ขอเกริ่นนำก่อนซักเล็กน้อยน่ะค่ะ ดิฉันอายุ 34 ปี ทำธุรกิจส่วนตัวคือห้องปฏิบัติการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช(แลปต้นไม้ อะไรประมาณนั้นค่ะ) ทำมาได้ 3 ปี ก่อนหน้านี้อยู่บริษัททางด้านนี้มา 5 ปี ก้อมีบัตรเครดิตใช้ตามประสาคนทำงานออฟฟิต พอออกมาทำธุรกิจเองก็ยังใช้หมุนเวียนอยู่
เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า ดิฉันต้องการลงทุนเพิ่มกับธุรกิจที่ทำอยู่ เนื่องจากกำลังเติบโตจากยอดสั่งซื้อที่มีเข้ามาและสามารถติดต่องานกับบริษัทใหญ่ได้ ซึ่งธุรกิจของดิฉันเปรียบไปก็เป็นเหมือนธุรกิจขนาดย่อมSMEs แต่ไม่ได้จดทะเบียนพาณิชย์น่ะค่ะ เพราะตอนนั้นคิดว่าเรามีลูกค้าเฉพาะทางเลยไม่ได้ไปสนใจทะเบียนพาณิชย์อะไรนั่น และไม่ได้คิดจะกู้อะไรด้วย ธุรกิจมันก็ทำเงินของมันไปแบบพออยู่ได้ ไม่ได้ร่ำรวย มียอดซื้อประมาณเดือนละ 100,000 กว่าบาท หักค่าใช้จ่ายก็เหลือประมาณ 7-8หมื่นบาท (ซึ่งตรงนี้มีอีกประเด็นเกี่ยวกับการยื่นกู้แบงค์ด้วยค่ะ ไว้ค่อยมาเล่าให้ฟังน่ะค่ะ) อย่างที่บอกดิฉันก็ไม่ได้คิดจะยื่นกู้อะไรเพิ่ม ธุรกิจก็รับเงินสด รับมาก็จ่ายไปไม่ค่อยได้เดินบัญชี บางทีรับของมาก่อน ลูกค้าปลูกพืชสักพักก่อนแล้วถึงจ่ายเงินก็มี แต่มันเป็นเรื่องของธุรกิจทางนี้เราก็เข้าใจ มีบ้างที่โอนเงิน ทำให้การเดินบัญชีของดิฉันจะอยู่ที่ประมาณ 7-8 หมื่นบาทเป็นหลัก ใน 2 บัญชีธนาคารรวมกัน (มีเดือน 4 ที่แสดงในสมุดธนาคารน้อยสุดประมาณ 30,000 บาท เนื่องจากเป็นเดือนที่หยุดสงกรานต์ทางแลปปิดให้ลูกน้องกลับบ้าน ยอดขายจริงประมาณ 7-8 หมื่นบาท)
จากที่ร่ายมาก็มีเหตุให้ต้องกู้ธนาคาร เพื่อขยายกิจการอันเนื่องมาจากใบสั่งซื้อที่มียอดมากขึ้น จึงคิดที่จะนำทาวเฮาส์ของตัวเองซึ่งติดไฟแนนซ์กับแบงค์1 ไว้ 300,000 บาท (ราคาประเมินบ้านอยู่ที่ 1.2 ล้านในปี 2553) ไปรีไฟแนนซ์กับธนาคาร2 (ซึ่งส่วนตัวดิฉันมีบูโรอยู่ที่ประมาณเดือนละ 40,000 กว่าบาท และจ่ายดีมาตลอด) ผลปรากฎว่า ธนาคาร2 แจ้งกลับมาว่าดิฉันติบูโร เป็นประเภท B อะไรนี่หล่ะค่ะ รีไฟแนนซ์ไม่ได้ ดิฉันก็บอกว่าเป็นไปไม่ได้ไม่เพราะดิฉันจ่ายดีมาตลอด จึงไปยื่นขอตรวจบูโรเอง ผลบูโรมีทั้งหมด 16 บัญชี ปิดบ้างแล้วและมีใช้อยู่ด้วยรวมๆกัน มีสินเชื่อรถตัวนึงที่ตอนปลายปี 54 ประสบปัญหาน้ำท่วมทำให้ส่งไม่ได้ไป 1 เดือน (ทาวเฮาส์ที่อยู่นี่เป็นตัวแลปเลยค่ะ ตั้งอยู่แถวคลองรังสิต) ทางบริษัทเช่าซื้อรถจึงรีไฟแนนซ์ให้อัตโนมัติและปิดยอดในเดือนถัดมา จึงเป็นบัญชีที่ปิดไปแล้ว (แต่ในรายละเอียดต่อเดือนก็จะเป็น 12/2554 โค๊ด 1ค่ะ พอ 1/2555 ก็มียอด 0 บาทเลย) ส่วนตัวอื่นๆๆ ในรายละเอียดก็จะปกติ รหัส 0 0 0 0 (สถานะปกติ)ทุกเดือน ทุกบัญชี แต่มามีหัวด่างอยู่อันนึง พอมาเช็คดูมันเป็นบัตรเครดิตของแบงค์1 ค่ะ รายงานในแต่ละเดือน สถานะ 0 ปกติหมด แต่หัวบัญชี ขึ้น 40 -อยู่ระหว่างชำระสินเชื่อปิดบัญชี (ซึ่งแบงค์2 บอกว่าดํฉันติดบูโรตรงนี้หล่ะ) ดิฉันก็โทรหาแบงค์1 ทันที ว่าทำไมเป็นแบบนี้ แบงค์1ก็บอกว่าบัญชีดิฉันก็ปกตินี่ค่ะ ก็จ่ายทุกเดือน แต่บัตรใบนี้ทางคุณได้ทำการโทรมาอายัดไว้ อ้าว ถึงบางอ้อเลยค่ะ ก็บัตรมันหาย(ประมาณเดือน 7/2555) ดิฉันก็โทรอายัดบัตรไว้และไม่มีความประสงค์อยากได้บัตรใหม่เพราะอยากจ่ายให้หมดๆไปซะ ไม่ต้องออกบัตรใหม่มาน่ะค่ะ แล้วดิฉันก้อจ่ายทุกเดือนตามใบเรียกเก็บ ซึ่งดิฉันก็โวยกับธนาคาร(call center)ว่า แล้วทำไมดิฉันถึงติดรหัส 40 ทางแบงค์1 ก็บอกว่าไม่ทราบค่ะ ในข้อมูลเราบัญชีคุณก็สถานะปกติน่ะค่ะ ดิฉันจึงเอาเรื่องราวไปบอกแบงค์2 แบงค์2 บอกว่า บูโรมันขึ้นคุณยื่นไปก็ไม่ผ่าน ทางที่ดีคุณไปปิดใบนั้นซะแล้วมาดูกันอีกทีว่าเครดิตคุณจะกลับมาดีไหม เฮ้ยยยยย มันเป็นความผิดของดิฉันตรงไหน ไอ้เรื่องปิดอ่ะไม่มีปัญหาหรอกเพราะยอดมันก็เหลือแค่ 3,000 กว่าบาท แต่นี่ดิฉันติดบูโรเพราะแจ้งอายัดบัตรหายนี่น่ะ มันไม่ยุติธรรมเลยค่ะมันเสียเวลาด้วยเพราะดิฉันก็มีความจำเป็นที่ต้องใช้เงินระดับนึง เออ.. ลืมบอกไปค่ะว่ารีไฟแนนซ์รอบใหม่นี้ดิฉันยื่นไป 1 ล้านบาท
