตาตกข้างนึง ผมเห็นท่าไม่ได้ เลยให้พ่อไปหาหมอ พอพบหมอ ก็ให้นอน รพ เลย เพราะพ่อเป็นเส้นโลหิตในสมองตีบ พ่อนอน รพ ได้ประมาณสองวัน ก็กลายเป็นเจ้าชายนิทรา เพราะมีอาการสมองบวม หมอสมองมีความเห็นว่าต้องผ่าตัดเพื่อระบายน้ำในสมอง ในขณะที่หมอผ่าสมองเห็นว่า ไม่ควรผ่าตัด เพราะจะผ่าตัดหรือไม่ผ่าตัดมีค่าเท่ากัน พ่อจะกลายเป็นเจ้าชายนิทรา หมอจึงแนะให้รอดูอาการไปก่อน เพราะสมองที่บวม ส่วนใหญ่จะยุบเอง ใน 1-2 อาทิตย์ เมื่อพ่อไปนอน รพ ผมก็เลยต้องแวะไปหาพ่อก่อนทำงานทุกวัน หลังเลิกงานก็มาหาพ่อ ที่ รพ ก่อนกลับบ้านทุกวัน วันหยุด เสาร์ อาทิตย์ ก็ไปดูแลพ่อที่ รพ ทุกวัน ทั้งวัน จนถึงเวลาห้องพักผู้ป่วยปิด เป็นอย่างนี้ เกือบเดือน พ่อก็ฟื้นอย่างน่าอัศจรรย์ สัปดาห์กว่าๆ หมอก็ให้กลับบ้าน ไปทำภายภาพ อาการของพ่อตอนนั้น สามารถลุกนั่งได้ นอนพลิกตัวเองได้ ทานอาหารได้ ดื่มน้ำได้ แต่พูดไม่ค่อยถนัด และมีอาการชาของร่างกายหนึ่งซีก
เมื่อพ่อกลับมาพักรักษาตัวที่บ้าน ก็ต้องอาศัยการดูแลใกล้ชิดเหมือนแม่ แต่ผมไม่มีเงินจ้างคนดูแล้ว เลยต้องดูแลเอง สลับกับน้องชาย และคนดูแลแม่ที่เขามีน้ำใจมาก อาสาดูแลพ่อให้ตอนที่ผมและน้องไปทำงานนอกบ้าน โดยไม่คิดเงินเพิ่มเลย
แต่ค่าใช้จ่าย ก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก เพราะผมต้องรับผิดชอบค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ในบ้าน ซึ่ง พ่อและแม่ต้องนอนห้องแอร์ บวกกับอุปกรณ์ที่พ่อต้องใช้เหมือนแม่ จิปาถะ ถึงจุดนั้น ค่าใช้จ่ายที่ผมต้องจ่าย จาก เดือนละ 15,000 พุ่งไปเป็น เดือนละ 20,000 บาท และเหมือนเดิม พี่และน้องไม่ช่วยเหลือเรื่องเงินแม้แต่บาทเดียว พี่ทำเหมือนเดิม คือเวลาแวะมาเยี่ยม ก็ซื้อกับข้าว ผ้าอ้อม และเสื้อผ้ามาให้ พ่อ และแม่ น้องก็ซื้ออาหารให้ทั้งพ่อและแม่
ถึงตอนนั้น ผมเริ่มขัดสนอย่างหนัก จัดสรรเงินยังไงๆ ก็แทบไม่พอใช้ มีเงินกินข้าว 3 มื้อวันละ 100 บาท รวมถึงเวลาที่ต้องจัดสรรมาดูแลพ่อ เพื่อลดภาระคนที่ดูแลแม่ ผมต้องออกมาทำงาน และรีบกลับไปบ้าน ดูแลพ่อ วันหยุด เสาร อาทิตย์ ก็ต้องอยูดูแลพ่อทั้งวัน เงินและเวลาของผม หมด
