เห็นนักเทคนิคเก่งๆหลายท่านเขียนกันว่ากราฟ Week เริ่มดูไม่ดี ให้ระวังอาจเป็นขาลงและอันตราย ในฐานะที่ผมเองพอจะศึกษามาบ้างเล็กๆน้อยๆ เลยขอแชร์มุมมองบ้าง หรือหากมีนักเทคนิคท่านอื่นๆมาแชร์กันเพิ่มก็ได้ครับ ถูกผิดไม่ว่ากันครับ
โดยส่วนตัวแล้วผมค่อนข้างชอบกราฟ Week เพราะมีการให้สัญญาณที่ค่อนข้างชัดและถูกต้องกว่ากราฟ Day หรือ TF น้อยกว่านั้น การสร้างกราฟหลอกทำยาก หรือแทบจะไม่ได้เลย ขณะเดียวกันมันแสดงออกตัวมันเองของแท่งเทียนที่เป็น Pattern รวบยอดมาใน Form เดียวกันในรอบจันทร์ถึงศุกร์เหมือนกันหมดทุกแท่ง กล่าวคือเป็น TF เดียวไม่มีปัจจัยความแตกต่างในเรื่องห้วงเวลามาเป็นตัวแปร แตกต่างจาก Day ซึ่งแม้ว่าจะมองกันที่สิ้นวัน แต่ก็มีความแตกต่างในห้วงเวลาของแท่งเทียนนั้นมาเกี่ยวข้อง เช่นแท่งวันจันทร์ ในความจริงมันกลืนช่วงเวลาไปถึง 72 ชม. เนื่องจากมี เสาร์ อาทิตย์มาคั่น แต่กราฟ Week นั้น ทุกแท่งล้วนเสมอภาคกัน
คราวนี้ลองมาดูการสัญญาณการใช้ MACD ในกราฟ Week บ้างครับ ซึ่งหากดูแท่งล่าสุดจะพบว่า ค่า MACD ได้ติดลบลงมาเรียบร้อยแล้ว โดยความจริงมีการติดลบตั้งแต่แท่งก่อน (MACD ติดลบ ถือเป็นสัญญาณอันตรายในทางเทคนิค) กล่าวคือ MACD ลงมาที่ -0.5944 และ SET ปิดที่ 1420.94 ในวงกลมที่1 คราวนี้ถามว่าเราควรทำอย่างไรดี จับตาดูอย่างระมัดระวัง? ขายล้างพอร์ต? หรือควรจะดูมันทำต่อไป หากย้อนอดีตไปดูในช่วงเวลา 26 ปี ตั้งแต่ 2530 ถึงปัจจุบัน จะพบว่าหลายครั้งหลายหนที่ MACD ระดับ Week ลงมาติดลบ มักจะเกือบจะเป็น Bottom ของรอบนั้น หรือไม่ก็ยังมีทิศทางที่ลงมาอีกซัก 2-3 แท่ง แล้วมักจะ Rebound
โดยผมขอยกตัวอย่างในวงกลมที่ 2 เมื่อ MACD เริ่มติดลบเป็นแท่งแรก ดัชนีอยู่ที่ 958 และจากนั้นอีก 2 แท่งเทียนต่อมาเป็นแท่งเทียนที่ต่ำสุด คือดัชนีปิดที่ 909 แต่ลงไปต่ำสุดที่ 843 นั่นหมายความว่าตรงนี้กลับกลายเป็นจุดที่น่าซื้อที่สุด แต่หากอิงตามทฤษฎีจุดเข้าซื้อแรกคือ MACD ตัดเส้น Signal หรือเส้นค่าเฉลี่ยของมันเองแล้วจึงซื้อ แท่งเทียนแท่งแรกที่ควรเข้าซื้ออยู่ในกรอบ 1024-1051 ซึ่งก็ไม่ผิด เพราะดัชนียังสามารถขึ้นต่อมาได้อีก 600 จุด แต่หากดัชนีไม่ได้มีเทรนชัดเจน คือขึ้นหรือลงแบบต่อเนื่องยาวนาน การใช้สัญญาณ MACD จะให้คำตอบที่ผิดมากกว่า 60 % หรือในกรณีของ SET เอง หากย้อนไป 26 ปี การให้สัญญาณที่ผิดจะมากกว่าถูกค่อนข้างมาก ที่ถูกจริงๆก็คือสมัย ต้มยำกุ้ง และ วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ ที่นี้ถามว่าแล้วจะรู้ได้ยังไงว่าสัญญาณนี้เป็นขาลงแน่นอนชัดเจน ไม่ถูกหลอก ก็ขอให้ดูกราฟข้างล่างนี้ครับ
