ญี่ปุ่นยกเว้นวีซ่าท่องเที่ยวให้คนไทยแล้ว จีนก็จะตามมาเดือนกันยา แล้วอเมริกากับยุโรปล่ะ รออะไรอยู่ (>_< )
ที่มา :
http://bk.asia-city.com/travel/article/thai-citizen-travel-visa-free-uk-us-france-japan Top Koaysomboon (2013)
กว่าเดือนแล้วที่รัฐบาลญี่ปุ่นผ่อนผันวีซ่าเข้าประเทศให้กับคนไทย เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กรกฏาคม พ.ศ.2556 คนไทยที่ไปเที่ยวญี่ปุ่นไม่เกิน 15 วัน ไม่จำเป็นต้องขอวีซ่า มาตรการนี้ยังใช้กับประเทศอื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งสิงคโปร์ มาเลเซีย และบรูไนอีกด้วย ในแต่ละปีนักท่องเที่ยวชาวไทยเป็น 1 ใน 6 สัญชาติที่ไปเที่ยวญี่ปุ่นมากที่สุด และศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังประมาณการว่ามาตรการนี้น่าจะมีผลกระตุ้นให้ยอดพุ่งขึ้นกว่า 50% จากนักท่องเที่ยว 200,000 คนในปี 2012 เป็น 300,000 คนในปี 2013 มาตรการนี้ยังช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวของญี่ปุ่นซึ่งซบเซาลงหลังจากเหตุสึนามิและแผ่นดินไหวครั้งใหญ่เมื่อปี 2011
แล้วประเทศอื่น ๆ ล่ะ จะตามรอยมาตรการนี้เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวกันรึเปล่านะ ????
(ยัง)ต้องขอวีซ่าจ้า
เรา (BK Magฯ) ได้คุยกับตัวแทนของสถานทูตอังกฤษ / สหรัฐอเมริกา และฝรั่งเศสในกรุงเทพ 3 ในประเทศที่มีคนไทยไปเที่ยวมากที่สุด.. น่าเศร้าที่ประเทศเหล่านี้ยังไม่มีแผนยกเว้นวีซ่าให้กับคนไทยในเร็ว ๆ นี้ สถานทูตทั้ง 3 แห่งยังเน้นว่าการขอวีซ่ายังเป็นสิ่งสำคัญในการคัดกรองคนเข้าประเทศ แต่ก็อธิบายว่าวิธีการขอวีซ่านั้นง่ายขึ้นเรื่อย ๆ โดยมีวิธีการขออย่างละเอียดบนเว็บไซต์ของแต่ละสถานทูต (รวมถึงบนช่อง YouTube ของสถานทูตสหรัฐด้วย ดูได้ท้ายบทความ)
คุณ Walter Braunohler โฆษกของสถานทูตอเมริกา ณ กรุงเทพ อธิบายว่าปัจจุบันนี้ขั้นตอนการขอวีซ่าไม่น่าจะนานกว่า 2 อาทิตย์ แม้จะต้องยื่นเอกสารมากมาย แต่คุณก็จะได้วีซ่าที่ใช้ได้กว่า 10 ปีเชียวนะ
ด้านสถานทูตอังกฤษ 56% ของคนขอ จะได้รับวีซ่าภายใน 5 วัน และ 99% จะได้รับภายใน 15 วันทำการ ทางสถานทูตอังกฤษเองก็กำลังหาทางปรับปรุงกระบวนการให้ทันต่อความต้องการขอวีว่าที่เพิ่มมากจึ้น จากตัวเลขของ The Times (June 2013) นสพ.รายวันของอังกฤษ ระบุว่ามีคนไทย 75,000 คนไปเที่ยวอังกฤษในปี 2012 แม้จำนวนจะน้อยกว่านักท่องเที่ยวจีน (179,000คน) “คนไทยช็อปกระจายที่ลันดั้นชนะขาดทุกชาติในโลก” ประมาณการว่านักท่องเที่ยวไทยใช้เงินประมาณ 762ปอนด์ (ประมาณ37,000บาท) ต่อคนต่อทริป ทำให้ไทยกลายเป็น “ตลาดต่อไปที่ต้องจับตา” และร้านรวงต่าง ๆ ก็เริ่มสอนข้อควรรู้ทางวัฒนธรรมและจ้างพนักงานที่พูดภาษาไทยได้ด้วย
ส่วนสถานทูตฝรั่งเศสนั้น ใช้เวลานานสุดในบรรดาสถานทูตทั้ง 3 แห่ง แล้วยังเป็นสถานทูตเดียวที่ถ้าหากผู้ขอไปพักบ้านใคร (ไม่ใช่โรงแรม) ยังจะต้องมีใบอนุญาตจากทางการประกอบ ซึ่งแค่ขั้นตอนการขอและส่งใบอนุญาตจากทางการนี้ ก็เพิ่มระยะเวลาเป็นเดือนเข้าไปในการขอวีซ่าแล้ว
พลาดตรงไหน?