ครึ่งเดือนให้หลัง พ่ออาการทรุด ไม่ตอบสนอง จึงนำส่ง รพ หมอบอกว่า พ่อมีอาการเลือดออกที่ก้านสมอง และส่งผลทำให้พ่อ มีอาการกึ่งเจ้าชายนิทรา คือ ลืมตาได้หนึ่งข้าง แต่ไม่สามารถสื่อสารได้ ต้องให้อาหารทางสายยาง และต้องใช้เครื่องมือในการดูดเสมหะในคอ พ่อนอนรักษาตัวอยู่ รพ ประมาณ สิบกว่าวัน อาการดีขึ้น หมอจึงแนะนำให้กลับบ้านเพราะเกรงว่าจะติดเชื้อใน รพ เนื่องจากร่างกายพ่ออ่อนแอ ผมจึงพาพ่อกลับมาบ้าน
การดูแลพ่อ ก็ต้องเพิ่มมากขึ้นอีก ต้องคอยพลิกตัว ให้อาหารทางสายยาง และดูดเสมหะ ทั้งวัน
พี่ผม เหมือนเดิม คือนานๆ แวะมาที่ ซื้อของที่จำเป็นมาให้ ส่วนน้องก็ช่วยดูแลตอนที่เขาไม่ได้ทำงาน แต่ไม่มีใครเสนอจะช่วยเหลือเรื่องเงิน ที่ผมรับภาระอยู่อย่างหนักหนาสาหัส
ชีวิตของผมเปลี่ยนไปอย่างมาก ไม่มีเงินใช้จ่าย ไม่เจอเพื่อนๆ ไม่สังสรร ไม่กินข้าวนอกบ้าน ทุกวันมีแต่ บ้าน และที่ทำงาน ไม่มีชีวิตส่วนตัว ในขณะที่ พี่ผมมีแฟน ก็ไปเที่ยวกับแฟน ทั้งในและนอกประเทศ และน้องชายก็เพิ่งไปเจอแฟนตอนพ่อป่วยใหม่ๆ เลยกำลังเห่อแฟนมาก เอาเข้าบ้าน เลี้ยงดูเป็นเรื่องเป็นราว
อีกประมาณสองอาทิตย์ถัดมา พ่อผมมีอาการหายใจแรงตัวโยน หายใจหอบอย่างหนัก ดูแล้วทรมาน ผมจึงนำตัวส่ง รพ เป็นครั้งที่สาม ไปถึงที่ รพ หมอสั่งแอดมิต ทันที และวินิจฉัยว่า พ่อมีอาการ ปอดแตก เลยต้องเจาะปอดเพื่อระบายลมที่คั่งในปอดออก พ่อก็ยังคงนอนไม่ได้สติอยู่ ในขณะที่มีสายยางระบายลมออกจากปอดเจาะอยู่ข้างลำตัว
กิจวัตรผมกลับไป เหมือนพ่อเข้า รพ ครั้งที่ สอง คือ บ้าน ที่ทำงาน รพ ไม่มีเวลาเป็นส่วนตัว ยกเว้นเวลานอน หลังเลิกงานต้องรีบไป รพ เพื่อเช็ดตัวพ่อ ป้อนอาหารทางสายยาง (ปกติมีเจ้าหน้าที่ รพ ทำให้ แต่ถ้าญาติคนไข้อยู่ พยาบาลก็จะบอกให้ญาติช่วยทำให้ เพื่อบรรเทางานของพยาบาล ซึ่งหนักที่ต้องดูแลคนไข้ทั้ง วอร์ด หลายสิบเตียง) และป้อนยาให้พ่อ นั่งคุยกับพ่อ สวดมนต์ให้พ่อฟัง เป็นอย่างนี้ ทุกวัน ไม่เว้นเสาร์อาทิตย์ แต่เสาร์อาทิตย์และวันหยุด จะพิเศษหน่อย คือผมจะไปหาพ่อประมาณ 10 โมงเช้า คุยให้พ่อฟัง สวดมนต์ และบีบนวด จนถึงเวลาห้องพักผู้ป่วยปิด ประมาณ 2 ทุ่ม จึงกลับบ้าน บางวันฝนตก ก็กลับก่อน ประมาณ 1 ทุ่ม
