สมัยที่ออกเทปกับแกรมมี่ เราชอบนาวิน ต้าร์ ค่อนข้างมากค่ะ แต่ตอนหลังรู้สึกเขาแสดงด้านมืดเยอะไปหน่อย
หรือจริงๆตัวตนเขาเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วก็ไม่ทราบ ยิ่งกรณี ได๋ ไดอาน่า ที่ตอกหน้าผู้หญิงว่าโอกาสที่จะคบกันเป็นศูนย์
ซึ่งครั้งนึง เราเคยเป็นแฟนคลับเขา ก็จะทราบว่าเขาคบกันตั้งแต่อยู่อเมริกา ช่วงที่ฝ่ายชาย ฝ่ายหญิง ไปเรียนต่อพอดี บวกกับช่วงคบกับพลอย เฌอมาลย์ รู้สึก Egoเขาจัดเกินไป เราเลยยิ่งรู้สึกชอบเขาน้อยลงเรื่อยๆ
จริงๆเขาเป็นไอดอลในด้านการเรียนของเรานะคะ เคยอ่านพ็อกเก็ตบุ๊คที่ นพ.วิโรจน์ เยาวพลกุล (พ่อของนาวิน ต้าร์) เขียนไว้
ทราบว่าตอนเด็กเกเรมาก เคยไล่วิ่งเอาสเปรย์ฉีดผมไปฉีดเพื่อน แต่พลาดไปฉีดเข้าตาเพื่อนผู้หญิงที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่จนเพื่อนหวิดตาบอด
รู้สึกจะเคยถึงขั้นเอาน้ำในสเปรย์ฉีดผมออก แล้วใส่ปัสสาวะเข้าไปแทนเพื่อแกล้งเพื่อน
ช่วงมัธยม ใบเกรดมีแต่ 0 กับ 4 เท่านั้น ไม่เคยมีเกรด 1 2 3 มาแซมเลย คือวิชาไหนที่สนใจจะได้ 4 วิชาที่ไม่ชอบ จะได้ 0
บวกกับเกเรมากจนถูกไล่ออกจากทั้ง สาธิต ปทุมวัน และ สาธิต มศว ทำให้ตัดสินใจมาเรียนมามุงกศน. จนเข้า ม.เกษตร คณะเศรษฐศาสตร์ และจบด้วยเกียรตินิยมอันดับ1 เหรียญทอง พอจบก็ชิงทุน King ต่อทั้ง ป.โท ป.เอก เราเป็นพวกปลื้มคนเก่งอยู่แล้ว ยิ่งปลื้มเข้าไปใหญ่
แต่ก็นั่นแหละค่ะ อย่างที่บอกว่าช่วงหลังรู้สึกไม่ค่อยดีกับนาวิน ต้าร์ เท่าไหร่ เลยไม่คิดจะสนใจอีกเลย
พอดีเมื่อคืนมีโอกาสได้เปิดดู ที่นี่หมอชิต ค่ะ แขกรับเชิญหลักคือ นาวิน ต้าร์ เล่าว่า ช่วงที่เขาทำ ป.เอก ที่อเมริกา
เขารวบรวมข้อมูล ใช้เวลา 2ปี แต่สุดท้าย ก็วนกลับมาที่เดิม ตัวเขารู้สึกว่า เวลา2ปีที่เสียไป มันสูญเปล่ามาก มันไม่ได้อะไรเลย
Thesis ที่ทำก็ไม่ได้เพิ่มพูนขึ้นเลย
ตอนนั้นไม่มีกะจิตกะใจจะคบค้าสมาคมกับใคร ไม่ออกกำลังกาย ไม่สุงสิงกับผู้คน ตอนนั้นน้ำหนักพุ่งขึ้นไปถึง 98 กิโลฯ
ตัวเองมีหน้าที่เป็น TA (Teaching assistant) ก็เตรียมสอน ไปสอน แล้วกลับเข้าห้อง จะออกจากบ้านก็เฉพาะตอนไปกินข้าวเท่านั้น