คนมักจะบ่นว่าขั้นตอนการขอวีซ่านั้นใช้เวลาและยุ่งยากเกินไป ไหนจะเอกสารแล้วยังสัมภาษณ์อีก “คนไทยกว่า85% ที่มาขอวีซ่านี่ได้อนุมัตินะครับ” คุณBraunohler กล่าว
สำหรับสถานทูตอังกฤษ ปี 2012 %ผู้ได้วีซ่าอยู่ที่ 92% แต่ผู้ขอต้องอ่านให้ดีว่าเอกสารประกอบการยื่นมีอะไรบ้าง และเตรียมเอกสารให้ถูกต้องตามนั้น
ตัวแทนจากทั้ง 3 สถานทูตกล่าวตรงกันว่า ผู้ที่ถูกปฏิเสธวีซ่านั้นคือผู้ที่..
1. ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าคน ๆ นั้นมีเงินมากพอที่จะจ่ายค่าเที่ยวค่ากินอยู่ได้
2. ไม่สามารถแสดงหลักฐานที่มีน้ำหนักเพียงพอว่าจะกลับมาเมืองไทย
3. ใช้เอกสารปลอมในการขอ
เมื่อถามว่าอะไรสำคัญกว่ากันในการพิจารณาวีซ่า ทั้งสถานทูตอเมริกาและฝรั่งเศสเน้นว่าทั้งเอกสารและการสัมภาษณ์นั้น “มีน้ำหนักพอกัน” แต่สถานทูตอังกฤษนั้น “ไม่ค่อยจะสัมภาษณ์คนไทยที่ขอวีซ่าท่องเที่ยวหรือธุรกิจ” แต่ให้ความสำคัญกับใบคำร้องขอวีซ่าและเอกสารประกอบที่จะยืนยันว่าผู้ขอจะออกจากอังกฤษ(ซะ)หลังเที่ยวเสร็จ
เท่าไหร่ถึงจะพอ?
สิ่งหนึ่งที่คนมักกังวลเวลาไปเที่ยวเมืองนอกคือการแสดง Bank Statement แต่จริง ๆ แล้วอาจเป็นความกังวลที่เกินไปก็ได้ “มีตัง 2 บาทในบัญชีก็ยังได้วีซ่านะครับ” คุณBraunohler บอก “ตราบใดที่คุณพิสูจน์ได้ว่าคุณกลับมาเมืองไทยแน่นอน”
สถานทูตฝรั่งเศสไม่ได้ระบุตัวเลขที่แน่นอน แต่บอกว่า “หลัก ๆ มันขึ้นอยู่กับว่าผู้ขอจะไปอยู่ฝรั่งเศสนานแค่ไหน สิ่งที่สถานทูตฝรั่งเศสจะจับตาก็คือถ้าผู้ขอว๊ว่าไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าตัวเองมีเงินมากพอ (หรือมีรายได้เพียงพอ) ที่จะสามารถรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของตัวเองตลอดระยะเวลาที่อยู่ที่ฝรั่งเศสได้”
สำหรับสถานทูตอังกฤษก็ประมาณเดียวกัน ซึ่งเน้นว่าผู้ขอวีซ่าทุกคนจะต้องแสดงว่าเขา/เธอมีเงินเพียงพอที่จะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการเที่ยว และออกจากสหราชอาณาจักรเมื่อเที่ยวเสร็จ
แม้สถานทูตต่าง ๆ จะให้คำมั่นอย่างไร การขอวีซ่าก็ยังเป็นเรื่องไม่สนุก แพง และเสียเวลาอยู่ดี ถ้าขอช้าเกินไป หรือลืมเอกสารไปแค่อย่างเดียว อาจจะทำให้แผนการเที่ยวที่ใฝ่ฝันล่มลงได้ อย่างน้อยสถานทูตอเมริกาก็ทำให้กระบวนการที่แสนยุ่งยากนี้เป็นเรื่องที่นาน ๆ เจอที ขอบคุณที่มีวีซ่า 10 ปีให้นะ <3 แต่อังกฤษและประเทศกลุ่มเชงเก้นอย่างฝรั่งเศสก็ยังทำให้เราชาวไทยต้องกระ
