สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 37
ผมมีข้อคิดเล็กๆน้อยๆเรื่องสินสอด
ในสมัยก่อนการให้สินสอดสำหรับฝ่ายหญิงถือเป็นการแสดงความรับผิดชอบว่าฝ่ายชายสามารถที่จะดูแลรักษาฝ่ายหญิงได้
ส่วนฝ่ายหญิงก็มีหน้าที่เป็นแม่ศรีเรือนที่ดีให้แก่ฝ่ายชาย
แต่เนื่องด้วยปัจจุบัน ทั้ง หญิง และ ชาย ต่างสามารถทำงานได้ในลักษณะเช่นเดียวกัน เพราะการศึกษาที่เพิ่มมากขึ้นโอกาสการทำงานที่ทัดเทียมกัน
ดังนั้น มันอาจจะไม่แปลกนักที่หลายคนต่างช่วยกันเก็บเงินเพื่อนำมาเป็นค่าสินสอด
แล้วก็ไม่ใช่เรื่องผิดที่จะยังคงดำรงไว้ซึ่งธรรมเนียมปัฏิบัติ เช่น การเรียกสินสอด
แต่สิ่งที่ถูกบิดเบือนไปจากความจริงก็คือ จำนวนของตัวเลขในการขอเรียกสินสอด
พ่อแม่บางคนอาจจะกล่าวมาว่า ลูกฉันเลี้ยงมาอย่างดี เพราะฉะนั้นก็ต้องให้สินสอดที่สมน้ำสมเนื้อ สมหน้าตา
ในกรณีที่คุณเป็นผู้รากมากดีมาแต่ครั้งโบราณกาล อันนี้ก็สุดแล้วแต่...
แต่อีกนัยหนึ่งเช่นปุถุชนธรรมดาสามัญทั่วไป การประเมิน บางครั้งมักจะอิงจากหลักการที่ไม่สมเหตุสมผล
คุณต้องเข้าใจว่าการเรียกสินสอด ไม่ได้หมายถึงการจ่ายเงินเพื่อซื้อตัวลูกสาวของบ้านนั้นๆ
แต่การเรียกสินสอด เป็นการทำตามจารีต หรือ ธรรมเนียม ซึ่งจะเกี่ยวโยงและอยู่ในหลักหมวดหมู่ของเรื่องจริยธรรม
บางครอบครัวกะจะหวังรวยเพราะสินสอดกันก็มีมาก อีกทาง บางครอบครัวก็หวังเพียงให้คู่บ่าวสาวครองรักกันไปจนแก่เฒ่า
โดยความคิดเห็นส่วนตัว ผมไม่เห็นด้วยที่จะเรียกสินสอดจนเกินขอบเขตหรือความพอดี เช่น บาง User
อีกประการหนึ่งก็คือการจัดงานแต่งงานนั้น หน้าที่ขอมันเพียงแค่ต้องการบ่งบอกว่า สองครอบครัว ได้เกี่ยวดองกัน (เพียงแค่นี้เอง)
แต่ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไป คิดว่าการแต่งงานต้องเป็นอะไรที่โก้หรูมีระดับ มีหน้ามีตา ซึ่งมันผิดวัตถุประสงค์
ท้ายสุด - การคำนึงถึงหลักความเป็นจริงและไตร่ตรองสิ่งที่กระทำอย่างมีเหตุผล จะเป็นทางออกที่ดีสำหรับหัวข้อนี้
ในสมัยก่อนการให้สินสอดสำหรับฝ่ายหญิงถือเป็นการแสดงความรับผิดชอบว่าฝ่ายชายสามารถที่จะดูแลรักษาฝ่ายหญิงได้
ส่วนฝ่ายหญิงก็มีหน้าที่เป็นแม่ศรีเรือนที่ดีให้แก่ฝ่ายชาย
แต่เนื่องด้วยปัจจุบัน ทั้ง หญิง และ ชาย ต่างสามารถทำงานได้ในลักษณะเช่นเดียวกัน เพราะการศึกษาที่เพิ่มมากขึ้นโอกาสการทำงานที่ทัดเทียมกัน
ดังนั้น มันอาจจะไม่แปลกนักที่หลายคนต่างช่วยกันเก็บเงินเพื่อนำมาเป็นค่าสินสอด
แล้วก็ไม่ใช่เรื่องผิดที่จะยังคงดำรงไว้ซึ่งธรรมเนียมปัฏิบัติ เช่น การเรียกสินสอด
แต่สิ่งที่ถูกบิดเบือนไปจากความจริงก็คือ จำนวนของตัวเลขในการขอเรียกสินสอด
พ่อแม่บางคนอาจจะกล่าวมาว่า ลูกฉันเลี้ยงมาอย่างดี เพราะฉะนั้นก็ต้องให้สินสอดที่สมน้ำสมเนื้อ สมหน้าตา
ในกรณีที่คุณเป็นผู้รากมากดีมาแต่ครั้งโบราณกาล อันนี้ก็สุดแล้วแต่...