ปิดการติดต่อสื่อสารกับผู้คนและคนที่อยู่เมืองไทย (จำตัวเลขแม่นๆไม่ได้ ระหว่าง 3 หรือ 6เดือน) เพราะเบื่อที่จะต้องพูดถึงหัวข้อ Thesis
ของตัวเองว่า มันไปไม่ถึงไหน
นาวิน ต้าร์ บอกว่ามันคงเป็นอาการคล้ายๆคนเป็น Depression หรือโรคซึมเศร้า แล้วช่วงนั้นเครียดมากถึงขั้นไส้ติ่งอักเสบรอบ 2
คือก่อนหน้าเคยอักเสบไปแล้วและผ่าตัดไปแล้ว ต่อมาเครียดอีก ไส้ติ่งเลยอักเสบอีกรอบ ทีนี้แผลมันหายช้า เพราะเอาแต่นอนจมอยู่บนเตียงและเครียดเรื่องThesis
จนวันนึง พ่อและน้องชายบินมาเคาะประตูบ้านถึงอเมริกา ตามที่บอกไปข้างต้นว่า เขาปิดการสื่อสาร จนที่บ้านเป็นห่วง
พ่อมาฉุดลงจากเตียง ถึงได้เข้าใจว่า ถึงเราไม่มีใคร ท้ายสุด เราก็ยังมีครอบครัว
นาวิน ต้าร์ เลยตัดสินใจคุยกับ Professor ว่าจะขอมาเก็บข้อมูลที่ไทย 1ปี จริงๆก็มาเปลี่ยนบรรยากาศไปด้วย มาพักฟื้นด้วย
ชอบที่คุณดู๋ สัญญา ถามว่า คิดจะเป็นอาจารย์อย่างนี้ไปอีกกี่ปี นาวิน ต้าร์ ตอบว่า คงจะเป็นอาจารย์ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเกษียณ
พอดีกับที่ คุณดู๋ สัญญา พูดถึงเรื่องที่เคยสัมภาษณ์นาวิน ต้าร์ ก่อนไปเรียนต่อ เมื่อ 10ปีก่อน ว่า "กลับมาอยากทำอะไร" เขาก็ตอบว่า
"อยากกลับมาเป็นอาจารย์" กอปรกับมันเป็นไปตามแผนที่วางไว้ ป.ตรี-ป.เอก เขามุ่งเรียนมาทางด้านเศรษฐศาสตร์ด้านเดียว เลยอยากจะใช้ความรู้ให้เป็นประโยชน์ ( * ทุนอานันทมหิดล ทุนไม่มีข้อผูกมัดว่าจะต้องกลับมารับราชการ หรือ ต้องกลับมาทำงานให้กับประเทศไทย)
ส่วนตัว ไม่มีคนรู้จักที่เคยเรียนกับนาวิน ต้าร์ เลยไม่ทราบว่าบทบาทการเป็นอาจารย์ของเขาเป็นอย่างไร แต่เขาพูดถึงตัวเองในบทบาทการเป็นอาจารย์ว่า ตัวเองเป็นอาจารย์ที่ค่อนข้างดุ ที่ดุเพราะอยากให้นักศึกษาได้ประโยชน์ เขารู้ว่าศักยภาพของเด็กยังไปได้อีก แต่ที่ไม่ถึง เพราะไม่ทำ
อันนี้ถูกใจเป็นพิเศษตอนเขาถึงเรื่องที่ตัวเองออกฟิตออกกำลังกาย แต่เราว่าสามารถเอาไปใช้กับเรื่องอื่นได้เหมือนกัน
