เราอยากเขียนพ็อคเก็ตบุคสักเล่ม เรื่องราวของความรักเพศเดียวกัน
เนื้อหาส่วนใหญ่จะเล่าเกี่ยวกับชีวิตที่ผ่านมาและความรักในแบบของเพศเดียวกัน ....เพิ่งเริ่ม...
รบกวนเพื่อนๆ ช่วยติ ชม แนะนำด้วยค่ะ ยินดีรับฟังทุกคำแนะนำเพื่อปรับปรุง ขอบคุณมากค่า
สามีฉันเป็นอย่างว่า
อั๊ยย๊ะ! นี่มันยิ่งกว่าในละครตอนที่นางเอกรู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายซะอีก เพราะนี่มันคือชีวิตจริงที่ยิ่งกว่าในละคร ที่หลายคนรวมทั้งคนที่กำลังอ่านอยู่ด้วยนี่หล่ะ ต้องรีบเก็บของและรอตอกบัตรออกจากอ็อฟฟิต (แล้วก็ออกมานั่งหน้างออยู่บนถนนที่มองไปทั้งทางซ้ายก็รถทางขวาก็รถ คืออยู่ท่ามกลางดงพาหนะที่เคลื่อนที่ด้วยเครื่องยนต์ไฟฟ้าและซดน้ำมันที่ราคาแพงชรูด) เฮ้ออออ... ไปไหนแล้ว
นอกเรื่องไปบ่นเรื่องราคาน้ำมันแพง และรถยนต์ที่มันเพิ่มขึ้นทุกวันๆ เพราะซื้อรถได้เงินคืน เอ้ยๆ กลับมาาาาาา (เด๋วโดนจับหรอก)
ชีวิตเรามันจะสนุกและเร้าใจได้ยังไง ถ้าหากเราไม่สร้างเรื่องราว และมันจะกลายมาเป็นเรื่องช็อคและตื่นเต้นไม่ได้เลย ถ้าเราพอใจกับการเป็นแค่ผู้หญิงที่วันๆฝันถึงแต่ชายในฝัน เรื่องราวที่เรากำลังจะเล่าให้คุณผู้ฟังอ่านต่อไปนี้ แหน่ะๆๆๆ อย่าเพิ่งหาวดิ ยังไม่เล่าเลย สนุกนะวุ้ย!
เรา(ชื่อสมมติ – นี่สมมติแล้วนะ เอาเหอะ) ปัจจุบันอายุก็ปาเข้าเบญจเพสแล้ แต่ยังสวยและเปล่งปลั่ง (ตรงไหนวะ 555) และมีครอบครัวเรียบร้อยแล้ว อยู่อาศัยกะสามี (น่ารักมากนะขอบอก) ที่คบหาดูใจกันมาประมาณ 3 ปี จนถึงปัจจุบันกาลเราก็อยู่กินกันอย่างสามีภรรยา (ถ้าหอบผ้าผ่อนมาอยู่ห้องเดียวกัน เราคงไม่กล้าใช้คำว่าแฟนนะ) อยากแอบนินทาสามีของเราให้คุณผู้อ่านได้รู้จักกันซักนิดนะคะ จะได้ไม่งงว่าใครเป็นใครในเรื่องราวที่กำลังจะพล่ามต่อไปนี้ สามีเราปัจจุบันอายุอานามก็ปาเข้าไป 30 แล้ว ซึ่งแน่นอนว่าชรากว่าเราถึง 5 ปีเชียวนะเนี่ย 555 (ได้ที) เราจึงต้องเรียกสามีอันเป็นที่รักว่าพี่ พี่เค้าเป็นคนไม่สูงมาก เท่าเราเลย (จริงๆ คือเราเตี้ยแหล่ะ) ประมาณ 165 เซนติเมตร ความหนาก็พอประมาณ ถ้าเทียบกับความสูงแล้วก็นับว่าหุ่นดีค่อนไปทางอวบ ผิวขาวอมชมพู หน้าตาหมวยๆ ลับกับผมลองทรงสูงที่สั้นเป็นทรงพอดีกับศีรษะอันกลมๆ อุปนิสัยของพี่เค้าค่อนข้างเป็นคนเอาจริงเอาจัง ใจดี สปอร์ต ขี้อ้อน เอาใจเก่ง พูดเพราะ เฉลียวฉลาด มีความเป็นผู้ใหญ่ และผู้นำ มักจะชอบเห็นอกเห็นใจผู้อื่นเสมอ โดยภาพรวมๆของนิสัยพี่แกคือเป็นคนดีเป๊ะเวอร์อ่ะ ตรงกับที่เรามองหาไว้ทุกอย่าง ---เพอร์เฟ็ค--- นี่เป็นคำที่เหมาะสมกับพี่เค้าเลย ส่วนตัวเราเองนั้นก็เป็นคนที่น่ารักมาก (จากการทำรีเสิร์ชโดยบังคับเพื่อนๆรอบกายให้ลงความเห็นว่าเราเป็นอย่างงั้น) ว่านอนสอนง่าย กระตือรือล้น มีความทะเยอทะยานและตั้งใจสูง ความรับผิดชอบต้องสำคัญเป็นที่หนึ่ง มีความมั่นใจในตัวเองสูง จนถูกมองมาจากทางสามีเราว่าเป็นคนมีอีโก้ (มันเป็นใคร--มาจากไหน-- ทำไมต้องมาอยู่กับเรา) สูงด้วยนะ ไม่ใช่อีโก้ธรรมดา แต่เราไม่คิดแบบนั้นนะ ..นี่งัย เค้าถึงได้ว่า มันก็ถูกของเค้า คนเรามักจะไม่ยอมรับคำติเตือนของคนอื่น เหมือนคนเมา ก็จะชอบบอกว่าตัวเองไม่เมาทั้งๆที่แกเดินเซจะเข้าป่าอ้อยเค้าอยู่แล้ว ซึ่งมันเป็นสิ่งที่เราคุ้นเคยนะ กับการไม่ยอมรับข้อผิดพลาดของตัวเองเนี่ย (อิอิ นังนี่) งัยคะ จากที่อ่านอุปนิสัยของเรามา เราพอจะเป็นคนเพอร์เฟ็คกะเค้าบ้างยัง ที่สำคัญกว่าทุกข้อด้านบนคือ เราเป็นคนดี และเราก็มั่นใจว่าเราเป็นคนดี อย่างน้อยก็ไม่เคยลักทรัพย์ (4 ข้อที่เหลือ เราเคยหลงทำมาบ้างแต่ไม่ร้ายแรงนะ จริงๆ) ตอนนี้พยายามทำให้ได้ทั้ง 5 ข้อ ซึ่งก็กำลังไปได้ดีทีเดียว เหลือก็แต่ข้อ 1 ห้ามฆ่าสัตย์นี่แหล่ะ... คือมดแดงมันชอบไต่เสาขึ้นมาทำรังบนห้อง เราก็เลยต้องเอาชอล์คขาวขีดทับบนตัวพวกมันและโรยผงๆ บนทางเดินลำเลียงอาหาร เฮ้อ! อโหสิกรรมเถอะนะมดจ๋า เราจำเป็นจริง มันเจ็บและคันมากนะ หลายครั้งที่ผิวหนังเราและสามีเป็นตุ่มแดงบวมขึ้น เราก็จะเกาจนถลอกและกลายเป็นแผลในที่สุด ถ้าเป็นไปได้เราก็อยากอยู่ใครอยู่มัน งั้นขอเตือน “อย่าขึ้นมาอีก” (โหดเมพๆ) เอาหล่ะนอกเรื่องไปหามดแดงแล้ว ขออนุญาตเล่าย้อนกลับไปตอนเราและสามีเริ่มคบกันซักหน่อยพอให้ทุกคนเข้าใจและรู้ว่าเราเป็นใคร มาจากสวรรค์ชั้นไหนก่อนนะ โอเค้ ถือว่าอนุญาตแล้ว เล่าล่ะนะ พอเรียนจบจากมหา’ลัยเอกชน (เราเรียนนานาชาติด้วยนะ รวยและเก่ง อิอิ) แห่งหนึ่งในกรุงเทพ เราก็ได้ทำงานเลย อันที่จริงก็ทำงานมาตลอดแหล่ะ เพราะเป็นคนที่ไม่ชอบอยู่นิ่ง (ลักษณะคล้ายลิงนั่นเอง มั้ง) ลักษณะนิสัยเป็นคนยิ้มง่าย ชอบพูดคุย ชอบแหย่ ชอบแกล้ง ชอบเงิน ชอบทอง ชอบของสวยๆงามๆ ชอบผู้ชายรวยๆ เอ้ย.. อันหลังก็ใช่อยู่ ใช่ที่สุดแหล่ะ แต่ไม่ได้ๆ เราต้องมั่นคงซิ เราต้องอยู่กับปัจจุบัน ซื่อสัตย์กับสามีที่รักของเรา .....