ขอสอบถามความเห็นคุณพ่อ คุณแม่ห้องชานเรือนนะคะ บอกตามตรงว่าตอนนี้ร้อนใจ และเครียดมากค่ะ มีเรื่องมาปรึกษาและขอฟังความคิดเห็นนะคะ รายละเอียดก็คือ ลูกสาวอยู่ชั้นป.1 ค่ะ ก่อนหน้านี้เค้าเคยเล่าให้ฟังว่า มีเด็กผู้ชายในห้องเรียนเดียวกัน สมมุติชื่อ น้องเอนะค่ะ น้องเอ มีพฤฒิกรรม ชอบแกล้งเพื่อนผู้หญิงเช่น ดึงผมเปีย ตอนแรกที่ลูกสาวเล่าให้ฟัง เราเองก็ไม่ได้ว่าอะไร แค่ถามว่าแล้วบอกคุณครูรึยัง ลูกสาวบอกว่า บอกแล้ว แต่คุณครูไม่ได้ว่าอะไร และไม่ได้ดุเด็กชายเอ คือรับฟัง แต่มองว่าเป็นเรื่องปกติค่ะ เราก็ไม่ได้ว่าอะไร บอกลูกสาวไปว่า ให้อยู่ห่างๆเพื่อนคนนี้
เหตุการณ์ต่อมา เราลองถามลูกสาวว่า มีเพื่อนมารังแกมั้ย ถามแบบธรรมดานะคะ เหมือนถามเล่นๆ ลูกสาวเล่าให้ฟังว่าเด็กชายเอ พยายามจะมาจูบปากลูกสาวเรา ตอนนั้นปรี๊ดเลยค่ะ แต่ก็พยามข่มอารมณ์ไว้ ถามลูกสาวไปว่า แล้วหนูทำไงลูก ลูกสาวบอกว่า เอามือดันหน้าเด็กชายเอ เอาไว้สุดแรงเรย ก็เลยไม่โดน (ขอเล่าเพิ่มนิดหนึ่งนะคะ คือ ลูกสาวเรา อยู่กับคุณตา คุณยายที่อีกจังหวัด เราอยู่คนละที่จะกลับบ้านไปหา หรือพาเค้ามาเที่ยวช่วงปิดเทอม ส่วนเรื่องที่จะพาลูกสาวมาอยู่ด้วยมีแพลนค่ะ แต่ตอนนี้ยังติดขัดด้วยเหตุผลบางประการ ต่อนะคะ ) หลังจากเราทราบเรื่องนั้น เราคุยกับคุณยาย คุณยายบอกว่า ไปที่โรงเรียนแล้ว เด็กชายเอ กลับบ้านไปแล้ว เลยทำเป็นคุยกับเพื่อคนอื่นว่า คุณยายรู้เรื่องแล้วนะ ว่าเด็กชายเอ แกล้งหลานสาว ถ้าไม่เลิกแกล้งเดี๋ยวคุณยายจะมาหาใหม่ คุณแม่เราเค้าพูดแนวนิ่มๆนะคะ ออกแนวคนแก่รักเด็ก ปกติถ้ามีเหตุการณ์ อะไรเกิดขึ้น เด็กๆมักจะมาเล่าให้ฟัง เหมือนเป็นขาเม้าส์กันน่ะค่ะ
หลังจากวันนั้นก็ปกติ ไม่มีเหตุการณ์อะไร มีอยู่วันหนึ่งเราถามลูกสาวอีกครั้ง ว่ามีใครรังแกรึเปล่าที่โรงเรียน คราวนี้ลูกสาวบอกไม่มีนะ เราก็บอกไปว่า ถ้ามีใครรังแกก็ไปบอกคุณครูนะ ลูกสาวบอกว่า คุณครูไม่สนใจบอกไปก็เท่านั้น เราก็เลยบอกว่า งั้นมาบอกเรา หรือคุณยายแล้วกัน บอกด้วยนะใครรังแกหนู แม่หนูจะจับมาต้มแกงจืด ลูกสาวก็หัวเราะค่ะ คือปกติ เค้าจะเป็นคนคุยเก่ง มีอะไรก็จะเล่าให้ฟังนะคะ คือ ถ้าเค้าไม่อยู่บ้านก็จะเงียบ ประมาณนั้นเลยค่ะ