กระสนผ่านการขอวีซ่าทุกรายครั้ง ทุกวันนี้เรามีหนังสือเดินทางอิเล็กทรอนิกส์และนักท่องเที่ยวไทยก็มีอิทธิพลมากขึ้น การจะมาเคลมว่าต้องสกรีนคนก็คงจะโบราณไปหน่อย ถ้าญี่ปุ่นยังไม่ต้องสกรีน และทำไมประเทศโลกที่หนึ่งอื่น ๆ ไม่ทำตามล่ะ
ค่าขอวีซ่า
USA, US$160
http://bangkok.usembassy.gov/visas.html และ
http://www.Youtube.com/USembassyBangkok
UK, 3,680บาท
http://www.ukba.homeoffice.gov.uk/countries/thailand
France, 2,419บาท
http://www.tlscontact.com/th2fr
*** แปลแบบเน้นใจความ ไม่เน้นตามอักษรเป๊ะ ***
จาก
http://bk.asia-city.com/travel/article/thai-citizen-travel-visa-free-uk-us-france-japan
อ่านวิธีการขอวีซ่าอเมริกาโดยคร่าวได้ที่
http://wan-nam.com/us-visa/ ค่ะ (^^ )
http://www.facebook.com/wannampantip
คนไทยเที่ยวได้ไม่ต้องใช้วีซ่า : ยุโรป กับอเมริกา จะเริ่มใช้มาตรการนี้เมื่อไหร่ มีคำตอบ
ที่มา : http://bk.asia-city.com/travel/article/thai-citizen-travel-visa-free-uk-us-france-japan Top Koaysomboon (2013)
กว่าเดือนแล้วที่รัฐบาลญี่ปุ่นผ่อนผันวีซ่าเข้าประเทศให้กับคนไทย เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กรกฏาคม พ.ศ.2556 คนไทยที่ไปเที่ยวญี่ปุ่นไม่เกิน 15 วัน ไม่จำเป็นต้องขอวีซ่า มาตรการนี้ยังใช้กับประเทศอื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งสิงคโปร์ มาเลเซีย และบรูไนอีกด้วย ในแต่ละปีนักท่องเที่ยวชาวไทยเป็น 1 ใน 6 สัญชาติที่ไปเที่ยวญี่ปุ่นมากที่สุด และศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังประมาณการว่ามาตรการนี้น่าจะมีผลกระตุ้นให้ยอดพุ่งขึ้นกว่า 50% จากนักท่องเที่ยว 200,000 คนในปี 2012 เป็น 300,000 คนในปี 2013 มาตรการนี้ยังช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวของญี่ปุ่นซึ่งซบเซาลงหลังจากเหตุสึนามิและแผ่นดินไหวครั้งใหญ่เมื่อปี 2011
แล้วประเทศอื่น ๆ ล่ะ จะตามรอยมาตรการนี้เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวกันรึเปล่านะ ????