หลังจากเรียนจบปริญญาตรีก็ตั้งหน้าตั้งตาทำงานอยู่ในบริษัทสัญชาติมะกันอยู่หลายเดือน (เป็นเดือนเท่านั้นแหล่ะไม่ต้องคิดถึงปีหรอก) งานที่เราได้รับมอบหมายที่นี่คือ การดูแลลูกค้าสมาชิกจากทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก คือเราต้องขอถล่มตัวนิดนึงว่า เป็นคนที่มีความสมารถทางด้านการใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารค่อนข้างดีมาก สำเนาะสำเนียงไพเราะน่าฟัง เพราะต้องใช้สื่อสารตล้อดตล้อดในชีวิตประจำวัน อีกทั้งงานที่ทำบังคับให้ต้องยุ่งเกี่ยวกับภาษาต่างประเทศเป็นประจำ ...ชมตัวเองมากไปแล้วมั้งเนี่ย (บังคับให้ใช้วิจารณญาณในการอ่านอย่างมากกกก) อ้อ ลืมบอกไปว่าบริษัททำเกี่ยวกับการพัฒนาการท่องเที่ยวให้กับทั่วโลก ว้าวววเป็นบริษัทค่อนข้างใหญ่ทีเดียวซิ ใช่! เพราะมีหลายสาขาทั่วโลก เราก็ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งใหญ่โตอะไรหรอก เข้าไปเป็นพนักงานทั่วไปและก็ เด็กสุดด้วย (ทุกคนที่นี่เป็นผู้จัดการหมดอ่ะ เพราะทำกันมานานหลายสิบปีแล้ว) ทำงานที่นี่มาได้ประมาณ 7 เดือน อืมมม..น่าจะประมาณนั้น ก็ขอออก ด้วยเหตุผลที่ว่าอยากหาประสบการณ์ใหม่ๆ (แหน่ะ! เหมือนตะเองล่ะซิ เวลาจะหางานใหม่อ่ะ) พอออกมาได้ก็เดินหน้าหางานใหม่ทันที งานที่มองไว้คืองานขาย เพราะรายได้ดี มีทั้งเงินเดือน ค่าคอมฯ ค่าเดินทาง (หร๋อ) บวกกับเป็นคนชอบงานที่ได้พบปะผู้คนเยอะๆ และชอบเดินทางไปโน่นนั่นนี่ตลอด เลยคิดว่างานประเภทนี้แหล่ะที่จะตอบสนองความต้องการเราได้ คุณผู้อ่านหลายคนที่เคยลาออกจากงานเดิม...ความหมายคือตกงานแหล่ะ มาอยู่บ้าน วันทั้งวันก็จะเก่งคอมพ์ฯไปโดยอัตโนมัตินะ เพราะว่าต้องนั่งอยู่หน้าคอมพ์ เพื่อหาตำแหน่งงานว่าง และความเชี่ยวชาญเรื่องการพิมพ์สัมผัสก็เริ่มดีขึ้นๆ อย่างเห็นได้ชัดหลังจากที่ทิ้งความชำนาญอันน้อยนิดไว้ให้รุ่นน้องที่โรงเรียนไปหลายรุ่นแล้วเพราะต้องนั่งกรอกประวัติลงบนหน้าเว็บไซต์ของหลาย(สิบ) บริษัทต่อวัน เราก็พัฒนาการดีขึ้นมากและก็มีหลายบริษัทโทรมานัดสัมภาษณ์.... โอ้วววว ติดกับตูแล้ว ฮ่าฮ่า (เราติดกับเค้าหรือป่าวหว่า) แล้วก็เป็นอย่างที่เราคิด (ไม่บอกหรอก ว่าคิดอะไร หึ) มีบริษัทนึงอยู่แถวสุขุมวิท 21 ก็โทรมาตื้อเราหลายรอบ เราจึงตัดสินใจไปสัมภาษณ์และได้ทำงานที่นี่ ลักษณะงานตรงกับที่เราคิดไว้เป๊ะเว่อร์ การันตีเงินเดือนไม่ต่ำกว่า 30000 บาท ถ้าขยัน ว้าวววว เราเป็นคนขยัน ได้มากกว่านี้ชัวร์ (คิดในใจ อยู่นะ) จึงตัดสินใจทำ
