สมัยผมยังวัยรุ่นและยังหนุ่มแน่นอยู่ ยังต้องห้อยโหนรถเมล์ไปเรียนหรือไปทำงาน
ทุกครั้งที่เราเอื้อเฟื้อที่นั่งให้แก่คนชรา ก็มักจะได้รับคำขอบคุณชื่นชมจากผู้เฒ่าผู้แก่
เป็นน้ำเลี้ยงชโลมใจให้สามารถทนห้อยโหนอย่างเมื่อยล้าไปได้
ปัจจุบัน แม้ผมจะมีรถขับขี่ ก็มักจะหยุดให้คนข้ามทางม้าลาย จนบางครั้งต้องระวัง
ไปด้วยว่าจะทำให้คนที่เราหยุดให้ต้องได้รับอันตรายจากรถที่ตามหลังหรือเปล่า
เพราะแทนที่มันจะหยุดตาม ก็จะแซงซ้ายไป หลายครั้งคนที่ผมให้ข้ามก็ต้องมาหยุด
ชะเง้อตรงหน้ารถผม เพื่อดูว่าจะมีรถสวนมาในช่องทางซ้ายหรือไม่ เฮ้อน้ำใจทำไมมีน้อยจริงๆ?
ออกทะเลไปแล้ว กลับมาว่าเรื่องที่ผมประสบมาดีกว่า
ปรกติวันหยุด หากจะไปไหน ผมมักจะเลือกใช้รถเมล์ รถไฟฟ้า โดยให้รถคู่ใจได้หยุดพักบ้าง
เมื่อวานก็เช่นเดียวกัน โดยสารรถเมล์สาย 85 เพื่อไปคลองถม
ผมได้ที่นั่งเดี่ยวด้านขวา เกือบจะท้ายรถแล้ว ผู้คนก็ทยอยขึ้นลง จนที่นั่งเต็ม
พอรถเมล์จอดป้าย ก็มีคุณป้าท่านหนึ่งหอบหิ้วของขึ้นรถมา ผมจะลุกให้นั่ง
แต่พอดีมีผู้หญิงที่นั่งหน้าผมลุกให้ก่อน คุณป้าก็รีบนั่งทันที โดยไม่มีคำขอบคุณใดๆ
สักพัก คุณผู้หญิงคนเดิมก็ได้ที่นั่งอีกครั้งหน้าคุณป้าคนดังกล่าว
คราวนี้ ที่นั่งคุณป้าหน้าต่างมันเปิดไม่ได้ หลายท่านที่นั่งรถเมล์คงทราบว่า
มันเปิดปิดยากเย็นแค่ไหน
คุณป้าคงจะร้อนก็สะกิดขอเปลี่ยนที่นั่งกับผู้หญิงคนเดิม เธอก็แสนใจดีลุกให้อีก ย้ำอีกครั้ง
ไม่มีคำขอบใจใดๆ หลุดจากปากคุณป้า หรือแกจะเป็นใบ้?
รถยังคงวิ่งต่อไป จนรับคุณลุงที่ขึ้นมาด้วยท่าทางสอดส่ายสายตาหาที่นั่ง
ก็มีผู้ชายใจดี ที่นั่งไม่ห่างจากประตูลุกให้นั่งอีก (แหม แย่งตูทุกทีนะ)
คุณลุงก็นั่งโดยไร้คำขอบใจใดๆอีกเช่นเคย
มันทำให้ผมเองก็ยังงงๆ ว่า เพียงแค่คำขอบคุณ นี่มันเอ่ยออกมายากเย็นนักเหรอ
ในสังคมสมัยนี้ เรื่องแบบนี้ ผมเองก็ประสบมาบ่อยเช่นกัน
หรือเขาจะคิดว่ามันเป็นหน้าที่ที่ต้อง เอื้อเฟื้อแก่เด็ก สตรีและคนชรา
หลายท่านอาจมองว่าทำดีก็อย่าหวังสิ่งตอบแทนสิ
ก็ไม่ได้หวังดอกครับ แค่อยากได้ยินคำขอบคุณเท่านั้น เราก็รู้สึกดีมาก
ฤาจะหวังมากเกินไป ???