มาถึงวันเกิดเหตุนะคะ คุณยายไปรับหลานตามปกติ พอไปรับเพื่อนของลูกสาว เด็กหญิงอ้อมก็วิ่งมาบอกว่า เด็กชายบี (เด็กคนที่สอง) มาเปิดกระโปรงลูกสาวเราและเอามือมาจับที่อวัยวะ... คุณยายก็เลยถามลูกสาวว่าจริงเหรอ ลูกสาวก็ตอบว่าจริง คุณยายก็ถามว่าแล้วทำไมไม่บอกคุณครู เด็กหญิงอ้อมก็บอกว่า เวลาบอกอะไร คุณครูไม่ค่อยสนใจ และถ้าเรื่องถึงผู้ปกครอง ผู้ปกครองเด็กมาคุยกับครู ครูจะมาว่าเด็กว่าเธอขี้ฟ้อง เด็กเลยหลีกเลี่ยงที่จะบอกครู หลังจากนั้น คุณยายเลยไปคุยกับคุณครู ตรงนี้ แม่เรา(คุณยาย) เล่าให้ฟังว่า คุณครูรับฟัง และก็เฉยๆ เหมือนว่าเป็นเรื่องธรรมดา แล้วบอกว่าจะช่วยดูให้ แค่นั้นค่ะ ไม่ได้บอกด้วยซ้ำว่าจะเรียกเด็กมาคุย หลังจากคืนนั้น แม่เรานอนไม่หลับค่ะ วันต่อมาไปขอให้ครูย้ายที่นั่ง เพราะเด็กชายบี กับลูกสาวนั่งใกล้กัน คุณครูก็เปลี่ยนที่นั่งให้ คุณยายของน้องเลยมาเล่าให้เราฟัง บอกว่าเรื่องจบแล้ว เลยกล้าเล่าให้ฟัง เพราะเราค่อนข้างใจร้อนแม่เราบอกว่า แม่เครียดเหมือนกัน ตอนแรกคิดถึงการย้ายโรงเรียนเลยด้วยซ้ำ แต่พอย้ายที่นั่งได้ก็สบายใจขึ้น ใจแม่เราอยากให้เรื่องจบ เพราะกลัวว่าถ้าเรื่องใหญ่ลูกสาวเองก็จะไม่สบายใจ เพื่อนรักก็เรียนที่นี่ เรียนด้วยกันตั้งแต่อนุบาล กลัวว่าถ้าร้องเรียนกับทางโรงเรียน ลูกสาวจะมีปัญหากับครูอีก
แต่พอฟังปุ๊บเราปรี๊ดค่ะ บอกว่า พ่อแม่เด็กควรรู้ ว่า ลูกตัวเองมีพฤติกรรมแบบนี้ ควรคุยกับเด็กด้วยซ้ำ ให้รู้ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องปกติ คุณครูเองก็ไม่ควรเห็นว่าเป็นสิ่งปกติ แม่เราบอกว่า อย่าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ เราโกรธลูกสาวเราด้วยซ้ำที่ทำไมไม่กล้าบอก ถ้าเกิดเป็นเรื่องที่ร้ายแรงกว่านี้จะทำยังไง แต่เราไม่ได้ว่าอะไรลูกสาวนะคะ ยังไม่ได้คุยกันเรื่องนี้ กำลังปรี๊ดค่ะ เลยยังไม่คุยไม่อยากให้เค้ารู้สึกกลัวที่จะเล่าเรื่องอื่นให้ฟัง คุณยายบอกว่าเค้าบอกหลานแล้วว่าต่อไปมีอะไรให้บอก คือส่วนหนึ่งเราคิดว่า ลูกสาวมองว่าเป็นเรื่องน่าอาย มากกว่าเป็นเรื่องร้ายแรง แต่ในมุมของแม่เรารู้สึกแย่มากค่ะ เลยอยากถามความคิดเห็นว่าเราควรทำยังไงดีค่ะ ปล่อยเรื่องให้ผ่านไป ให้จบอย่างที่แม่เราบอก หรือเราพอที่จะทำอะไรได้บ้างค่ะ หากพ่อแม่คนไหน มีข้อเสนอแนะดีๆ รบกวนด้วยนะคะ ขอขอบคุณทุกความเห็นล่วงหน้าค่ะ