3 วันแรกทางบริษัทจัดการอบรมการทำงานให้ ต้องทำอะไรบ้าง เข้างานกี่โมง จะต้องเดินทางไปไหนบ้าง และแนะนำวัฒนธรรมองค์กรเหมือนที่อื่นแหล่ะ เราก็ตั้งหน้าตั้งตาจดและจำในสิ่งที่พี่ๆวิทยากรสอนสั่ง บอกนิดนึงว่าจำนวนพนักงานที่นี่ค่อนข้างมากพอสมควรและมีทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่เด็กยังเรียนอยู่ จบใหม่ วัยรุ่น วัยทำงานจนถึงอายุใกล้เกษียร เข้าไปครั้งแรก โอ้โห๋มีแต่โปรเฟสชั่นแนลอ่ะ แต่พออยู่ไป เอ้าเราก็เป็นโปรฯกะเค้าได้แฮะ เพราะสัปดาห็แรกก็หาเงินได้เป็นหมื่น (ตาเป็นประกาย กระหายเงินมาก) ลืมบอกไปว่าที่นี่เค้าจ่ายเงินเป็นสัปดาห์ ก็คือหาเงินสัปดาห็ชนสัปดาห์เลย ดูรวยดีเนอะ ระหว่างนั้นผลงานเราก็ไปสะดุดตาสะกิดใจของใครคนนึงเข้า โดยที่จริงๆเราก็แอบรู้ตัวนิดๆว่าพี่เค้าแอบชอบเราชัวร์ (งัยล่ะ ความหลงตัวเองยังติดแน่น) แต่เราไม่สนใจเพราะมีแฟน (เก่า) อยู่แล้ว เห็นสวยๆก็เป็นคนรักเดียว รักใครรักจริงไม่ทิ้งนะจ๊ะขอบอก เพราะฉะนั้นอย่ามาตื้อให้เหนื่อย แต่เคยได้ยินใช่มั้ย ว่ารักแท้อ่ะ มันแพ้ใกล้ชิด เฮ้ยเอาล่ะหว่าทำไมเราได้ออกสนามกับพี่เค้าบ่อยจังวะ เค้าดูแลเราดีมากอ่ะ เอาใจเก่งโครต เฮ้ยๆ อย่าใจอ่อน เราต้องบอกกับตัวเองตลอดนะ(นี่ขนาดรักเดียวนะ) แต่ไม่มีผลหรอก เราไม่เปลี่ยนใจจากแฟนเราอยู่แล้ว เรารักแฟนเก่าเราคนเดียว ถึงขนาดวางแพลนชีวิตไว้เลยว่าจะหมั้นตอนไหน แต่งงานเมื่อไหร่ มีลูกกี่คนอย่างนั้นเลย เราเชื่อว่าผู้หญิงส่วนใหญ่ต้องเคยมีความคิดแบบเรานี่แหล่ะ และจะเลิกคิดไปเองเมื่อเจอคนใหม่หรือเปลี่ยนแฟนนั่นแหล่ะ หลังจากนั้นเราก็ตีตัวออกห่างกับพี่คนที่ทำงานด้วยคนนี้ และไม่มีความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงความรู้สึกจากเพื่อนร่วมงานเป็นอย่างอื่นที่ลึกซึ้งได้มากว่านี้แน่นอน งานที่ทำต้องเดินทางไปต่างจังหวัดบ่อย คือ 1 สัปดาห์อยู่กรุงเทพฯ 1 สัปดาห์อยู่ต่างจังหวัดแบบนี้ตลอดการทำงานที่นี่ (ซึ่งก็ไม่ได้นานอะไรมาก) ทำงานอยู่ที่นี่มาประมาณ 4 เดือนก็มีความคิดอยากเปลี่ยนงานใหม่ เพราะเริ่มเหนื่อยกับการทำงานที่ไม่ได้อยู่กับที่เลย (เอ้านังนี่เรื่องมากจริง..ไหนบอกชอบงานที่ต้องเดินทางไปโน่นนั่นนี่) อันที่จริงเพราะชีวิตเริ่มมีปัญหาความรักขึ้น ความสัมพันธ์กับแฟนเก่าส่อแววขาดสะบั้นมาตั้งแต่มาทำงานที่นี่ นี่เราไม่ได้กำลังโทษงานที่เราเลือกทำนะ แต่การทะเลาะวิวาทส่วนใหญ่มาจากคำพูดของแฟนเก่าที่ต่อว่าเราเสียๆหายๆว่าเรามันฉลาดน้อย อย่างงั้นอย่างงี้ เรียนจบมาขนาดนี้ (ขนาดไหนวะ ได้ข่าวก็แค่ปริญญาตรี) ทำไมถึงคิดสั้นมาทำงานข้างถนน นั่งในห้องแอร์เย็นๆก็ดีอยู่แล้ว...