แต่อีกนัยหนึ่งเช่นปุถุชนธรรมดาสามัญทั่วไป การประเมิน บางครั้งมักจะอิงจากหลักการที่ไม่สมเหตุสมผล
คุณต้องเข้าใจว่าการเรียกสินสอด ไม่ได้หมายถึงการจ่ายเงินเพื่อซื้อตัวลูกสาวของบ้านนั้นๆ
แต่การเรียกสินสอด เป็นการทำตามจารีต หรือ ธรรมเนียม ซึ่งจะเกี่ยวโยงและอยู่ในหลักหมวดหมู่ของเรื่องจริยธรรม
บางครอบครัวกะจะหวังรวยเพราะสินสอดกันก็มีมาก อีกทาง บางครอบครัวก็หวังเพียงให้คู่บ่าวสาวครองรักกันไปจนแก่เฒ่า
โดยความคิดเห็นส่วนตัว ผมไม่เห็นด้วยที่จะเรียกสินสอดจนเกินขอบเขตหรือความพอดี เช่น บาง User
อีกประการหนึ่งก็คือการจัดงานแต่งงานนั้น หน้าที่ขอมันเพียงแค่ต้องการบ่งบอกว่า สองครอบครัว ได้เกี่ยวดองกัน (เพียงแค่นี้เอง)
แต่ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไป คิดว่าการแต่งงานต้องเป็นอะไรที่โก้หรูมีระดับ มีหน้ามีตา ซึ่งมันผิดวัตถุประสงค์
ท้ายสุด - การคำนึงถึงหลักความเป็นจริงและไตร่ตรองสิ่งที่กระทำอย่างมีเหตุผล จะเป็นทางออกที่ดีสำหรับหัวข้อนี้
ความคิดเห็นที่ 11
ไม่ได้งก ไม่ได้เว่อร์นะค่ะ แต่เอาจริงๆ ตรงๆเลยนะ
เงินสด 10 ล้าน ทอง 10 บาท ที่ดินที่มีมูลค่าประมาณนึง
หุ้นของบริษัทที่มีความมั่นคงสูงและมีแนวโน้มที่มูลค่าจะเพิ่มขึ้น
บ้านเดี่ยวหลังเล็กๆราคาสัก 3-4ล้านก็พอล่ะค่ะ คอนโดธรรมดา
ไม่ต้องหรูมากค่ะ เอาโครงการกลางๆ แล้วก็รถบีเอ็มธรรมดาๆสักคัน
ไม่ได้เท่านี้ เราก็ตั้งใจไว้แล้วค่ะว่า จะอยู่คนเดียวต่อไป
ไม่ได้คิดว่า จะเกาะแฟนกิน หรือหน้าเงิน คิดจะหาเงิน
จากการแต่งงานนะค่ะ คือ เราไม่ได้ซีเรียส ได้ก็ได้
ไม่ได้ก็ไม่แต่ง อยู่คนเดียวก็ได้ แก่มาก็ไปอยู้บ้านพักคนชรา
ไม่ได้มีปัญหาอะไรค่ะ
เงินสด 10 ล้าน ทอง 10 บาท ที่ดินที่มีมูลค่าประมาณนึง
หุ้นของบริษัทที่มีความมั่นคงสูงและมีแนวโน้มที่มูลค่าจะเพิ่มขึ้น
บ้านเดี่ยวหลังเล็กๆราคาสัก 3-4ล้านก็พอล่ะค่ะ คอนโดธรรมดา
ไม่ต้องหรูมากค่ะ เอาโครงการกลางๆ แล้วก็รถบีเอ็มธรรมดาๆสักคัน
