แวะมาทักทาย เพราะว่างจากงาน เข้ากทม. เยี่ยมคุณนายแม่อีกแล้วครับ
เนื่องจากออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง และงานก็เครียด จึงออกกำลังมากขึ้นกว่าต่อเนื่อง
แต่ดันไม่ผอมลงเลย เพราะก็กินอย่างต่อเนื่อง
หมีน้อยร่างท้วม จึงขยายข้างได้อีก แต่เป็นทางไหล่ อก และสะโพก
จากหมีพูห์ตัวน้อยน่ากอด ณ บัดดลนี้ ลูกชายคุณนายแม่ จึงกลายเป็นหมีฟวายตัวย่อมๆ
ทีนี้ ปกติ สมัยผมยังไม่รูปร่างเหมือนคนคุมบ่อนระดับอินเตอร์เนชันแนล (เขมร) มีแต่คนทักว่า น้องนี่หน้าตาใจดีนะ
เสียงผมอ่อนๆ เรียบร้อย ยังไงก็อย่างนั้นละครับ
คนทำอาชีพเสริมเป็นครู จะไม่มีเสียงอ่อนเนิบนาบเรียบเรื่อยให้เด็กหลับ มันจะผิดค็อนเซ็ป
เวลาเดินสยาม บรรดาผู้ยากไร้จะตามติดเพื่อขายพวงมาลัยวันแม่ สติกเกอร์เพื่อการศึกษา หรือขอเงินเฉยๆ
แม้คนแน่นแค่ไหน จะสป็อตผมก่อนจากฝูงชน ตรงรี่เข้ามาทีเดียวสามสี่รายพร้อมกัน อันนี้เรื่องปกติ
กิ๊กเก่าผมที่เลิกกันไปนานแล้วสรุปให้สั้นๆ
ติ๋ม
...
แต่เรื่องก็เกิด เพราะผมควงคุณนายแม่ไปซื้อของที่ห้างวันลดกระหน่ำซัมเมอร์เซล
เพราะตื่นสาย เลยไม่ได้โกนหนวดเครา ปล่อยมันครึ้มๆ เขียวๆ บนผิวแดงๆ นั่นละ
เราก็แบกตะกร้าช็อปปิ้ง ยืนต่อแถวยาว
พอจะถึงตัวปุ๊บ ผมก้มหน้าคุยกับแม่
พี่คนนึงตัวสูงๆ ก้าวขายาวๆ มาจากไหนไม่รู้ แทรกแถวคุณนายที่ตัวกระจิ๊ดเดียวมาทันที ในมือพี่มียาแก้ปวดสองห่อกับผ้าปิดแผล
ก็ของน้อยนะ แต่ก็ด้วยปฏิกริยาอัตโนมัติ พอมีคนค้ำหัวผมก็เอาตัวบังคุณนาย เงยหน้าขึ้นไป
มองของในมือเค้า
แล้วเหลือบไปสานสบตาพี่เค้าด้วยสายตาธรรมด๊า ธรรมดา เหมือนเราสบตาน้องคนขายดอกป๊อบปี้วันทหารผ่านศึก
...ชิ้ง...
พี่แกทำตาโต มองหน้าผม ทำท่าเหมือนมือกระตุก ยาแก้ปวดจะร่วง
ในชั่วมิลลิวินาทีนั้น แกกะพริบตาเหมือนจะรวบรวมความกล้าหาญ ก่อนจะฉีกยิ้มแห้งๆ ให้ แล้วบอกว่า
"ขอพี่ก่อนนะน้อง"
ผมหันไปมองแถว ซึ่งก็ยาวเหยียดแล้ว
มองของในมือพี่เค้า ซึ่งก็เป็นอุปกรณ์ปฐมพยาบาล ก็เดาว่า หรือพี่เค้าจะต้องรีบใช้ มีใครเป็นอะไรรึเปล่า
ว่าแล้วก็คงต้องถามเหตุผล ผมก็เลยหันหาพี่เค้าเต็มตัว สบตาที่ชักจะเหลือกๆ ด้วยสายตาบ้องแบ๊วสามัญประจำตัว แล้วถาม
"ทำไมล่ะครับพี่"
กำลังคิดว่าถ้าพี่เค้าบอกว่าน้องเค้าหกล้ม ญาติเค้าสะดุดรถเข็น เราจะปล่อยให้เค้าแซง
พี่ตัวสูงแกหลบตาวูบ แล้วเดินไหล่ห่อๆ เจี๋ยมเจี้ยมไปต่อแถวแต่โดยดี เฉยเลย
ซึ่งเรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดมาก่อนเลยตอนที่อยู่ กทม. แบบติ๋มน้อยตัวกลม โกนหนวดเกลี้ยงๆ
ก็เริ่มเข้าใจว่า อาจมีส่วนเพราะความเป็นหมีฟวายของเรานี่เอง
ทำให้การมองและถามอย่างไร้เดียงสา
กลายเป็นเช่นนี้...