ในใจเราคิดต่อต้านมันตลอด ประมาณว่านั่งในห้องแอร์แล้วไง ความเย็นมันไม่ช่วยให้ตูรวยได้นะ...(แค่คิดนะ ไม่กล้าพูดออกมาหรอก) หลังจากความเห็นไม่ลงรอยกันอยู่ประมาณสองเดือน เราก็เริ่มทนไม่ไหว ที่เคยทนไม่ทนมันแล้ว วันนั้นจำได้ว่าไปทำงานอยู่แถวรามฯ ฝนก็ตก ด้วยลักษณะงานค่อนข้างกดดันอยู่แล้วเพราะยังไม่ได้ลูกค้าเลย (พูดให้เข้าใจง่าย คือยังไม่ได้ยอดเลย) แล้วอีกประเดี๋ยวก็ต้องกลับเข้าไปประชุมสรุปงานที่อ็อฟฟิต ซึ่งต้องกินเวลานอนเราไปหลายชั่วโมงทีเดียว เรื่องเวลาที่จะมีให้แฟน(เก่า) ยิ่งไม่ต้องจินตนาการถึงเลย จึงเป็นปัญหาจนมันลามมาเป็นความบาดหมางในที่สุด
ระหว่างนั่งแท็กซี่กลับเข้าอ็อฟฟิต มือก็ถือโทรศัพท์คุยไปสะอื้นไห้ไปพร้อมทั้งง้อถามแฟนว่าเราผิดอะไร โกรธอะไรเรา ถึงได้มาบอกเลิกเรา หิวก็หิว โทษนะ ลืมไปว่ามีสายตาหลายคู่ของเพื่อนร่วมงานที่ไปด้วยกันรวมทั้งพี่คนขับแท็กซี่ ซึ่งจ้องมองเราผ่านทางกระจกมองหลัง พี่เค้าคงกำลังนึกว่าเราเป็นอะไรมากมั้ย นั่งถ่ายมิวสิควิดีโออยู่ได้ ที่นี่ไม่ใช่สตูดิโอ อะไรทำนองนั้น พี่ๆเค้าก็ช่วยปลอบใจเรากันใหญ่ อารมณืนั้นไม่มีกะจิตกะใจกลับไปเจอใครที่ทำงานหรอกเอาจริงๆ แต่ต้องไปเพราะเรามีสปิริต อิอิ ที่จริงไม่ใช่หรอก...ที่ไปเพราะเค้าบังคับว่าต้องเข้าทุกคน ไม่งั้นจะบลาๆๆๆๆ....นั่นแหล่ะ (แอบว่าวันต่อมาอาจจะโดนประจานให้อายต่อหน้าคนอื่นอะไรทำนองนั้น) ไปถึงอ็อฟฟิตเราต้องทำตัวทำใจให้เข้มแข็งแล้ว เราจะมาเศร้าเป็นนางเอกไม่มีใครสนใจหรอก เพราะที่นี่ไม่มีพระเอก (พระเอกเค้าทิ้งแกไปแล้ว ฮือๆ) แต่มีพี่คนนึงแฮะ....ก็คนที่เราพูดถึงก่อนหน้าคนนั้นแหล่ะ เค้าแอบมองเราอยู่ไกลๆ ขณะนั่งประชุมสรุปงาน (อันที่จริงคือฟังเทศฯ ที่เราใช้เวลางานออกไปข้างนอกแล้วไม่มียอด หรือทำงานไม่ประสบความสำเร็จแหล่ะ) เคยมั้ยเวลาที่มีอะไรสักสิ่งหรือสายตาใครสักคนจ้องมองเราอยู่ เราจะรู้สึกได้ว่าเราไม่ได้อยู่คนเดียว...เอาแล้วไง ชัวร์มีคนมองเราอยู่ ทันใดนั้น เราก็รีบหมุนศีรษะไปทางที่เรามีความรู้สึกวูบวาบนั้น เราเห็นพี่คนนั้นที่เราพยายามหลบหน้า เค้ารีบก้มหน้าลงมองระหว่างขา...เอ่อ คือขออธิบายนิดว่าระหว่างขาพี่แกมีสมุดบันทึกเล่มเล็กๆที่ถืออยู่ในมือเพื่อจดรายละเอียดหรือข้อความที่หัวหน้ากำลังพล่าม เอ้ย! พูดอยู่นั่นเอง เราเองก็เขิล เฮ้ย! เรารู้สึกเขิลหรือนี่ (อ่านต่อหน้า 2)
รบกวนให้เพื่อนๆช่วยติชมแนะนำงานเขียนของเรา
เนื้อหาส่วนใหญ่จะเล่าเกี่ยวกับชีวิตที่ผ่านมาและความรักในแบบของเพศเดียวกัน ....เพิ่งเริ่ม...