หากพิจารณาดูจะเห็นว่าสัญญาณขาลงที่อันตรายจะบอกโดยกราฟ Week และเป็นสัญาณอันตรายของจริง ไม่มีหลอกคือการนำอินดิเคเตอร์ตัวสำคัญอีกตัวมาใช้ร่วมกันนั่นคือ EMA200 ในระดับ Week โดยหาก MACD ที่ติดลบไปแล้วและมีการทำสัญญาณขายซ้ำเมื่อกราฟแท่งเทียนมีการตัดเส้นค่าเฉลี่ย 200 วันของตัวมันเองลงมา ในกรณีต้มยำกุ้งนั้น สัญญาณขายจริง เผาจริง บอกเมื่อดัชนีอยู่แถว 1167-1205 ซึ่งหากสัญญาณนี้เกิดแล้วท่านยังดื้อถือยาว ผลลัพธ์จะเป็นไปตามลูกศรครับ
หรือมาดูอีกกรณีหนึ่ง สมัยวิกฤติ Supprime หรือ แฮมเบอเกอร์ ก็มีอะไรคล้ายๆกัน กล่าวคือสัญญาณ MACD ถูกยืนยันด้วยสัญญาณขายของ EMA200 โดยยุคนี้เป็นยุคข้อมูลข่าวสารและรายย่อยเริ่มมีการใช้กราฟมาร่วมการซื้อขาย จะเห็นได้ชัดเลยว่า เมื่อแท่งเทียนที่ตัด EMA200 มุดหัวลง จะได้แท่งเทียนยาวลงทันที เพราะนักเทคนิคส่วนใหญ่จะทราบและไม่ยอมที่จะติดหุ้น จึงทำการเทขายทิ้งลงมา โดยแท่งนั้นดัชนีซื้อขายกันอยู่ระหว่าง 660-730 หลังจากนั้นก็มีทิศทางลงมาต่อเนื่องเช่นกัน
กล่าวโดยสรุป เราควรไม่ประมาทและระมัดระวังแต่ก็ไม่ควรตื่นตะหนกจนเกินเหตุ หรือเฝ้าพร้ำหาข่าวร้ายเมื่อล้างปอดไปแล้ว หรือแสวงหาข่าวดีเมื่อซื้อหุ้นเต็มปอด จากประสบการณ์ของผมที่เล่นหุ้นมาร่วม 10 ปี ทุกโอกาสมีวิกฤติ ขณะที่ทุกวิกฤติมีโอกาสของมัน หาให้เจอแล้วใช้มันให้คุ้มค่า หากเรายังอยากอยู่ตลาดไปนานๆ จงหาวิธีที่เล่นหุ้นแล้วมีความสุขหรือทุกข์น้อยที่สุด เหนื่อยน้อยที่สุด ไม่ใช่แสวงหากำไรสูงสุดแล้วท่านจะอยู่รอดปลอดภัยอย่างยั่งยืนครับ
กราฟ Week กับ MACD ซื้อ หรือ ขายดี
โดยส่วนตัวแล้วผมค่อนข้างชอบกราฟ Week เพราะมีการให้สัญญาณที่ค่อนข้างชัดและถูกต้องกว่ากราฟ Day หรือ TF น้อยกว่านั้น การสร้างกราฟหลอกทำยาก หรือแทบจะไม่ได้เลย ขณะเดียวกันมันแสดงออกตัวมันเองของแท่งเทียนที่เป็น Pattern รวบยอดมาใน Form เดียวกันในรอบจันทร์ถึงศุกร์เหมือนกันหมดทุกแท่ง กล่าวคือเป็น TF เดียวไม่มีปัจจัยความแตกต่างในเรื่องห้วงเวลามาเป็นตัวแปร แตกต่างจาก Day ซึ่งแม้ว่าจะมองกันที่สิ้นวัน แต่ก็มีความแตกต่างในห้วงเวลาของแท่งเทียนนั้นมาเกี่ยวข้อง เช่นแท่งวันจันทร์ ในความจริงมันกลืนช่วงเวลาไปถึง 72 ชม. เนื่องจากมี เสาร์ อาทิตย์มาคั่น แต่กราฟ Week นั้น ทุกแท่งล้วนเสมอภาคกัน
คราวนี้ลองมาดูการสัญญาณการใช้ MACD ในกราฟ Week บ้างครับ ซึ่งหากดูแท่งล่าสุดจะพบว่า ค่า MACD ได้ติดลบลงมาเรียบร้อยแล้ว โดยความจริงมีการติดลบตั้งแต่แท่งก่อน (MACD ติดลบ ถือเป็นสัญญาณอันตรายในทางเทคนิค) กล่าวคือ MACD ลงมาที่ -0.5944 และ SET ปิดที่ 1420.94 ในวงกลมที่1 คราวนี้ถามว่าเราควรทำอย่างไรดี จับตาดูอย่างระมัดระวัง? ขายล้างพอร์ต? หรือควรจะดูมันทำต่อไป หากย้อนอดีตไปดูในช่วงเวลา 26 ปี ตั้งแต่ 2530 ถึงปัจจุบัน จะพบว่าหลายครั้งหลายหนที่ MACD ระดับ Week ลงมาติดลบ มักจะเกือบจะเป็น Bottom ของรอบนั้น หรือไม่ก็ยังมีทิศทางที่ลงมาอีกซัก 2-3 แท่ง แล้วมักจะ Rebound