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เรากำลังจะซื้อของ นิดเดียวเอง ปิดแผลที่นิ้วที่โดนมีดบาดต้องเปลี่ยนพลาสเตอร์
แต่แถวยาว เรารีบมากเพราะจะกลับบ้าน กลัวรถติด
มีน้องตัวอ้วนๆ ยืนกับแม่ที่หัวแถว ถือตะกร้า ของต้องเยอะแน่เลย ว่าแล้วเราก็วิ่งไปดีกว่า
เราเดินไปใกล้ๆ จะถึงอยู่แล้ว น้องเค้ามองขึ้นมา
ไม่สิ ไม่ใช่น้อง
มัน... ตัวเตี้ย แต่งตัวด้วยเสื้อยืดกางเกงขาสั้นไม่ต่างจากเด็กน้อย
แต่ถึงจะมากับแม่ก็ไม่สามารถกำจัดรังสีพิฆาตของมันได้ในระยะใกล้
มันเงยหน้าหนวดเครารกเรื้อของมันขึ้นมา ดวงตาดุดันของมันตวัดมองเราด้วยสายตาเจ้มจ้นราวกับฆาตกรหั่นศพ
ไหล่ของมันหนา ช่วงตัวชวนให้นึกถึงกรรมกรรมแบกข้าวสาร ยิ่งเมื่อมันดึงแม่ไปไว้ข้างหลัง ชวนให้เห็นลำแขนโตที่มีเส้นเลือดปูดโปน
เราต้องใจดีสู้เสือ ยิ้มหวานให้ และขอแทรกแถว มันต้องเห็นใจเราสิเพราะเรารีบ แถวก็ยาวมากด้วย
เราซื้อนิดเดียวทำไมต้องรอแถวนานๆ ด้วย ไม่ยุติธรรมเลย
มันตวัดตามองแถว ยังกับเราไม่รู้ว่าแถวยาว แล้วก็มองเราหัวจรดเท้าเหมือนสัตว์ผู้ล่าหยั่งเชิงเหยื่อ
"ทำไมล่ะครับพี่"
เสียงของมันเรียบ นุ่มนวล และ เบา ชวนให้นึกถึงเสียงมือสังหารในหนังเจ้าพ่อ
เอ... เป็นไปได้นะ คุณนายคนจีนคนสวยท่าทางรวยทำไมมากับผู้ชายตัวหนาๆ ท่าทางกักขฬะได้
เราว่าพวกมันต้องเป็นคุณนายหัวหน้าแก๊งมาเฟียกับบอดี้การ์ดแน่ๆ เลย
ว่าแล้วเราก็ไปต่อแถวดีกว่า เสียเวลามามาก เสียอารมณ์ด้วย
คนสมัยนี้ช่างไร้น้ำใจจริงๆ เล้ย เฮ้อออ
ปล. ผมว่าพี่เค้าก็ไม่ได้คิดอย่างนั้นจริงๆ หรอกครับ แค่เดาเอาฮาเท่านั้น
อ่านให้สนุกนะครับ
ฟิ้วววววว
เมื่อตัวใหญ่ขึ้น รังสีความน่ากลัวก็มีมากขึ้นโดยอัตโนมัติ (กระทู้เล่าเรื่องเรื่อยเปื่อย)
เนื่องจากออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง และงานก็เครียด จึงออกกำลังมากขึ้นกว่าต่อเนื่อง
แต่ดันไม่ผอมลงเลย เพราะก็กินอย่างต่อเนื่อง
หมีน้อยร่างท้วม จึงขยายข้างได้อีก แต่เป็นทางไหล่ อก และสะโพก
จากหมีพูห์ตัวน้อยน่ากอด ณ บัดดลนี้ ลูกชายคุณนายแม่ จึงกลายเป็นหมีฟวายตัวย่อมๆ
ทีนี้ ปกติ สมัยผมยังไม่รูปร่างเหมือนคนคุมบ่อนระดับอินเตอร์เนชันแนล (เขมร) มีแต่คนทักว่า น้องนี่หน้าตาใจดีนะ
เสียงผมอ่อนๆ เรียบร้อย ยังไงก็อย่างนั้นละครับ
คนทำอาชีพเสริมเป็นครู จะไม่มีเสียงอ่อนเนิบนาบเรียบเรื่อยให้เด็กหลับ มันจะผิดค็อนเซ็ป
เวลาเดินสยาม บรรดาผู้ยากไร้จะตามติดเพื่อขายพวงมาลัยวันแม่ สติกเกอร์เพื่อการศึกษา หรือขอเงินเฉยๆ
แม้คนแน่นแค่ไหน จะสป็อตผมก่อนจากฝูงชน ตรงรี่เข้ามาทีเดียวสามสี่รายพร้อมกัน อันนี้เรื่องปกติ
กิ๊กเก่าผมที่เลิกกันไปนานแล้วสรุปให้สั้นๆ
ติ๋ม
...
