1.
แสงแดดยามดวงอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้าฉาบไล้ริ้วเมฆสีขาวสะอาดตาเมื่อกลางวันเป็นสีส้มเจือชมพู ก่อนความมืดจะคืบคลานเข้ามาแทนที่ และเปลี่ยนเมฆบนฟ้าเหล่านั้นให้กลายเป็นสีเทาในอีกไม่ช้า
ชายหนุ่มค่อยๆ ชะลอจังหวะของเพลงที่บรรเลงอยู่ให้ช้าลงจนกระทั่งแผ่วหายไปในที่สุด…
เสียงปรบมือที่ดังขึ้นจากทางด้านหลังทำให้คนที่เพิ่งลดคันชักจากเครื่องดนตรีซึ่งประทับอยู่บนบ่าสะดุ้งด้วยไม่คาดคิดว่าจะมีคนมายืนฟัง…
เขาหันกลับไปหาเจ้าของเสียง…เธอเป็นใครคนหนึ่งซึ่งเขาไม่เคยพบมาก่อน แต่ก็คุ้นตาอย่างประหลาด
"ขอโทษนะคะที่ทำให้ตกใจ…" เธอกล่าว
"ไม่เป็นไรครับ แค่ผมไม่คิดว่าจะมีคนมาฟังอยู่ด้วยเท่านั้นเอง"
"ฉันเสียมารยาทเองค่ะ… ฉันได้ยินเสียงไวโอลิน ก็ตามเสียงมาจนพบคุณเข้า ไม่นึกเลยว่าจะได้ฟังเพลงเพราะๆ อย่างนี้ คุณเล่นได้ดีมากๆ เลยค่ะ" หญิงสาวยิ้มให้ "คงจะเล่นมานานแล้วใช่ไหมคะ"
ท่าทีและน้ำเสียงของเธอบอกชัดว่าพูดออกมาจากใจจริง ไม่ได้แสร้งเอาใจคนแปลกหน้าอย่างเขา
"หลายปีแล้วละฮะ ขอบคุณนะครับที่ชม" เขายิ้มรับ ย่อตัวคุกเข่าลงข้างหนึ่ง เปิดกล่องในเครื่องดนตรีที่วางไว้บนสนามหญ้า ใต้โคนต้นสักใหญ่ หากต้องชะงักมือไปขณะที่จะเก็บไวโอลินเข้าที่
"จะว่าอะไรไหมคะ ถ้าฉันจะขอให้คุณเล่นเพลงให้ฟังสักเพลงหนึ่ง" เธอกล่าว
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาว
"คือ… ฉัน…"
ใบหน้าที่ยิ้มแย้มและเป็นมิตรเมื่อสนทนากับเขาสลดลงด้วยความผิดหวัง เมื่อเห็นเขาเงียบไปจนเหมือนกับคำขอของเธอทำให้เขาลำบากใจ
เขาลุกยืนขึ้นพร้อมกับไวโอลินและคันชักในมือ ประทับเครื่องสายสีเข้มเข้าระหว่างคางกับซอกไหล่
"ถ้าผมรู้จักนะครับ…"
หญิงสาวพยักหน้า ดวงตาที่เป็นประกายด้วยความดีใจมองเขาด้วยความขอบคุณ…
"ช่วยเล่นเพลง The Last Rose Of Summer ได้ไหมคะ…"
………………………………………………….
ชายหนุ่มจรดคันชักลงบนเส้นลวดที่ขึงพาดยาวไปตามตัวเครื่องดนตรีสีน้ำตาลเข้ม… ถ่ายทอดเสียงเครื่องสายใสกังวานของเพลงพื้นเมืองของไอร์แลนด์ด้วยทำนองหวานเจือเศร้า
'Tis last rose of summer
Left blooming alone;
All her lovely companions
Are faded and gone.
กุหลาบดอกสุดท้ายในคิมหันต์
แย้มกลีบอยู่ยามผองพันธุ์นั้นลับหาย
ต่างโรยรา… ร่วงหล่น… แล้วจากไป
ละทิ้งเจ้าให้เดียวดายเพียงลำพัง
หญิงสาวหลับตาลง ขยับริมฝีปากคล้ายร้องคลอตามเสียงดนตรีไปด้วย…
So soon may I follow
When friendships decay,
And from loves' shining circle
The gems drop away!