เขาว่า ตัวเขาเองไม่ใช่คนมีพรสวรรค์ เขาจะไม่รอพรสวรรค์ แต่จะฝึกมันไปเรื่อยๆ ถ้าเทียบคน 2คนที่มีน้ำหนัก ส่วนสูง ความแข็งแรงเท่ากัน วัดแต่ใจอย่างเดียว เขาเชื่อว่า "ใจ" ของตัวเอง ก็ไม่แพ้คนอื่น คนแพ้ มักจะเป็นที่ถอดใจก่อน คนที่เคยน้ำหนัก 98 ปัจจุบัน วิ่งมาราธอนผ่านระยะ 42 กิโลเมตร แข่งไตรกีฬา (ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน วิ่ง) ระยะครึ่งนึงของระยะโอลิมปิก ได้ที่ 6 ของกลุ่มช่วงอายุ
ท้ายสุด ถ้าดูจากไทม์ไลน์แล้ว ช่วงที่เขาเป็นโรคซึมเศร้าคงเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เริ่มเกิดกระแสไม่ชอบนาวิน ต้าร์ พอดี ช่วงที่เกิดกรณีกับได๋ ก็เป็นช่วงกลับจากอเมริกาใหม่ๆพอดี ซึ่งจริงๆเราก็ไม่รู้ว่ามันเป็นreactionอย่างนึง หรือเป็นเพราะการที่อยู่เมืองนอกนานกว่า 10ปี นิสัยเดิมแรงอยู่แล้ว เลยยิ่งทวี
อยากแชร์ให้อ่านเฉยๆนะคะ ถือเป็นการรับข้อมูลอีกด้าน สำหรับเรา หลังการดูรายการแล้วรู้สึกกับเขาขึ้นเยอะเลยค่ะ คงไม่ถึงกับกลับการชอบเขาเหมือนเดิม เพราะก็ไม่ใช่วัยแล้ว แต่ก็ไม่รู้สึกติดลบเหมือนเคย
จากกรณีนี้ เราคิดว่าบางเรื่องที่คนอื่นทำแล้วเรามองว่ามันผิด Egoจัด Inner แรง
อันที่จริง คนนั้นเขาอาจมีมุมส่วนตัวที่ไม่จำเป็นหรือไม่อยากบอกให้คนอื่นรับรู้ก็ได้
เพิ่งทราบว่า นาวิน ต้าร์ ถึงกับเป็นโรคซึมเศร้าช่วงทำปริญญาเอก รู้สึกเห็นใจเขาขึ้นเยอะเลย
หรือจริงๆตัวตนเขาเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วก็ไม่ทราบ ยิ่งกรณี ได๋ ไดอาน่า ที่ตอกหน้าผู้หญิงว่าโอกาสที่จะคบกันเป็นศูนย์
ซึ่งครั้งนึง เราเคยเป็นแฟนคลับเขา ก็จะทราบว่าเขาคบกันตั้งแต่อยู่อเมริกา ช่วงที่ฝ่ายชาย ฝ่ายหญิง ไปเรียนต่อพอดี บวกกับช่วงคบกับพลอย เฌอมาลย์ รู้สึก Egoเขาจัดเกินไป เราเลยยิ่งรู้สึกชอบเขาน้อยลงเรื่อยๆ
จริงๆเขาเป็นไอดอลในด้านการเรียนของเรานะคะ เคยอ่านพ็อกเก็ตบุ๊คที่ นพ.วิโรจน์ เยาวพลกุล (พ่อของนาวิน ต้าร์) เขียนไว้
ทราบว่าตอนเด็กเกเรมาก เคยไล่วิ่งเอาสเปรย์ฉีดผมไปฉีดเพื่อน แต่พลาดไปฉีดเข้าตาเพื่อนผู้หญิงที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่จนเพื่อนหวิดตาบอด
รู้สึกจะเคยถึงขั้นเอาน้ำในสเปรย์ฉีดผมออก แล้วใส่ปัสสาวะเข้าไปแทนเพื่อแกล้งเพื่อน
ช่วงมัธยม ใบเกรดมีแต่ 0 กับ 4 เท่านั้น ไม่เคยมีเกรด 1 2 3 มาแซมเลย คือวิชาไหนที่สนใจจะได้ 4 วิชาที่ไม่ชอบ จะได้ 0