รบกวนเพื่อนๆ ช่วยติ ชม แนะนำด้วยค่ะ ยินดีรับฟังทุกคำแนะนำเพื่อปรับปรุง ขอบคุณมากค่า
สามีฉันเป็นอย่างว่า
อั๊ยย๊ะ! นี่มันยิ่งกว่าในละครตอนที่นางเอกรู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายซะอีก เพราะนี่มันคือชีวิตจริงที่ยิ่งกว่าในละคร ที่หลายคนรวมทั้งคนที่กำลังอ่านอยู่ด้วยนี่หล่ะ ต้องรีบเก็บของและรอตอกบัตรออกจากอ็อฟฟิต (แล้วก็ออกมานั่งหน้างออยู่บนถนนที่มองไปทั้งทางซ้ายก็รถทางขวาก็รถ คืออยู่ท่ามกลางดงพาหนะที่เคลื่อนที่ด้วยเครื่องยนต์ไฟฟ้าและซดน้ำมันที่ราคาแพงชรูด) เฮ้ออออ... ไปไหนแล้ว
นอกเรื่องไปบ่นเรื่องราคาน้ำมันแพง และรถยนต์ที่มันเพิ่มขึ้นทุกวันๆ เพราะซื้อรถได้เงินคืน เอ้ยๆ กลับมาาาาาา (เด๋วโดนจับหรอก)
ชีวิตเรามันจะสนุกและเร้าใจได้ยังไง ถ้าหากเราไม่สร้างเรื่องราว และมันจะกลายมาเป็นเรื่องช็อคและตื่นเต้นไม่ได้เลย ถ้าเราพอใจกับการเป็นแค่ผู้หญิงที่วันๆฝันถึงแต่ชายในฝัน เรื่องราวที่เรากำลังจะเล่าให้คุณผู้ฟังอ่านต่อไปนี้ แหน่ะๆๆๆ อย่าเพิ่งหาวดิ ยังไม่เล่าเลย สนุกนะวุ้ย!
เรา(ชื่อสมมติ – นี่สมมติแล้วนะ เอาเหอะ) ปัจจุบันอายุก็ปาเข้าเบญจเพสแล้ แต่ยังสวยและเปล่งปลั่ง (ตรงไหนวะ 555) และมีครอบครัวเรียบร้อยแล้ว อยู่อาศัยกะสามี (น่ารักมากนะขอบอก) ที่คบหาดูใจกันมาประมาณ 3 ปี จนถึงปัจจุบันกาลเราก็อยู่กินกันอย่างสามีภรรยา (ถ้าหอบผ้าผ่อนมาอยู่ห้องเดียวกัน เราคงไม่กล้าใช้คำว่าแฟนนะ) อยากแอบนินทาสามีของเราให้คุณผู้อ่านได้รู้จักกันซักนิดนะคะ จะได้ไม่งงว่าใครเป็นใครในเรื่องราวที่กำลังจะพล่ามต่อไปนี้ สามีเราปัจจุบันอายุอานามก็ปาเข้าไป 30 แล้ว ซึ่งแน่นอนว่าชรากว่าเราถึง 5 ปีเชียวนะเนี่ย 555 (ได้ที) เราจึงต้องเรียกสามีอันเป็นที่รักว่าพี่ พี่เค้าเป็นคนไม่สูงมาก เท่าเราเลย (จริงๆ คือเราเตี้ยแหล่ะ) ประมาณ 165 เซนติเมตร ความหนาก็พอประมาณ ถ้าเทียบกับความสูงแล้วก็นับว่าหุ่นดีค่อนไปทางอวบ ผิวขาวอมชมพู หน้าตาหมวยๆ ลับกับผมลองทรงสูงที่สั้นเป็นทรงพอดีกับศีรษะอันกลมๆ อุปนิสัยของพี่เค้าค่อนข้างเป็นคนเอาจริงเอาจัง ใจดี สปอร์ต ขี้อ้อน เอาใจเก่ง พูดเพราะ เฉลียวฉลาด มีความเป็นผู้ใหญ่ และผู้นำ มักจะชอบเห็นอกเห็นใจผู้อื่นเสมอ โดยภาพรวมๆของนิสัยพี่แกคือเป็นคนดีเป๊ะเวอร์อ่ะ ตรงกับที่เรามองหาไว้ทุกอย่าง ---เพอร์เฟ็ค--- นี่เป็นคำที่เหมาะสมกับพี่เค้าเลย ส่วนตัวเราเองนั้นก็เป็นคนที่น่ารักมาก (จากการทำรีเสิร์ชโดยบังคับเพื่อนๆรอบกายให้ลงความเห็นว่าเราเป็นอย่างงั้น) ว่านอนสอนง่าย กระตือรือล้น มีความทะเยอทะยานและตั้งใจสูง ความรับผิดชอบต้องสำคัญเป็นที่หนึ่ง มีความมั่นใจในตัวเองสูง จนถูกมองมาจากทางสามีเราว่าเป็นคนมีอีโก้ (มันเป็นใคร--มาจากไหน-- ทำไมต้องมาอยู่กับเรา) สูงด้วยนะ ไม่ใช่อีโก้ธรรมดา แต่เราไม่คิดแบบนั้นนะ ..