When true hearts lie withered
And fond ones are flown
Oh! who would inhabit
This bleak world alone?
ข้าจักตามเจ้าไปในวันหนึ่ง
ในวันซึ่งสายสัมพันธ์สะบั้นหาย
หากต้องร้างจากมวลมิตรสนิทใจ
จะอยู่ใยให้เปลี่ยวกายในโลกา…
เมื่อเพลงจบลง เธอยิ้มและกล่าวขอบคุณเขา หากในเวลาเดียวกันนั้นกลับมีหยาดน้ำใสๆ หยดรินลงมาตามแก้มเนียน จนเขาต้องวางไวโอลินในมือลงด้วยความตกใจ
"คุณ…!? "
-----------------------------------------------------------
2.
"คุณเล่นเพลงนี้ได้เหมือนกันคนที่ฉันรู้จัก… เหมือนมากเหลือเกิน" หญิงสาวกล่าวกับชายหนุ่มเมื่อเขาพาเธอมานั่งในร้านชาเล็กๆ ที่ตั้งบนถนนซึ่งตัดผ่านด้านหน้ามหาวิทยาลัย ดวงตาของเธอยังคงแดงช้ำจากการร้องไห้เมื่อครู่ใหญ่ที่ผ่านมา
"เขาเล่นไวโอลินหรือครับ"
เธอพยักหน้าแทนคำตอบ
"เขาชื่ออะไรครับ… เผื่อผมจะรู้จัก"
เธอเอ่ยชื่อชายคนหนึ่งออกมา
ชายหนุ่มนิ่งนึกไม่นานนัก "เขาเป็นพี่ชมรมผม… เขาเป็นคนสอนผมเอง"
"มิน่าล่ะ" เธอเอ่ยเหมือนกระซิบ
เขามองหญิงสาวตรงหน้า…
คนที่ถูกกล่าวถึงนั้นเสียชีวิตไปแล้วในอุบัติเหตุ ถึงวันนี้ เหตุการณ์ก็ผ่านมาเกือบปีแล้ว…
"ผมนึกออกแล้วว่าเขาชอบพูดถึงใครคนหนึ่งบ่อยๆ … เป็นคุณนี่เอง"
เธอเงยหน้าขึ้นมามองอีกฝ่ายหนึ่งทันที
"เขาพูดว่ายังไงคะ"
"เขาบอกว่าคุณชอบเพลง The Last Rose Of Summer มาก…"
………………………………………………………..
"ฉันเจอเขาครั้งแรกที่ร้านขายเทปค่ะ… ฉันเอื้อมไปหยิบเทปเพลงที่อยู่ชั้นบนสุดไม่ถึง ไม่รู้จะทำยังไง เห็นเขาเดินเข้ามาและอยู่ใกล้ที่สุด ก็เลยขอให้ช่วย ปรากฏว่าเขาเองก็กำลังมองหาเทปชุดเดียวกันอยู่พอดี"
คนเล่าเรื่องหัวเราะเบาๆ ให้กับความบังเอิญที่ทำให้เธอกับเขาได้พบกัน
"มีคนไม่มากนักหรอกค่ะ ที่ชอบเพลงพวก Celtic หรือ Irish Folk… เขาสนใจเพลงแนวนี้อยู่ ส่วนฉันชอบมานานแล้ว เพราะเคยได้ฟังเพลง ballad ในวิชาวรรณคดีอังกฤษบ่อยๆ เราก็เลยคุยกันได้ถูกคอ"
หญิงสาวโอบสองมือรอบถ้วยชากระเบื้องเคลือบ ร่องรอยของความทรงจำฉายชัดอยู่ในรอยยิ้มจางๆ และแววตาคู่สวยของเธอ…
นับแต่วันที่พบกันในร้านขายเทปแห่งนั้น เธอก็ไม่ได้พบหรือติดต่อเขากับอีก จนกระทั่งได้พบกันอีกครั้งที่มหาวิทยาลัยของเธอช่วงเปิดภาคฤดูร้อน… เธอเรียนคณะอักษรศาสตร์ที่นั่น ส่วนเขามาหาญาติซึ่งเป็นเพื่อนร่วมคณะของเธอนั่นเอง