ลูกสาวชั้นป.1 ถูกเพื่อนผู้ชายลวมลาม ควรเห็นเป็นเรื่องเล็กๆจริงเหรอค่ะ
เหตุการณ์ต่อมา เราลองถามลูกสาวว่า มีเพื่อนมารังแกมั้ย ถามแบบธรรมดานะคะ เหมือนถามเล่นๆ ลูกสาวเล่าให้ฟังว่าเด็กชายเอ พยายามจะมาจูบปากลูกสาวเรา ตอนนั้นปรี๊ดเลยค่ะ แต่ก็พยามข่มอารมณ์ไว้ ถามลูกสาวไปว่า แล้วหนูทำไงลูก ลูกสาวบอกว่า เอามือดันหน้าเด็กชายเอ เอาไว้สุดแรงเรย ก็เลยไม่โดน (ขอเล่าเพิ่มนิดหนึ่งนะคะ คือ ลูกสาวเรา อยู่กับคุณตา คุณยายที่อีกจังหวัด เราอยู่คนละที่จะกลับบ้านไปหา หรือพาเค้ามาเที่ยวช่วงปิดเทอม ส่วนเรื่องที่จะพาลูกสาวมาอยู่ด้วยมีแพลนค่ะ แต่ตอนนี้ยังติดขัดด้วยเหตุผลบางประการ ต่อนะคะ ) หลังจากเราทราบเรื่องนั้น เราคุยกับคุณยาย คุณยายบอกว่า ไปที่โรงเรียนแล้ว เด็กชายเอ กลับบ้านไปแล้ว เลยทำเป็นคุยกับเพื่อคนอื่นว่า คุณยายรู้เรื่องแล้วนะ ว่าเด็กชายเอ แกล้งหลานสาว ถ้าไม่เลิกแกล้งเดี๋ยวคุณยายจะมาหาใหม่ คุณแม่เราเค้าพูดแนวนิ่มๆนะคะ ออกแนวคนแก่รักเด็ก ปกติถ้ามีเหตุการณ์ อะไรเกิดขึ้น เด็กๆมักจะมาเล่าให้ฟัง เหมือนเป็นขาเม้าส์กันน่ะค่ะ
หลังจากวันนั้นก็ปกติ ไม่มีเหตุการณ์อะไร มีอยู่วันหนึ่งเราถามลูกสาวอีกครั้ง ว่ามีใครรังแกรึเปล่าที่โรงเรียน คราวนี้ลูกสาวบอกไม่มีนะ เราก็บอกไปว่า ถ้ามีใครรังแกก็ไปบอกคุณครูนะ ลูกสาวบอกว่า คุณครูไม่สนใจบอกไปก็เท่านั้น เราก็เลยบอกว่า งั้นมาบอกเรา หรือคุณยายแล้วกัน บอกด้วยนะใครรังแกหนู แม่หนูจะจับมาต้มแกงจืด ลูกสาวก็หัวเราะค่ะ คือปกติ เค้าจะเป็นคนคุยเก่ง มีอะไรก็จะเล่าให้ฟังนะคะ คือ ถ้าเค้าไม่อยู่บ้านก็จะเงียบ ประมาณนั้นเลยค่ะ