นี่งัย เค้าถึงได้ว่า มันก็ถูกของเค้า คนเรามักจะไม่ยอมรับคำติเตือนของคนอื่น เหมือนคนเมา ก็จะชอบบอกว่าตัวเองไม่เมาทั้งๆที่แกเดินเซจะเข้าป่าอ้อยเค้าอยู่แล้ว ซึ่งมันเป็นสิ่งที่เราคุ้นเคยนะ กับการไม่ยอมรับข้อผิดพลาดของตัวเองเนี่ย (อิอิ นังนี่) งัยคะ จากที่อ่านอุปนิสัยของเรามา เราพอจะเป็นคนเพอร์เฟ็คกะเค้าบ้างยัง ที่สำคัญกว่าทุกข้อด้านบนคือ เราเป็นคนดี และเราก็มั่นใจว่าเราเป็นคนดี อย่างน้อยก็ไม่เคยลักทรัพย์ (4 ข้อที่เหลือ เราเคยหลงทำมาบ้างแต่ไม่ร้ายแรงนะ จริงๆ) ตอนนี้พยายามทำให้ได้ทั้ง 5 ข้อ ซึ่งก็กำลังไปได้ดีทีเดียว เหลือก็แต่ข้อ 1 ห้ามฆ่าสัตย์นี่แหล่ะ... คือมดแดงมันชอบไต่เสาขึ้นมาทำรังบนห้อง เราก็เลยต้องเอาชอล์คขาวขีดทับบนตัวพวกมันและโรยผงๆ บนทางเดินลำเลียงอาหาร เฮ้อ! อโหสิกรรมเถอะนะมดจ๋า เราจำเป็นจริง มันเจ็บและคันมากนะ หลายครั้งที่ผิวหนังเราและสามีเป็นตุ่มแดงบวมขึ้น เราก็จะเกาจนถลอกและกลายเป็นแผลในที่สุด ถ้าเป็นไปได้เราก็อยากอยู่ใครอยู่มัน งั้นขอเตือน “อย่าขึ้นมาอีก” (โหดเมพๆ) เอาหล่ะนอกเรื่องไปหามดแดงแล้ว ขออนุญาตเล่าย้อนกลับไปตอนเราและสามีเริ่มคบกันซักหน่อยพอให้ทุกคนเข้าใจและรู้ว่าเราเป็นใคร มาจากสวรรค์ชั้นไหนก่อนนะ โอเค้ ถือว่าอนุญาตแล้ว เล่าล่ะนะ พอเรียนจบจากมหา’ลัยเอกชน (เราเรียนนานาชาติด้วยนะ รวยและเก่ง อิอิ) แห่งหนึ่งในกรุงเทพ เราก็ได้ทำงานเลย อันที่จริงก็ทำงานมาตลอดแหล่ะ เพราะเป็นคนที่ไม่ชอบอยู่นิ่ง (ลักษณะคล้ายลิงนั่นเอง มั้ง) ลักษณะนิสัยเป็นคนยิ้มง่าย ชอบพูดคุย ชอบแหย่ ชอบแกล้ง ชอบเงิน ชอบทอง ชอบของสวยๆงามๆ ชอบผู้ชายรวยๆ เอ้ย.. อันหลังก็ใช่อยู่ ใช่ที่สุดแหล่ะ แต่ไม่ได้ๆ เราต้องมั่นคงซิ เราต้องอยู่กับปัจจุบัน ซื่อสัตย์กับสามีที่รักของเรา .....หลังจากเรียนจบปริญญาตรีก็ตั้งหน้าตั้งตาทำงานอยู่ในบริษัทสัญชาติมะกันอยู่หลายเดือน (เป็นเดือนเท่านั้นแหล่ะไม่ต้องคิดถึงปีหรอก) งานที่เราได้รับมอบหมายที่นี่คือ การดูแลลูกค้าสมาชิกจากทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก คือเราต้องขอถล่มตัวนิดนึงว่า เป็นคนที่มีความสมารถทางด้านการใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารค่อนข้างดีมาก สำเนาะสำเนียงไพเราะน่าฟัง เพราะต้องใช้สื่อสารตล้อดตล้อดในชีวิตประจำวัน อีกทั้งงานที่ทำบังคับให้ต้องยุ่งเกี่ยวกับภาษาต่างประเทศเป็นประจำ ...