บ่ายวันหนึ่ง ระหว่างรอลูกพี่ลูกน้องของเขาไปพบอาจารย์ เขานั่งสนทนากับเธออยู่ในสนามหญ้าถึงคราวแรกที่พบกันในร้านขายเทปเมื่อเธอไปเที่ยวหาเพื่อนที่มหาวิทยาลัยที่เขาเรียนอยู่ สิ่งที่ต่างคนต่างสนใจคล้ายๆ กัน และเป็นสิ่งที่ชักนำเธอกับเขาให้ได้รู้จักกัน
เขาเล่าว่า เดิมเขาเรียนดนตรีหลายประเภท แต่เริ่มหันมาเล่นไวโอลินอย่างจริงจังได้ไม่นาน แม้จะฟังเพลงมามากมาย แต่เขากลับพบว่าตนเองชอบเพลงพื้นเมืองไอริชที่สุด
เขารักเสียงของไวโอลินที่สร้างเสียงให้เห็นภาพของทุ่งหญ้าเขียวขจีและผืนทะเลล้อมรอบเกาะที่กว้างไกลออกไปสุดสายตา
เธอบอกว่าดนตรีไม่ได้เป็นเพียงภาพสะท้อนของผู้คนที่เป็นเจ้าของเท่านั้น หากเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของพวกเขาด้วย… เธอเคยอ่านพบว่าชาวเซลท์แต่โบราณมาเชื่อว่าโลกของเรานั้น แม้ถูกสร้างให้แต่ละส่วนมีความแตกต่างกัน แต่ทุกส่วนก็ได้รับการประสานรักษาไว้ด้วยกันในอ้อมกอดของท่วงทำนองดนตรีเดียวกันที่เรียกว่า Oran Mor… The Great Music เสียงเพลงจึงอยู่ในลมหายใจ และจิตวิญญาณของพวกเขา ไม่เคยเลือนลางจางหายไปตามกาลเวลา
เพราะเพลงคือชีวิต…
ในทำนองที่เรียบง่าย และบรรเลงซ้ำไปซ้ำมา มีเนื้อหาและเรื่องราวมากมายที่ถูกบอกเล่าผ่านโน้ตแต่ละตัว คำแค่ละคำที่ถ่ายทอดสู่คนฟัง… ใช่เพียงเพลงที่เพ้อพร่ำเพียงคำว่ารักและความผิดหวังในรักทั่วๆ ไป และใช่เพียงความบันเทิงที่คนฟังจะปล่อยผ่านไปอย่างง่ายดาย
รอยยิ้ม น้ำตา เสียงหัวเราะ เสียงร้องไห้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาล้วนเป็นท่วงทำนองของชีวิต บทเพลงบทหนึ่งของพวกเขาจึงเป็นบันทึกของความทรงจำที่ไม่เคยมีวันสูญหาย ตราบใดที่ยังมีคนจดจำและบรรเลงมันอยู่
สายลมฤดูร้อนพัดมาวูบหนึ่งทำให้ผมยาวของเธอปลิวกระจาย เมื่อยกมือขึ้นเสยผมให้เรียบร้อย เธอก็เงยหน้าขึ้นมาพบกับสายตาของคนที่นั่งฟังเธออยู่เงียบๆ
ดวงตาของเขาที่จับนิ่งอยู่ที่ใบหน้าของเธอทำให้เธอรู้สึกเหมือนหัวใจเต้นผิดจังหวะ
เธอเรียกชื่อเขา
เขาสะดุ้ง ยิ้มเขินๆ ให้ แล้วชวนเธอเปลี่ยนเรื่องคุย…
เขาถามว่าเธอชอบเพลงไหนมากที่สุด
เธอบอกเขาว่าเธอชอบเพลง The Last Rose Of Summer ที่สุด… โดยเฉพาะที่เล่นด้วยไวโอลิน
เขาสัญญาว่าถ้าเธอไปหาเขา เขาจะเล่นเพลงเพลงนี้ให้ฟัง…
………………………………………………………..