มาถึงวันเกิดเหตุนะคะ คุณยายไปรับหลานตามปกติ พอไปรับเพื่อนของลูกสาว เด็กหญิงอ้อมก็วิ่งมาบอกว่า เด็กชายบี (เด็กคนที่สอง) มาเปิดกระโปรงลูกสาวเราและเอามือมาจับที่อวัยวะ... คุณยายก็เลยถามลูกสาวว่าจริงเหรอ ลูกสาวก็ตอบว่าจริง คุณยายก็ถามว่าแล้วทำไมไม่บอกคุณครู เด็กหญิงอ้อมก็บอกว่า เวลาบอกอะไร คุณครูไม่ค่อยสนใจ และถ้าเรื่องถึงผู้ปกครอง ผู้ปกครองเด็กมาคุยกับครู ครูจะมาว่าเด็กว่าเธอขี้ฟ้อง เด็กเลยหลีกเลี่ยงที่จะบอกครู หลังจากนั้น คุณยายเลยไปคุยกับคุณครู ตรงนี้ แม่เรา(คุณยาย) เล่าให้ฟังว่า คุณครูรับฟัง และก็เฉยๆ เหมือนว่าเป็นเรื่องธรรมดา แล้วบอกว่าจะช่วยดูให้ แค่นั้นค่ะ ไม่ได้บอกด้วยซ้ำว่าจะเรียกเด็กมาคุย หลังจากคืนนั้น แม่เรานอนไม่หลับค่ะ วันต่อมาไปขอให้ครูย้ายที่นั่ง เพราะเด็กชายบี กับลูกสาวนั่งใกล้กัน คุณครูก็เปลี่ยนที่นั่งให้ คุณยายของน้องเลยมาเล่าให้เราฟัง บอกว่าเรื่องจบแล้ว เลยกล้าเล่าให้ฟัง เพราะเราค่อนข้างใจร้อนแม่เราบอกว่า แม่เครียดเหมือนกัน ตอนแรกคิดถึงการย้ายโรงเรียนเลยด้วยซ้ำ แต่พอย้ายที่นั่งได้ก็สบายใจขึ้น ใจแม่เราอยากให้เรื่องจบ เพราะกลัวว่าถ้าเรื่องใหญ่ลูกสาวเองก็จะไม่สบายใจ เพื่อนรักก็เรียนที่นี่ เรียนด้วยกันตั้งแต่อนุบาล กลัวว่าถ้าร้องเรียนกับทางโรงเรียน ลูกสาวจะมีปัญหากับครูอีก
แต่พอฟังปุ๊บเราปรี๊ดค่ะ บอกว่า พ่อแม่เด็กควรรู้ ว่า ลูกตัวเองมีพฤติกรรมแบบนี้ ควรคุยกับเด็กด้วยซ้ำ ให้รู้ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องปกติ คุณครูเองก็ไม่ควรเห็นว่าเป็นสิ่งปกติ แม่เราบอกว่า อย่าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ เราโกรธลูกสาวเราด้วยซ้ำที่ทำไมไม่กล้าบอก ถ้าเกิดเป็นเรื่องที่ร้ายแรงกว่านี้จะทำยังไง แต่เราไม่ได้ว่าอะไรลูกสาวนะคะ ยังไม่ได้คุยกันเรื่องนี้ กำลังปรี๊ดค่ะ เลยยังไม่คุยไม่อยากให้เค้ารู้สึกกลัวที่จะเล่าเรื่องอื่นให้ฟัง คุณยายบอกว่าเค้าบอกหลานแล้วว่าต่อไปมีอะไรให้บอก คือส่วนหนึ่งเราคิดว่า ลูกสาวมองว่าเป็นเรื่องน่าอาย มากกว่าเป็นเรื่องร้ายแรง แต่ในมุมของแม่เรารู้สึกแย่มากค่ะ เลยอยากถามความคิดเห็นว่าเราควรทำยังไงดีค่ะ ปล่อยเรื่องให้ผ่านไป ให้จบอย่างที่แม่เราบอก หรือเราพอที่จะทำอะไรได้บ้างค่ะ หากพ่อแม่คนไหน มีข้อเสนอแนะดีๆ รบกวนด้วยนะคะ ขอขอบคุณทุกความเห็นล่วงหน้าค่ะ