ไม่ได้เท่านี้ เราก็ตั้งใจไว้แล้วค่ะว่า จะอยู่คนเดียวต่อไป
ไม่ได้คิดว่า จะเกาะแฟนกิน หรือหน้าเงิน คิดจะหาเงิน
จากการแต่งงานนะค่ะ คือ เราไม่ได้ซีเรียส ได้ก็ได้
ไม่ได้ก็ไม่แต่ง อยู่คนเดียวก็ได้ แก่มาก็ไปอยู้บ้านพักคนชรา
ไม่ได้มีปัญหาอะไรค่ะ
ความคิดเห็นที่ 34
ในความคิดของเรานะ แค่ให้เค้ามาคุยกับพ่อแม่เรา แลกแหวนกันคนละวงก็พอ ตอนค่ำก็พาพ่อแม่ทั้ง2ฝ่ายไปทานข้าวด้วยกัน แค่นั้นก็พอละ ไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรมากมายค่ะ มันอยู่ที่เรา เราต่างหากที่ใช้ชีวิตคู่ อีกอย่างคบกันด้วยความรัก ไม่ได้คบที่เงินนะคะ แต่ถ้าให้ไปกัดก้อนเกลือกินก็คงไม่ไหวค่ะ เพราะฉะนั้นการจัดงานแต่งงานจึงไม่จำเป็นสำหรับเราเลย สู้เก็บเงินที่จะจัดงาน ค่าสินสอด เก็บไว้ทำทุน หรือเก็บไว้เพื่ออนาคตจะดีกว่าค่ะ ลองคิดดูนะคะ แต่งไปแล้วต้องมีลูก เดี่ยวนี้ค่าใช้จ่ายอะไรก็สูงขึ้นทุกวัน...อึม.....เอาไว้เป็นค่ารักษาตอนลูกป่วย เพราะถ้ามีลูกเด็กๆตัวน้อยป่วยได้ง่ายมากค่ะ ค่ารักษาก็แพง ไหนจะค่านม ค่าเทอมลูกอีก ณ.ปัจจุบันนี้ค่าเทอมเรียนหนังสือก็สูงมากแล้ว คุณลองคิดเผื่อไปอีกสักประมาณ10-20ปีสิคะ ว่าจะเป็นเท่าไรกัน และค่าใช้จ่ายอย่างอื่นอีกจิปาถะที่เป็นตัวเสริมตามมาอีกค่ะ ซึ่งมันคงจะเยอะมากๆ ลองคิดดูให้ดีๆนะคะ^^ อึม.. ขอโทษด้วยนะคะ แค่พูดให้ข้อคิดเฉยๆค่ะ
แสดงความคิดเห็น
อยากจะหาค่าเฉลี่ยสินสอดในห้องนี้จริงๆ (ไม่เอาโลกสวยสดงดงาม)
เงินเท่าไหร่ ทองเท่าไหร่
ไม่เอาแบบ
- รักแท้ไม่มีเรียกสินสอด
- แล้วแต่เขาจะให้
- แล้วแต่พ่อแม่จะเรียก
- แล้วแต่เงินเก็บ
เพราะผมคิดว่าทุกคนน่าจะมีตัวเลขในใจกันบ้าง ถ้าแฟนมาขอด้วยเงิน 20 บาทนี่คุณก็คงต้องมีลังเลใจบ้างล่ะ
เผื่ออนาคตจะได้เป็นไกด์ไลน์ให้หนุ่มๆได้เตรียมตัวเตรียมใจกันบ้าง
ถ้าสาวๆคิดยาก ลองถามตัวเองแบบนี้ดู ถ้าผู้ชายมาขอด้วยเงิน 500, 5000, 50000, 500000, 5000000, 50000000
ตัวเลขไหนที่ทำให้คุณไม่ลังเลใจที่จะตัดสินใจแต่งงานครับ เริ่มจากน้อยไปหามากเลย