ในขณะที่ พี่ ก็มีแวะมาหาพ่อหลังเลิกงานบ้าง จากถี่ๆ เกือบทุกวัน ก็กลายเป็นนานๆ ที ส่วนน้อง ก็ไม่เห็นเลย หรืออาจจะมีแวะไปตอนผมไม่อยู่ ผมไม่ทราบ
ในขณะนั้น ผมทั้งเหนื่อย ทั้งท้อ ทั้งเสียใจ สุขภาพก็เริ่มแย่ เงินก็ไม่มี แต่ผมไม่ท้อ ไม่หยุดดูแลพ่อ ความคิดความเสียใจทั้งหลายผมเก็บไว้ในใจ แต่การดูแลพ่อ ต้องไม่บกพร่อง และผมก้ไม่รู้ว่า ผมต้องเผชิญมรสุมชีวิตอย่างนั้น อีกนานแค่ไหน ในขณะที่ผมอายุ 41 แล้ว ผมจะมีเวลาเก็บเงินตั้งตัวหรือปล่าว ทุกอย่างประดังประเดเข้ามา
จากเดือนปลายเดือน เมษายน ที่พ่อเข้า รพ เป็นครั้งที่สาม ผมก็ปฏิบัติกิจวัตรเช่นนั้นทุกวัน ลำพัง จากความเสียใจปนแค้น (พี่และน้อง) ผมยอมรับ แต่พอเวลาผ่านไป ความคิดเหล่านั้น ก็หายไป กลายเป็นการอโหสิกรรม ปล่อยวาง และบอกตัวเองว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้น ต้องมีเหตุผลของมัน อะไรที่เกิดขึ้นตอนนี้ ก็ต้องส่งผลให้เห็นในอนาคต เพื่อนๆ บอกว่า ทำไมผมต้องไปหาพ่อทุกวัน ทั้งที่พ่อเขานอนไม่รู้เรื่องอย่างนั้น ผมบอกว่า ผมสงสารพ่อ กลัวพ่อเหงา และคิดว่า ลูกทิ้งพ่อ และผมมั่นใจว่า พ่อสามารถรับรู้ได้ เพียงแต่พ่อสื่อสารไม่ได้ เท่านั้น
ผมจะบอกข้างๆ หูพ่อเสมอว่า ป๊าไม่ต้องกลัว ผมจะไม่ทิ้งป๊าไปไหน ผมจะดูแลป๊าอย่างนี้ มาหาป๊าอย่างนี้ทุกวัน ถ้าป๊าจะสู้ ผมจะสู้เป็นเพื่อนป๊า หรือถ้าป๊าไม่ไหว อยากพักผ่อน ป๊าก็ไม่ต้องห่วงม๊า ไม่ต้องห่วงใคร ขอให้ป๊าหลับให้สบาย ไปให้สงบ ไม่ทรมาน
ผมยอมรับว่า ผมทุกข์ทรมาน ทั้งร่างกายและจิตใจ กับสถานการณ์ชีวิตอย่างมาก แต่ผมมี ความสุข ที่ได้ทำหน้าที่ ของลูกที่ดี ที่ควรทำ ผมเหนื่อย ผมหมดแรง ผมหมดเงิน แต่ผมไม่หมดพลังใจ
ปลายเดือน กันยายน หลังจากที่ผมทำกิจวัตร ดูแลพ่อ เช็ดตัว ทาแป้ง ป้อนยาให้พ่อเสร็จ ผมก็เดินทางกลับบ้าน อีกครึ่งชั่วโมงให้หลัง พยาบาลโทรมาบอกว่า พ่อผมเสียชีวิตแล้ว