โดยผมขอยกตัวอย่างในวงกลมที่ 2 เมื่อ MACD เริ่มติดลบเป็นแท่งแรก ดัชนีอยู่ที่ 958 และจากนั้นอีก 2 แท่งเทียนต่อมาเป็นแท่งเทียนที่ต่ำสุด คือดัชนีปิดที่ 909 แต่ลงไปต่ำสุดที่ 843 นั่นหมายความว่าตรงนี้กลับกลายเป็นจุดที่น่าซื้อที่สุด แต่หากอิงตามทฤษฎีจุดเข้าซื้อแรกคือ MACD ตัดเส้น Signal หรือเส้นค่าเฉลี่ยของมันเองแล้วจึงซื้อ แท่งเทียนแท่งแรกที่ควรเข้าซื้ออยู่ในกรอบ 1024-1051 ซึ่งก็ไม่ผิด เพราะดัชนียังสามารถขึ้นต่อมาได้อีก 600 จุด แต่หากดัชนีไม่ได้มีเทรนชัดเจน คือขึ้นหรือลงแบบต่อเนื่องยาวนาน การใช้สัญญาณ MACD จะให้คำตอบที่ผิดมากกว่า 60 % หรือในกรณีของ SET เอง หากย้อนไป 26 ปี การให้สัญญาณที่ผิดจะมากกว่าถูกค่อนข้างมาก ที่ถูกจริงๆก็คือสมัย ต้มยำกุ้ง และ วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ ที่นี้ถามว่าแล้วจะรู้ได้ยังไงว่าสัญญาณนี้เป็นขาลงแน่นอนชัดเจน ไม่ถูกหลอก ก็ขอให้ดูกราฟข้างล่างนี้ครับ
หากพิจารณาดูจะเห็นว่าสัญญาณขาลงที่อันตรายจะบอกโดยกราฟ Week และเป็นสัญาณอันตรายของจริง ไม่มีหลอกคือการนำอินดิเคเตอร์ตัวสำคัญอีกตัวมาใช้ร่วมกันนั่นคือ EMA200 ในระดับ Week โดยหาก MACD ที่ติดลบไปแล้วและมีการทำสัญญาณขายซ้ำเมื่อกราฟแท่งเทียนมีการตัดเส้นค่าเฉลี่ย 200 วันของตัวมันเองลงมา ในกรณีต้มยำกุ้งนั้น สัญญาณขายจริง เผาจริง บอกเมื่อดัชนีอยู่แถว 1167-1205 ซึ่งหากสัญญาณนี้เกิดแล้วท่านยังดื้อถือยาว ผลลัพธ์จะเป็นไปตามลูกศรครับ
หรือมาดูอีกกรณีหนึ่ง สมัยวิกฤติ Supprime หรือ แฮมเบอเกอร์ ก็มีอะไรคล้ายๆกัน กล่าวคือสัญญาณ MACD ถูกยืนยันด้วยสัญญาณขายของ EMA200 โดยยุคนี้เป็นยุคข้อมูลข่าวสารและรายย่อยเริ่มมีการใช้กราฟมาร่วมการซื้อขาย จะเห็นได้ชัดเลยว่า เมื่อแท่งเทียนที่ตัด EMA200 มุดหัวลง จะได้แท่งเทียนยาวลงทันที เพราะนักเทคนิคส่วนใหญ่จะทราบและไม่ยอมที่จะติดหุ้น จึงทำการเทขายทิ้งลงมา โดยแท่งนั้นดัชนีซื้อขายกันอยู่ระหว่าง 660-730 หลังจากนั้นก็มีทิศทางลงมาต่อเนื่องเช่นกัน
กล่าวโดยสรุป เราควรไม่ประมาทและระมัดระวังแต่ก็ไม่ควรตื่นตะหนกจนเกินเหตุ หรือเฝ้าพร้ำหาข่าวร้ายเมื่อล้างปอดไปแล้ว หรือแสวงหาข่าวดีเมื่อซื้อหุ้นเต็มปอด จากประสบการณ์ของผมที่เล่นหุ้นมาร่วม 10 ปี ทุกโอกาสมีวิกฤติ ขณะที่ทุกวิกฤติมีโอกาสของมัน หาให้เจอแล้วใช้มันให้คุ้มค่า หากเรายังอยากอยู่ตลาดไปนานๆ จงหาวิธีที่เล่นหุ้นแล้วมีความสุขหรือทุกข์น้อยที่สุด เหนื่อยน้อยที่สุด ไม่ใช่แสวงหากำไรสูงสุดแล้วท่านจะอยู่รอดปลอดภัยอย่างยั่งยืนครับ