(ยัง)ต้องขอวีซ่าจ้า
เรา (BK Magฯ) ได้คุยกับตัวแทนของสถานทูตอังกฤษ / สหรัฐอเมริกา และฝรั่งเศสในกรุงเทพ 3 ในประเทศที่มีคนไทยไปเที่ยวมากที่สุด.. น่าเศร้าที่ประเทศเหล่านี้ยังไม่มีแผนยกเว้นวีซ่าให้กับคนไทยในเร็ว ๆ นี้ สถานทูตทั้ง 3 แห่งยังเน้นว่าการขอวีซ่ายังเป็นสิ่งสำคัญในการคัดกรองคนเข้าประเทศ แต่ก็อธิบายว่าวิธีการขอวีซ่านั้นง่ายขึ้นเรื่อย ๆ โดยมีวิธีการขออย่างละเอียดบนเว็บไซต์ของแต่ละสถานทูต (รวมถึงบนช่อง YouTube ของสถานทูตสหรัฐด้วย ดูได้ท้ายบทความ)
คุณ Walter Braunohler โฆษกของสถานทูตอเมริกา ณ กรุงเทพ อธิบายว่าปัจจุบันนี้ขั้นตอนการขอวีซ่าไม่น่าจะนานกว่า 2 อาทิตย์ แม้จะต้องยื่นเอกสารมากมาย แต่คุณก็จะได้วีซ่าที่ใช้ได้กว่า 10 ปีเชียวนะ
ด้านสถานทูตอังกฤษ 56% ของคนขอ จะได้รับวีซ่าภายใน 5 วัน และ 99% จะได้รับภายใน 15 วันทำการ ทางสถานทูตอังกฤษเองก็กำลังหาทางปรับปรุงกระบวนการให้ทันต่อความต้องการขอวีว่าที่เพิ่มมากจึ้น จากตัวเลขของ The Times (June 2013) นสพ.รายวันของอังกฤษ ระบุว่ามีคนไทย 75,000 คนไปเที่ยวอังกฤษในปี 2012 แม้จำนวนจะน้อยกว่านักท่องเที่ยวจีน (179,000คน) “คนไทยช็อปกระจายที่ลันดั้นชนะขาดทุกชาติในโลก” ประมาณการว่านักท่องเที่ยวไทยใช้เงินประมาณ 762ปอนด์ (ประมาณ37,000บาท) ต่อคนต่อทริป ทำให้ไทยกลายเป็น “ตลาดต่อไปที่ต้องจับตา” และร้านรวงต่าง ๆ ก็เริ่มสอนข้อควรรู้ทางวัฒนธรรมและจ้างพนักงานที่พูดภาษาไทยได้ด้วย
ส่วนสถานทูตฝรั่งเศสนั้น ใช้เวลานานสุดในบรรดาสถานทูตทั้ง 3 แห่ง แล้วยังเป็นสถานทูตเดียวที่ถ้าหากผู้ขอไปพักบ้านใคร (ไม่ใช่โรงแรม) ยังจะต้องมีใบอนุญาตจากทางการประกอบ ซึ่งแค่ขั้นตอนการขอและส่งใบอนุญาตจากทางการนี้ ก็เพิ่มระยะเวลาเป็นเดือนเข้าไปในการขอวีซ่าแล้ว
พลาดตรงไหน?
คนมักจะบ่นว่าขั้นตอนการขอวีซ่านั้นใช้เวลาและยุ่งยากเกินไป ไหนจะเอกสารแล้วยังสัมภาษณ์อีก “คนไทยกว่า85% ที่มาขอวีซ่านี่ได้อนุมัตินะครับ” คุณBraunohler กล่าว
สำหรับสถานทูตอังกฤษ ปี 2012 %ผู้ได้วีซ่าอยู่ที่ 92% แต่ผู้ขอต้องอ่านให้ดีว่าเอกสารประกอบการยื่นมีอะไรบ้าง และเตรียมเอกสารให้ถูกต้องตามนั้น
ตัวแทนจากทั้ง 3 สถานทูตกล่าวตรงกันว่า ผู้ที่ถูกปฏิเสธวีซ่านั้นคือผู้ที่..
1. ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าคน ๆ นั้นมีเงินมากพอที่จะจ่ายค่าเที่ยวค่ากินอยู่ได้
2. ไม่สามารถแสดงหลักฐานที่มีน้ำหนักเพียงพอว่าจะกลับมาเมืองไทย
3. ใช้เอกสารปลอมในการขอ
เมื่อถามว่าอะไรสำคัญกว่ากันในการพิจารณาวีซ่า ทั้งสถานทูตอเมริกาและฝรั่งเศสเน้นว่าทั้งเอกสารและการสัมภาษณ์นั้น “มีน้ำหนักพอกัน” แต่สถานทูตอังกฤษนั้น “ไม่ค่อยจะสัมภาษณ์คนไทยที่ขอวีซ่าท่องเที่ยวหรือธุรกิจ” แต่ให้ความสำคัญกับใบคำร้องขอวีซ่าและเอกสารประกอบที่จะยืนยันว่าผู้ขอจะออกจากอังกฤษ(ซะ)หลังเที่ยวเสร็จ
เท่าไหร่ถึงจะพอ?
สิ่งหนึ่งที่คนมักกังวลเวลาไปเที่ยวเมืองนอกคือการแสดง Bank Statement แต่จริง ๆ แล้วอาจเป็นความกังวลที่เกินไปก็ได้ “มีตัง 2 บาทในบัญชีก็ยังได้วีซ่านะครับ” คุณBraunohler บอก “ตราบใดที่คุณพิสูจน์ได้ว่าคุณกลับมาเมืองไทยแน่นอน”
สถานทูตฝรั่งเศสไม่ได้ระบุตัวเลขที่แน่นอน แต่บอกว่า “หลัก ๆ มันขึ้นอยู่กับว่าผู้ขอจะไปอยู่ฝรั่งเศสนานแค่ไหน สิ่งที่สถานทูตฝรั่งเศสจะจับตาก็คือถ้าผู้ขอว๊ว่าไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าตัวเองมีเงินมากพอ (หรือมีรายได้เพียงพอ) ที่จะสามารถรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของตัวเองตลอดระยะเวลาที่อยู่ที่ฝรั่งเศสได้”
สำหรับสถานทูตอังกฤษก็ประมาณเดียวกัน ซึ่งเน้นว่าผู้ขอวีซ่าทุกคนจะต้องแสดงว่าเขา/เธอมีเงินเพียงพอที่จะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการเที่ยว และออกจากสหราชอาณาจักรเมื่อเที่ยวเสร็จ
แม้สถานทูตต่าง ๆ จะให้คำมั่นอย่างไร การขอวีซ่าก็ยังเป็นเรื่องไม่สนุก แพง และเสียเวลาอยู่ดี ถ้าขอช้าเกินไป หรือลืมเอกสารไปแค่อย่างเดียว อาจจะทำให้แผนการเที่ยวที่ใฝ่ฝันล่มลงได้ อย่างน้อยสถานทูตอเมริกาก็ทำให้กระบวนการที่แสนยุ่งยากนี้เป็นเรื่องที่นาน ๆ เจอที ขอบคุณที่มีวีซ่า 10 ปีให้นะ <3 แต่อังกฤษและประเทศกลุ่มเชงเก้นอย่างฝรั่งเศสก็ยังทำให้เราชาวไทยต้องกระกระสนผ่านการขอวีซ่าทุกรายครั้ง ทุกวันนี้เรามีหนังสือเดินทางอิเล็กทรอนิกส์และนักท่องเที่ยวไทยก็มีอิทธิพลมากขึ้น การจะมาเคลมว่าต้องสกรีนคนก็คงจะโบราณไปหน่อย ถ้าญี่ปุ่นยังไม่ต้องสกรีน และทำไมประเทศโลกที่หนึ่งอื่น ๆ ไม่ทำตามล่ะ
ค่าขอวีซ่า
USA, US$160 http://bangkok.usembassy.gov/visas.html และ http://www.Youtube.com/USembassyBangkok
UK, 3,680บาท http://www.ukba.homeoffice.gov.uk/countries/thailand
France, 2,419บาท http://www.tlscontact.com/th2fr
*** แปลแบบเน้นใจความ ไม่เน้นตามอักษรเป๊ะ ***
จาก http://bk.asia-city.com/travel/article/thai-citizen-travel-visa-free-uk-us-france-japan
อ่านวิธีการขอวีซ่าอเมริกาโดยคร่าวได้ที่ http://wan-nam.com/us-visa/ ค่ะ (^^ )
http://www.facebook.com/wannampantip