ผมหมดภาระอันยิ่งใหญ่ที่ต้องดูแลพ่อไปแล้ว เมื่อพ่อจากไป ผมไม่เสียใจเลย ที่ผมทุ่มเทดูแลพ่อ ตอนพ่อยังมีชิวิตอยู่ มองย้อนกลับทุกครั้ง ก็มีแต่ความภูมิใจ ผลในเรื่องบาปและบุญ ผมไม่ได้คิด ผมคิดแต่ว่า ดูแลพ่อไปเถอะ ตอนที่เขายังอยุ่ เพราะถ้าเขาไม่อยู่แล้ว ผมจะมาคอยยกมือไหว้รูปเขา หาน้ำ หาผลไม้ไปไหว้รูปเขา มีประโยชน์อะไร
ลูกทุกคนล้วนมีปมในชีวิตทุกคน ทุกคนล้วนมีข้ออ้างที่จะบอกมาอ้าง เพื่อไม่ต้องรับภาระดูแลพ่อแม่ยามแก่หรือล้มป่วย ลูกทุกคนไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดี และอบอุ่นกับพ่อแม่ตัวเองทุกคน ครอบครัวทุกครอบครัวไม่ได้อบอุ่นไปหมด นี่คือความจริง แต่ความจริงอีกข้อคือ ลูกทุกคนมีหน้าที่
หวังว่าเรื่องราวของผม จะเป็นกำลังใจให้คุณได้นะครับ
คนดี ไม่มีวันอับจน ครับ
แสดงความคิดเห็น
คนสารเลวแบบเรา ตายไปต้องตกนรกเป็นเปรตใช่ไหมคะ
http://ppantip.com/topic/30663871
ตอนนี้ย่าเราเป็นแผลกดทับที่ก้นแล้วแผลก็กว้างขึ้นเรื่อยๆ ยาอะไรที่ว่าดีเราก็ไปหาซื้อมาแล้วก็ทำแผลให้ท่านเช้าเย็น
เราเอาแหวนทองวงเเรกและวงเดียวของเราไปจำนำ ก็ใช้ซื้อยากับอุปกรณ์ทำแผลจนหมด แต่ว่าขั้นตอนทำแผลค่อนข้างยากเนื่องจากเรา
ต้องตะแคงย่าเราแล้วท่านก็มักจะบอกว่าเจ็บปวด ทรมาณอยากตาย บางวันก็สาปแช่งให้เราตายโหงบ้าง ตกนรกบ้าง
บางทีก็ยกขาเตะเราโดนบ้าง ไม่โดนบ้างอะไรแบบนี้อยู่บ่อย พยายามทำใจไม่ให้เครียด คิดว่าท่านเป็นเด็ก
แต่ว่าเมื่อกี๊นี้เราก็ทำแผลอีกแล้วจำท่านนอนตะแคงเหมือนเดิม เราก็รีบทำแผลเหมือนทุกครั้งท่านก็บ่นว่าเจ็บปวดทรมาณ
แล้วก็ฉี่ราดลงมาใส่แผ่นรอง เรากลัวแผลติดเชื้อก็เลยดุท่านว่าอย่าพลิกตัวมานะถ้าแผลโดนฉี่จะติดเชื้อ
ท่านก็พยายามจะล้มตัวลงมาบ่นว่าไม่ไหวๆ เลยเอื้อมมือไปตบที่ก้นท่านขนาดแรงเท่าตียุงน่ะค่ะ บอกให้อยู่นิ่งๆเฉยๆ
เราจะรีบทำแผลให้ แล้วเราสำนึกผิดว่าคนที่ทำร้ายพ่อแม่ต้องตกนรกเป็นเปรต เรานึกเสียใจค่ะ มีทางไหนจะแก้กรรมนี้ได้บ้างไหมคะ
เราไม่ได้ตั้งใจจริงๆนะคะ
ปล.ตอนนี้เราเครียดจนจะเป็นโรคประสาท ทั้งเรื่องงงาน เรื่องที่บ้าน เรื่องหนี้สิน อยากฆ่าตัวตาย วันละหลายๆรอบค่ะ
ขอแทกห้องหว้ากอด้วยค่ะ นรกมีจริงไหม