http://3.bp.blogspot.com/-oEq2_dHK2e8/URsN91O1YTI/AAAAAAAARXw/sWJJuLwvNNs/s400/roseofbengalmed.jpg
(มีต่อนะคะ)
The Last Rose of Summer
แสงแดดยามดวงอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้าฉาบไล้ริ้วเมฆสีขาวสะอาดตาเมื่อกลางวันเป็นสีส้มเจือชมพู ก่อนความมืดจะคืบคลานเข้ามาแทนที่ และเปลี่ยนเมฆบนฟ้าเหล่านั้นให้กลายเป็นสีเทาในอีกไม่ช้า
ชายหนุ่มค่อยๆ ชะลอจังหวะของเพลงที่บรรเลงอยู่ให้ช้าลงจนกระทั่งแผ่วหายไปในที่สุด…
เสียงปรบมือที่ดังขึ้นจากทางด้านหลังทำให้คนที่เพิ่งลดคันชักจากเครื่องดนตรีซึ่งประทับอยู่บนบ่าสะดุ้งด้วยไม่คาดคิดว่าจะมีคนมายืนฟัง…
เขาหันกลับไปหาเจ้าของเสียง…เธอเป็นใครคนหนึ่งซึ่งเขาไม่เคยพบมาก่อน แต่ก็คุ้นตาอย่างประหลาด
"ขอโทษนะคะที่ทำให้ตกใจ…" เธอกล่าว
"ไม่เป็นไรครับ แค่ผมไม่คิดว่าจะมีคนมาฟังอยู่ด้วยเท่านั้นเอง"
"ฉันเสียมารยาทเองค่ะ… ฉันได้ยินเสียงไวโอลิน ก็ตามเสียงมาจนพบคุณเข้า ไม่นึกเลยว่าจะได้ฟังเพลงเพราะๆ อย่างนี้ คุณเล่นได้ดีมากๆ เลยค่ะ" หญิงสาวยิ้มให้ "คงจะเล่นมานานแล้วใช่ไหมคะ"
ท่าทีและน้ำเสียงของเธอบอกชัดว่าพูดออกมาจากใจจริง ไม่ได้แสร้งเอาใจคนแปลกหน้าอย่างเขา
"หลายปีแล้วละฮะ ขอบคุณนะครับที่ชม" เขายิ้มรับ ย่อตัวคุกเข่าลงข้างหนึ่ง เปิดกล่องในเครื่องดนตรีที่วางไว้บนสนามหญ้า ใต้โคนต้นสักใหญ่ หากต้องชะงักมือไปขณะที่จะเก็บไวโอลินเข้าที่
"จะว่าอะไรไหมคะ ถ้าฉันจะขอให้คุณเล่นเพลงให้ฟังสักเพลงหนึ่ง" เธอกล่าว
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาว
"คือ… ฉัน…"
ใบหน้าที่ยิ้มแย้มและเป็นมิตรเมื่อสนทนากับเขาสลดลงด้วยความผิดหวัง เมื่อเห็นเขาเงียบไปจนเหมือนกับคำขอของเธอทำให้เขาลำบากใจ
เขาลุกยืนขึ้นพร้อมกับไวโอลินและคันชักในมือ ประทับเครื่องสายสีเข้มเข้าระหว่างคางกับซอกไหล่
"ถ้าผมรู้จักนะครับ…"
หญิงสาวพยักหน้า ดวงตาที่เป็นประกายด้วยความดีใจมองเขาด้วยความขอบคุณ…
"ช่วยเล่นเพลง The Last Rose Of Summer ได้ไหมคะ…"
………………………………………………….
ชายหนุ่มจรดคันชักลงบนเส้นลวดที่ขึงพาดยาวไปตามตัวเครื่องดนตรีสีน้ำตาลเข้ม… ถ่ายทอดเสียงเครื่องสายใสกังวานของเพลงพื้นเมืองของไอร์แลนด์ด้วยทำนองหวานเจือเศร้า
'Tis last rose of summer
Left blooming alone;
All her lovely companions
Are faded and gone.
กุหลาบดอกสุดท้ายในคิมหันต์
แย้มกลีบอยู่ยามผองพันธุ์นั้นลับหาย
ต่างโรยรา… ร่วงหล่น… แล้วจากไป
ละทิ้งเจ้าให้เดียวดายเพียงลำพัง
หญิงสาวหลับตาลง ขยับริมฝีปากคล้ายร้องคลอตามเสียงดนตรีไปด้วย…
So soon may I follow
When friendships decay,
And from loves' shining circle
The gems drop away!