บวกกับเกเรมากจนถูกไล่ออกจากทั้ง สาธิต ปทุมวัน และ สาธิต มศว ทำให้ตัดสินใจมาเรียนมามุงกศน. จนเข้า ม.เกษตร คณะเศรษฐศาสตร์ และจบด้วยเกียรตินิยมอันดับ1 เหรียญทอง พอจบก็ชิงทุน King ต่อทั้ง ป.โท ป.เอก เราเป็นพวกปลื้มคนเก่งอยู่แล้ว ยิ่งปลื้มเข้าไปใหญ่
แต่ก็นั่นแหละค่ะ อย่างที่บอกว่าช่วงหลังรู้สึกไม่ค่อยดีกับนาวิน ต้าร์ เท่าไหร่ เลยไม่คิดจะสนใจอีกเลย
พอดีเมื่อคืนมีโอกาสได้เปิดดู ที่นี่หมอชิต ค่ะ แขกรับเชิญหลักคือ นาวิน ต้าร์ เล่าว่า ช่วงที่เขาทำ ป.เอก ที่อเมริกา
เขารวบรวมข้อมูล ใช้เวลา 2ปี แต่สุดท้าย ก็วนกลับมาที่เดิม ตัวเขารู้สึกว่า เวลา2ปีที่เสียไป มันสูญเปล่ามาก มันไม่ได้อะไรเลย
Thesis ที่ทำก็ไม่ได้เพิ่มพูนขึ้นเลย
ตอนนั้นไม่มีกะจิตกะใจจะคบค้าสมาคมกับใคร ไม่ออกกำลังกาย ไม่สุงสิงกับผู้คน ตอนนั้นน้ำหนักพุ่งขึ้นไปถึง 98 กิโลฯ
ตัวเองมีหน้าที่เป็น TA (Teaching assistant) ก็เตรียมสอน ไปสอน แล้วกลับเข้าห้อง จะออกจากบ้านก็เฉพาะตอนไปกินข้าวเท่านั้น
ปิดการติดต่อสื่อสารกับผู้คนและคนที่อยู่เมืองไทย (จำตัวเลขแม่นๆไม่ได้ ระหว่าง 3 หรือ 6เดือน) เพราะเบื่อที่จะต้องพูดถึงหัวข้อ Thesis
ของตัวเองว่า มันไปไม่ถึงไหน
นาวิน ต้าร์ บอกว่ามันคงเป็นอาการคล้ายๆคนเป็น Depression หรือโรคซึมเศร้า แล้วช่วงนั้นเครียดมากถึงขั้นไส้ติ่งอักเสบรอบ 2
คือก่อนหน้าเคยอักเสบไปแล้วและผ่าตัดไปแล้ว ต่อมาเครียดอีก ไส้ติ่งเลยอักเสบอีกรอบ ทีนี้แผลมันหายช้า เพราะเอาแต่นอนจมอยู่บนเตียงและเครียดเรื่องThesis
จนวันนึง พ่อและน้องชายบินมาเคาะประตูบ้านถึงอเมริกา ตามที่บอกไปข้างต้นว่า เขาปิดการสื่อสาร จนที่บ้านเป็นห่วง
พ่อมาฉุดลงจากเตียง ถึงได้เข้าใจว่า ถึงเราไม่มีใคร ท้ายสุด เราก็ยังมีครอบครัว
นาวิน ต้าร์ เลยตัดสินใจคุยกับ Professor ว่าจะขอมาเก็บข้อมูลที่ไทย 1ปี จริงๆก็มาเปลี่ยนบรรยากาศไปด้วย มาพักฟื้นด้วย
ชอบที่คุณดู๋ สัญญา ถามว่า คิดจะเป็นอาจารย์อย่างนี้ไปอีกกี่ปี นาวิน ต้าร์ ตอบว่า คงจะเป็นอาจารย์ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเกษียณ
พอดีกับที่ คุณดู๋ สัญญา พูดถึงเรื่องที่เคยสัมภาษณ์นาวิน ต้าร์ ก่อนไปเรียนต่อ เมื่อ 10ปีก่อน ว่า "กลับมาอยากทำอะไร" เขาก็ตอบว่า
"อยากกลับมาเป็นอาจารย์" กอปรกับมันเป็นไปตามแผนที่วางไว้ ป.ตรี-ป.เอก เขามุ่งเรียนมาทางด้านเศรษฐศาสตร์ด้านเดียว เลยอยากจะใช้ความรู้ให้เป็นประโยชน์ ( * ทุนอานันทมหิดล ทุนไม่มีข้อผูกมัดว่าจะต้องกลับมารับราชการ หรือ ต้องกลับมาทำงานให้กับประเทศไทย)
ส่วนตัว ไม่มีคนรู้จักที่เคยเรียนกับนาวิน ต้าร์ เลยไม่ทราบว่าบทบาทการเป็นอาจารย์ของเขาเป็นอย่างไร แต่เขาพูดถึงตัวเองในบทบาทการเป็นอาจารย์ว่า ตัวเองเป็นอาจารย์ที่ค่อนข้างดุ ที่ดุเพราะอยากให้นักศึกษาได้ประโยชน์ เขารู้ว่าศักยภาพของเด็กยังไปได้อีก แต่ที่ไม่ถึง เพราะไม่ทำ
อันนี้ถูกใจเป็นพิเศษตอนเขาถึงเรื่องที่ตัวเองออกฟิตออกกำลังกาย แต่เราว่าสามารถเอาไปใช้กับเรื่องอื่นได้เหมือนกัน
เขาว่า ตัวเขาเองไม่ใช่คนมีพรสวรรค์ เขาจะไม่รอพรสวรรค์ แต่จะฝึกมันไปเรื่อยๆ ถ้าเทียบคน 2คนที่มีน้ำหนัก ส่วนสูง ความแข็งแรงเท่ากัน วัดแต่ใจอย่างเดียว เขาเชื่อว่า "ใจ" ของตัวเอง ก็ไม่แพ้คนอื่น คนแพ้ มักจะเป็นที่ถอดใจก่อน คนที่เคยน้ำหนัก 98 ปัจจุบัน วิ่งมาราธอนผ่านระยะ 42 กิโลเมตร แข่งไตรกีฬา (ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน วิ่ง) ระยะครึ่งนึงของระยะโอลิมปิก ได้ที่ 6 ของกลุ่มช่วงอายุ
ท้ายสุด ถ้าดูจากไทม์ไลน์แล้ว ช่วงที่เขาเป็นโรคซึมเศร้าคงเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เริ่มเกิดกระแสไม่ชอบนาวิน ต้าร์ พอดี ช่วงที่เกิดกรณีกับได๋ ก็เป็นช่วงกลับจากอเมริกาใหม่ๆพอดี ซึ่งจริงๆเราก็ไม่รู้ว่ามันเป็นreactionอย่างนึง หรือเป็นเพราะการที่อยู่เมืองนอกนานกว่า 10ปี นิสัยเดิมแรงอยู่แล้ว เลยยิ่งทวี
อยากแชร์ให้อ่านเฉยๆนะคะ ถือเป็นการรับข้อมูลอีกด้าน สำหรับเรา หลังการดูรายการแล้วรู้สึกกับเขาขึ้นเยอะเลยค่ะ คงไม่ถึงกับกลับการชอบเขาเหมือนเดิม เพราะก็ไม่ใช่วัยแล้ว แต่ก็ไม่รู้สึกติดลบเหมือนเคย
จากกรณีนี้ เราคิดว่าบางเรื่องที่คนอื่นทำแล้วเรามองว่ามันผิด Egoจัด Inner แรง
อันที่จริง คนนั้นเขาอาจมีมุมส่วนตัวที่ไม่จำเป็นหรือไม่อยากบอกให้คนอื่นรับรู้ก็ได้