ไม่รู้จะทำยังไง ปรึกษาเพื่อนๆก็บอกว่าเปลี่ยนแบงค์เลย แบงค์2 มันไม่อยากได้เรา(เพื่อนเคยกู้จากธุรกิจและการเดินบัญชีและรีไฟแนนซ์ที่คล้ายๆกันค่ะ) แต่ดิฉันมันติดบูโรนี้อยู่มันจะผ่านไหมค่ะ ขอความเห็นเพื่อนๆและผู้รู้หน่อยค่ะ
ระวัง!!! อายัดบัตรเครดิต กับติดเครดิตบูโร
เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า ดิฉันต้องการลงทุนเพิ่มกับธุรกิจที่ทำอยู่ เนื่องจากกำลังเติบโตจากยอดสั่งซื้อที่มีเข้ามาและสามารถติดต่องานกับบริษัทใหญ่ได้ ซึ่งธุรกิจของดิฉันเปรียบไปก็เป็นเหมือนธุรกิจขนาดย่อมSMEs แต่ไม่ได้จดทะเบียนพาณิชย์น่ะค่ะ เพราะตอนนั้นคิดว่าเรามีลูกค้าเฉพาะทางเลยไม่ได้ไปสนใจทะเบียนพาณิชย์อะไรนั่น และไม่ได้คิดจะกู้อะไรด้วย ธุรกิจมันก็ทำเงินของมันไปแบบพออยู่ได้ ไม่ได้ร่ำรวย มียอดซื้อประมาณเดือนละ 100,000 กว่าบาท หักค่าใช้จ่ายก็เหลือประมาณ 7-8หมื่นบาท (ซึ่งตรงนี้มีอีกประเด็นเกี่ยวกับการยื่นกู้แบงค์ด้วยค่ะ ไว้ค่อยมาเล่าให้ฟังน่ะค่ะ) อย่างที่บอกดิฉันก็ไม่ได้คิดจะยื่นกู้อะไรเพิ่ม ธุรกิจก็รับเงินสด รับมาก็จ่ายไปไม่ค่อยได้เดินบัญชี บางทีรับของมาก่อน ลูกค้าปลูกพืชสักพักก่อนแล้วถึงจ่ายเงินก็มี แต่มันเป็นเรื่องของธุรกิจทางนี้เราก็เข้าใจ มีบ้างที่โอนเงิน ทำให้การเดินบัญชีของดิฉันจะอยู่ที่ประมาณ 7-8 หมื่นบาทเป็นหลัก ใน 2 บัญชีธนาคารรวมกัน (มีเดือน 4 ที่แสดงในสมุดธนาคารน้อยสุดประมาณ 30,000 บาท เนื่องจากเป็นเดือนที่หยุดสงกรานต์ทางแลปปิดให้ลูกน้องกลับบ้าน ยอดขายจริงประมาณ 7-8 หมื่นบาท)
จากที่ร่ายมาก็มีเหตุให้ต้องกู้ธนาคาร เพื่อขยายกิจการอันเนื่องมาจากใบสั่งซื้อที่มียอดมากขึ้น จึงคิดที่จะนำทาวเฮาส์ของตัวเองซึ่งติดไฟแนนซ์กับแบงค์1 ไว้ 300,000 บาท (ราคาประเมินบ้านอยู่ที่ 1.2 ล้านในปี 2553) ไปรีไฟแนนซ์กับธนาคาร2 (ซึ่งส่วนตัวดิฉันมีบูโรอยู่ที่ประมาณเดือนละ 40,000 กว่าบาท และจ่ายดีมาตลอด) ผลปรากฎว่า ธนาคาร2 แจ้งกลับมาว่าดิฉันติบูโร เป็นประเภท B อะไรนี่หล่ะค่ะ รีไฟแนนซ์ไม่ได้ ดิฉันก็บอกว่าเป็นไปไม่ได้ไม่เพราะดิฉันจ่ายดีมาตลอด จึงไปยื่นขอตรวจบูโรเอง ผลบูโรมีทั้งหมด 16 บัญชี ปิดบ้างแล้วและมีใช้อยู่ด้วยรวมๆกัน