When true hearts lie withered
And fond ones are flown
Oh! who would inhabit
This bleak world alone?
ข้าจักตามเจ้าไปในวันหนึ่ง
ในวันซึ่งสายสัมพันธ์สะบั้นหาย
หากต้องร้างจากมวลมิตรสนิทใจ
จะอยู่ใยให้เปลี่ยวกายในโลกา…
เมื่อเพลงจบลง เธอยิ้มและกล่าวขอบคุณเขา หากในเวลาเดียวกันนั้นกลับมีหยาดน้ำใสๆ หยดรินลงมาตามแก้มเนียน จนเขาต้องวางไวโอลินในมือลงด้วยความตกใจ
"คุณ…!? "
-----------------------------------------------------------
2.
"คุณเล่นเพลงนี้ได้เหมือนกันคนที่ฉันรู้จัก… เหมือนมากเหลือเกิน" หญิงสาวกล่าวกับชายหนุ่มเมื่อเขาพาเธอมานั่งในร้านชาเล็กๆ ที่ตั้งบนถนนซึ่งตัดผ่านด้านหน้ามหาวิทยาลัย ดวงตาของเธอยังคงแดงช้ำจากการร้องไห้เมื่อครู่ใหญ่ที่ผ่านมา
"เขาเล่นไวโอลินหรือครับ"
เธอพยักหน้าแทนคำตอบ
"เขาชื่ออะไรครับ… เผื่อผมจะรู้จัก"
เธอเอ่ยชื่อชายคนหนึ่งออกมา
ชายหนุ่มนิ่งนึกไม่นานนัก "เขาเป็นพี่ชมรมผม… เขาเป็นคนสอนผมเอง"
"มิน่าล่ะ" เธอเอ่ยเหมือนกระซิบ
เขามองหญิงสาวตรงหน้า…
คนที่ถูกกล่าวถึงนั้นเสียชีวิตไปแล้วในอุบัติเหตุ ถึงวันนี้ เหตุการณ์ก็ผ่านมาเกือบปีแล้ว…
"ผมนึกออกแล้วว่าเขาชอบพูดถึงใครคนหนึ่งบ่อยๆ … เป็นคุณนี่เอง"
เธอเงยหน้าขึ้นมามองอีกฝ่ายหนึ่งทันที
"เขาพูดว่ายังไงคะ"
"เขาบอกว่าคุณชอบเพลง The Last Rose Of Summer มาก…"
………………………………………………………..
"ฉันเจอเขาครั้งแรกที่ร้านขายเทปค่ะ… ฉันเอื้อมไปหยิบเทปเพลงที่อยู่ชั้นบนสุดไม่ถึง ไม่รู้จะทำยังไง เห็นเขาเดินเข้ามาและอยู่ใกล้ที่สุด ก็เลยขอให้ช่วย ปรากฏว่าเขาเองก็กำลังมองหาเทปชุดเดียวกันอยู่พอดี"
คนเล่าเรื่องหัวเราะเบาๆ ให้กับความบังเอิญที่ทำให้เธอกับเขาได้พบกัน
"มีคนไม่มากนักหรอกค่ะ ที่ชอบเพลงพวก Celtic หรือ Irish Folk… เขาสนใจเพลงแนวนี้อยู่ ส่วนฉันชอบมานานแล้ว เพราะเคยได้ฟังเพลง ballad ในวิชาวรรณคดีอังกฤษบ่อยๆ เราก็เลยคุยกันได้ถูกคอ"
หญิงสาวโอบสองมือรอบถ้วยชากระเบื้องเคลือบ ร่องรอยของความทรงจำฉายชัดอยู่ในรอยยิ้มจางๆ และแววตาคู่สวยของเธอ…
นับแต่วันที่พบกันในร้านขายเทปแห่งนั้น เธอก็ไม่ได้พบหรือติดต่อเขากับอีก จนกระทั่งได้พบกันอีกครั้งที่มหาวิทยาลัยของเธอช่วงเปิดภาคฤดูร้อน… เธอเรียนคณะอักษรศาสตร์ที่นั่น ส่วนเขามาหาญาติซึ่งเป็นเพื่อนร่วมคณะของเธอนั่นเอง