แต่เรื่องก็เกิด เพราะผมควงคุณนายแม่ไปซื้อของที่ห้างวันลดกระหน่ำซัมเมอร์เซล
เพราะตื่นสาย เลยไม่ได้โกนหนวดเครา ปล่อยมันครึ้มๆ เขียวๆ บนผิวแดงๆ นั่นละ
เราก็แบกตะกร้าช็อปปิ้ง ยืนต่อแถวยาว
พอจะถึงตัวปุ๊บ ผมก้มหน้าคุยกับแม่
พี่คนนึงตัวสูงๆ ก้าวขายาวๆ มาจากไหนไม่รู้ แทรกแถวคุณนายที่ตัวกระจิ๊ดเดียวมาทันที ในมือพี่มียาแก้ปวดสองห่อกับผ้าปิดแผล
ก็ของน้อยนะ แต่ก็ด้วยปฏิกริยาอัตโนมัติ พอมีคนค้ำหัวผมก็เอาตัวบังคุณนาย เงยหน้าขึ้นไป
มองของในมือเค้า
แล้วเหลือบไปสานสบตาพี่เค้าด้วยสายตาธรรมด๊า ธรรมดา เหมือนเราสบตาน้องคนขายดอกป๊อบปี้วันทหารผ่านศึก
...ชิ้ง...
พี่แกทำตาโต มองหน้าผม ทำท่าเหมือนมือกระตุก ยาแก้ปวดจะร่วง
ในชั่วมิลลิวินาทีนั้น แกกะพริบตาเหมือนจะรวบรวมความกล้าหาญ ก่อนจะฉีกยิ้มแห้งๆ ให้ แล้วบอกว่า
"ขอพี่ก่อนนะน้อง"
ผมหันไปมองแถว ซึ่งก็ยาวเหยียดแล้ว
มองของในมือพี่เค้า ซึ่งก็เป็นอุปกรณ์ปฐมพยาบาล ก็เดาว่า หรือพี่เค้าจะต้องรีบใช้ มีใครเป็นอะไรรึเปล่า
ว่าแล้วก็คงต้องถามเหตุผล ผมก็เลยหันหาพี่เค้าเต็มตัว สบตาที่ชักจะเหลือกๆ ด้วยสายตาบ้องแบ๊วสามัญประจำตัว แล้วถาม
"ทำไมล่ะครับพี่"
กำลังคิดว่าถ้าพี่เค้าบอกว่าน้องเค้าหกล้ม ญาติเค้าสะดุดรถเข็น เราจะปล่อยให้เค้าแซง
พี่ตัวสูงแกหลบตาวูบ แล้วเดินไหล่ห่อๆ เจี๋ยมเจี้ยมไปต่อแถวแต่โดยดี เฉยเลย
ซึ่งเรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดมาก่อนเลยตอนที่อยู่ กทม. แบบติ๋มน้อยตัวกลม โกนหนวดเกลี้ยงๆ
ก็เริ่มเข้าใจว่า อาจมีส่วนเพราะความเป็นหมีฟวายของเรานี่เอง
ทำให้การมองและถามอย่างไร้เดียงสา
กลายเป็นเช่นนี้...
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ปล. ผมว่าพี่เค้าก็ไม่ได้คิดอย่างนั้นจริงๆ หรอกครับ แค่เดาเอาฮาเท่านั้น
อ่านให้สนุกนะครับ
ฟิ้วววววว