แค่คำขอบคุณ มันยากนักเหรอครับคุณลุงคุณป้า ???
ทุกครั้งที่เราเอื้อเฟื้อที่นั่งให้แก่คนชรา ก็มักจะได้รับคำขอบคุณชื่นชมจากผู้เฒ่าผู้แก่
เป็นน้ำเลี้ยงชโลมใจให้สามารถทนห้อยโหนอย่างเมื่อยล้าไปได้
ปัจจุบัน แม้ผมจะมีรถขับขี่ ก็มักจะหยุดให้คนข้ามทางม้าลาย จนบางครั้งต้องระวัง
ไปด้วยว่าจะทำให้คนที่เราหยุดให้ต้องได้รับอันตรายจากรถที่ตามหลังหรือเปล่า
เพราะแทนที่มันจะหยุดตาม ก็จะแซงซ้ายไป หลายครั้งคนที่ผมให้ข้ามก็ต้องมาหยุด
ชะเง้อตรงหน้ารถผม เพื่อดูว่าจะมีรถสวนมาในช่องทางซ้ายหรือไม่ เฮ้อน้ำใจทำไมมีน้อยจริงๆ?
ออกทะเลไปแล้ว กลับมาว่าเรื่องที่ผมประสบมาดีกว่า
ปรกติวันหยุด หากจะไปไหน ผมมักจะเลือกใช้รถเมล์ รถไฟฟ้า โดยให้รถคู่ใจได้หยุดพักบ้าง
เมื่อวานก็เช่นเดียวกัน โดยสารรถเมล์สาย 85 เพื่อไปคลองถม
ผมได้ที่นั่งเดี่ยวด้านขวา เกือบจะท้ายรถแล้ว ผู้คนก็ทยอยขึ้นลง จนที่นั่งเต็ม
พอรถเมล์จอดป้าย ก็มีคุณป้าท่านหนึ่งหอบหิ้วของขึ้นรถมา ผมจะลุกให้นั่ง
แต่พอดีมีผู้หญิงที่นั่งหน้าผมลุกให้ก่อน คุณป้าก็รีบนั่งทันที โดยไม่มีคำขอบคุณใดๆ
สักพัก คุณผู้หญิงคนเดิมก็ได้ที่นั่งอีกครั้งหน้าคุณป้าคนดังกล่าว
คราวนี้ ที่นั่งคุณป้าหน้าต่างมันเปิดไม่ได้ หลายท่านที่นั่งรถเมล์คงทราบว่า
มันเปิดปิดยากเย็นแค่ไหน
คุณป้าคงจะร้อนก็สะกิดขอเปลี่ยนที่นั่งกับผู้หญิงคนเดิม เธอก็แสนใจดีลุกให้อีก ย้ำอีกครั้ง
ไม่มีคำขอบใจใดๆ หลุดจากปากคุณป้า หรือแกจะเป็นใบ้?
รถยังคงวิ่งต่อไป จนรับคุณลุงที่ขึ้นมาด้วยท่าทางสอดส่ายสายตาหาที่นั่ง
ก็มีผู้ชายใจดี ที่นั่งไม่ห่างจากประตูลุกให้นั่งอีก (แหม แย่งตูทุกทีนะ)
คุณลุงก็นั่งโดยไร้คำขอบใจใดๆอีกเช่นเคย
มันทำให้ผมเองก็ยังงงๆ ว่า เพียงแค่คำขอบคุณ นี่มันเอ่ยออกมายากเย็นนักเหรอ
ในสังคมสมัยนี้ เรื่องแบบนี้ ผมเองก็ประสบมาบ่อยเช่นกัน
หรือเขาจะคิดว่ามันเป็นหน้าที่ที่ต้อง เอื้อเฟื้อแก่เด็ก สตรีและคนชรา
หลายท่านอาจมองว่าทำดีก็อย่าหวังสิ่งตอบแทนสิ
ก็ไม่ได้หวังดอกครับ แค่อยากได้ยินคำขอบคุณเท่านั้น เราก็รู้สึกดีมาก
ฤาจะหวังมากเกินไป ???