บ่ายวันหนึ่ง ระหว่างรอลูกพี่ลูกน้องของเขาไปพบอาจารย์ เขานั่งสนทนากับเธออยู่ในสนามหญ้าถึงคราวแรกที่พบกันในร้านขายเทปเมื่อเธอไปเที่ยวหาเพื่อนที่มหาวิทยาลัยที่เขาเรียนอยู่ สิ่งที่ต่างคนต่างสนใจคล้ายๆ กัน และเป็นสิ่งที่ชักนำเธอกับเขาให้ได้รู้จักกัน
เขาเล่าว่า เดิมเขาเรียนดนตรีหลายประเภท แต่เริ่มหันมาเล่นไวโอลินอย่างจริงจังได้ไม่นาน แม้จะฟังเพลงมามากมาย แต่เขากลับพบว่าตนเองชอบเพลงพื้นเมืองไอริชที่สุด
เขารักเสียงของไวโอลินที่สร้างเสียงให้เห็นภาพของทุ่งหญ้าเขียวขจีและผืนทะเลล้อมรอบเกาะที่กว้างไกลออกไปสุดสายตา
เธอบอกว่าดนตรีไม่ได้เป็นเพียงภาพสะท้อนของผู้คนที่เป็นเจ้าของเท่านั้น หากเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของพวกเขาด้วย… เธอเคยอ่านพบว่าชาวเซลท์แต่โบราณมาเชื่อว่าโลกของเรานั้น แม้ถูกสร้างให้แต่ละส่วนมีความแตกต่างกัน แต่ทุกส่วนก็ได้รับการประสานรักษาไว้ด้วยกันในอ้อมกอดของท่วงทำนองดนตรีเดียวกันที่เรียกว่า Oran Mor… The Great Music เสียงเพลงจึงอยู่ในลมหายใจ และจิตวิญญาณของพวกเขา ไม่เคยเลือนลางจางหายไปตามกาลเวลา
เพราะเพลงคือชีวิต…
ในทำนองที่เรียบง่าย และบรรเลงซ้ำไปซ้ำมา มีเนื้อหาและเรื่องราวมากมายที่ถูกบอกเล่าผ่านโน้ตแต่ละตัว คำแค่ละคำที่ถ่ายทอดสู่คนฟัง… ใช่เพียงเพลงที่เพ้อพร่ำเพียงคำว่ารักและความผิดหวังในรักทั่วๆ ไป และใช่เพียงความบันเทิงที่คนฟังจะปล่อยผ่านไปอย่างง่ายดาย
รอยยิ้ม น้ำตา เสียงหัวเราะ เสียงร้องไห้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาล้วนเป็นท่วงทำนองของชีวิต บทเพลงบทหนึ่งของพวกเขาจึงเป็นบันทึกของความทรงจำที่ไม่เคยมีวันสูญหาย ตราบใดที่ยังมีคนจดจำและบรรเลงมันอยู่
สายลมฤดูร้อนพัดมาวูบหนึ่งทำให้ผมยาวของเธอปลิวกระจาย เมื่อยกมือขึ้นเสยผมให้เรียบร้อย เธอก็เงยหน้าขึ้นมาพบกับสายตาของคนที่นั่งฟังเธออยู่เงียบๆ
ดวงตาของเขาที่จับนิ่งอยู่ที่ใบหน้าของเธอทำให้เธอรู้สึกเหมือนหัวใจเต้นผิดจังหวะ
เธอเรียกชื่อเขา
เขาสะดุ้ง ยิ้มเขินๆ ให้ แล้วชวนเธอเปลี่ยนเรื่องคุย…
เขาถามว่าเธอชอบเพลงไหนมากที่สุด
เธอบอกเขาว่าเธอชอบเพลง The Last Rose Of Summer ที่สุด… โดยเฉพาะที่เล่นด้วยไวโอลิน
เขาสัญญาว่าถ้าเธอไปหาเขา เขาจะเล่นเพลงเพลงนี้ให้ฟัง…
………………………………………………………..
http://3.bp.blogspot.com/-oEq2_dHK2e8/URsN91O1YTI/AAAAAAAARXw/sWJJuLwvNNs/s400/roseofbengalmed.jpg
(มีต่อนะคะ)