มีสินเชื่อรถตัวนึงที่ตอนปลายปี 54 ประสบปัญหาน้ำท่วมทำให้ส่งไม่ได้ไป 1 เดือน (ทาวเฮาส์ที่อยู่นี่เป็นตัวแลปเลยค่ะ ตั้งอยู่แถวคลองรังสิต) ทางบริษัทเช่าซื้อรถจึงรีไฟแนนซ์ให้อัตโนมัติและปิดยอดในเดือนถัดมา จึงเป็นบัญชีที่ปิดไปแล้ว (แต่ในรายละเอียดต่อเดือนก็จะเป็น 12/2554 โค๊ด 1ค่ะ พอ 1/2555 ก็มียอด 0 บาทเลย) ส่วนตัวอื่นๆๆ ในรายละเอียดก็จะปกติ รหัส 0 0 0 0 (สถานะปกติ)ทุกเดือน ทุกบัญชี แต่มามีหัวด่างอยู่อันนึง พอมาเช็คดูมันเป็นบัตรเครดิตของแบงค์1 ค่ะ รายงานในแต่ละเดือน สถานะ 0 ปกติหมด แต่หัวบัญชี ขึ้น 40 -อยู่ระหว่างชำระสินเชื่อปิดบัญชี (ซึ่งแบงค์2 บอกว่าดํฉันติดบูโรตรงนี้หล่ะ) ดิฉันก็โทรหาแบงค์1 ทันที ว่าทำไมเป็นแบบนี้ แบงค์1ก็บอกว่าบัญชีดิฉันก็ปกตินี่ค่ะ ก็จ่ายทุกเดือน แต่บัตรใบนี้ทางคุณได้ทำการโทรมาอายัดไว้ อ้าว ถึงบางอ้อเลยค่ะ ก็บัตรมันหาย(ประมาณเดือน 7/2555) ดิฉันก็โทรอายัดบัตรไว้และไม่มีความประสงค์อยากได้บัตรใหม่เพราะอยากจ่ายให้หมดๆไปซะ ไม่ต้องออกบัตรใหม่มาน่ะค่ะ แล้วดิฉันก้อจ่ายทุกเดือนตามใบเรียกเก็บ ซึ่งดิฉันก็โวยกับธนาคาร(call center)ว่า แล้วทำไมดิฉันถึงติดรหัส 40 ทางแบงค์1 ก็บอกว่าไม่ทราบค่ะ ในข้อมูลเราบัญชีคุณก็สถานะปกติน่ะค่ะ ดิฉันจึงเอาเรื่องราวไปบอกแบงค์2 แบงค์2 บอกว่า บูโรมันขึ้นคุณยื่นไปก็ไม่ผ่าน ทางที่ดีคุณไปปิดใบนั้นซะแล้วมาดูกันอีกทีว่าเครดิตคุณจะกลับมาดีไหม เฮ้ยยยยย มันเป็นความผิดของดิฉันตรงไหน ไอ้เรื่องปิดอ่ะไม่มีปัญหาหรอกเพราะยอดมันก็เหลือแค่ 3,000 กว่าบาท แต่นี่ดิฉันติดบูโรเพราะแจ้งอายัดบัตรหายนี่น่ะ มันไม่ยุติธรรมเลยค่ะมันเสียเวลาด้วยเพราะดิฉันก็มีความจำเป็นที่ต้องใช้เงินระดับนึง เออ.. ลืมบอกไปค่ะว่ารีไฟแนนซ์รอบใหม่นี้ดิฉันยื่นไป 1 ล้านบาท
ไม่รู้จะทำยังไง ปรึกษาเพื่อนๆก็บอกว่าเปลี่ยนแบงค์เลย แบงค์2 มันไม่อยากได้เรา(เพื่อนเคยกู้จากธุรกิจและการเดินบัญชีและรีไฟแนนซ์ที่คล้ายๆกันค่ะ) แต่ดิฉันมันติดบูโรนี้อยู่มันจะผ่านไหมค่ะ ขอความเห็นเพื่อนๆและผู้รู้หน่อยค่ะ