ชมตัวเองมากไปแล้วมั้งเนี่ย (บังคับให้ใช้วิจารณญาณในการอ่านอย่างมากกกก) อ้อ ลืมบอกไปว่าบริษัททำเกี่ยวกับการพัฒนาการท่องเที่ยวให้กับทั่วโลก ว้าวววเป็นบริษัทค่อนข้างใหญ่ทีเดียวซิ ใช่! เพราะมีหลายสาขาทั่วโลก เราก็ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งใหญ่โตอะไรหรอก เข้าไปเป็นพนักงานทั่วไปและก็ เด็กสุดด้วย (ทุกคนที่นี่เป็นผู้จัดการหมดอ่ะ เพราะทำกันมานานหลายสิบปีแล้ว) ทำงานที่นี่มาได้ประมาณ 7 เดือน อืมมม..น่าจะประมาณนั้น ก็ขอออก ด้วยเหตุผลที่ว่าอยากหาประสบการณ์ใหม่ๆ (แหน่ะ! เหมือนตะเองล่ะซิ เวลาจะหางานใหม่อ่ะ) พอออกมาได้ก็เดินหน้าหางานใหม่ทันที งานที่มองไว้คืองานขาย เพราะรายได้ดี มีทั้งเงินเดือน ค่าคอมฯ ค่าเดินทาง (หร๋อ) บวกกับเป็นคนชอบงานที่ได้พบปะผู้คนเยอะๆ และชอบเดินทางไปโน่นนั่นนี่ตลอด เลยคิดว่างานประเภทนี้แหล่ะที่จะตอบสนองความต้องการเราได้ คุณผู้อ่านหลายคนที่เคยลาออกจากงานเดิม...ความหมายคือตกงานแหล่ะ มาอยู่บ้าน วันทั้งวันก็จะเก่งคอมพ์ฯไปโดยอัตโนมัตินะ เพราะว่าต้องนั่งอยู่หน้าคอมพ์ เพื่อหาตำแหน่งงานว่าง และความเชี่ยวชาญเรื่องการพิมพ์สัมผัสก็เริ่มดีขึ้นๆ อย่างเห็นได้ชัดหลังจากที่ทิ้งความชำนาญอันน้อยนิดไว้ให้รุ่นน้องที่โรงเรียนไปหลายรุ่นแล้วเพราะต้องนั่งกรอกประวัติลงบนหน้าเว็บไซต์ของหลาย(สิบ) บริษัทต่อวัน เราก็พัฒนาการดีขึ้นมากและก็มีหลายบริษัทโทรมานัดสัมภาษณ์.... โอ้วววว ติดกับตูแล้ว ฮ่าฮ่า (เราติดกับเค้าหรือป่าวหว่า) แล้วก็เป็นอย่างที่เราคิด (ไม่บอกหรอก ว่าคิดอะไร หึ) มีบริษัทนึงอยู่แถวสุขุมวิท 21 ก็โทรมาตื้อเราหลายรอบ เราจึงตัดสินใจไปสัมภาษณ์และได้ทำงานที่นี่ ลักษณะงานตรงกับที่เราคิดไว้เป๊ะเว่อร์ การันตีเงินเดือนไม่ต่ำกว่า 30000 บาท ถ้าขยัน ว้าวววว เราเป็นคนขยัน ได้มากกว่านี้ชัวร์ (คิดในใจ อยู่นะ) จึงตัดสินใจทำ
3 วันแรกทางบริษัทจัดการอบรมการทำงานให้ ต้องทำอะไรบ้าง เข้างานกี่โมง จะต้องเดินทางไปไหนบ้าง และแนะนำวัฒนธรรมองค์กรเหมือนที่อื่นแหล่ะ เราก็ตั้งหน้าตั้งตาจดและจำในสิ่งที่พี่ๆวิทยากรสอนสั่ง บอกนิดนึงว่าจำนวนพนักงานที่นี่ค่อนข้างมากพอสมควรและมีทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่เด็กยังเรียนอยู่ จบใหม่ วัยรุ่น วัยทำงานจนถึงอายุใกล้เกษียร เข้าไปครั้งแรก โอ้โห๋มีแต่โปรเฟสชั่นแนลอ่ะ แต่พออยู่ไป เอ้าเราก็เป็นโปรฯกะเค้าได้แฮะ เพราะสัปดาห็แรกก็หาเงินได้เป็นหมื่น (ตาเป็นประกาย กระหายเงินมาก) ลืมบอกไปว่าที่นี่เค้าจ่ายเงินเป็นสัปดาห์ ก็คือหาเงินสัปดาห็ชนสัปดาห์เลย ดูรวยดีเนอะ ระหว่างนั้นผลงานเราก็ไปสะดุดตาสะกิดใจของใครคนนึงเข้า โดยที่จริงๆเราก็แอบรู้ตัวนิดๆว่าพี่เค้าแอบชอบเราชัวร์ (งัยล่ะ ความหลงตัวเองยังติดแน่น) แต่เราไม่สนใจเพราะมีแฟน (เก่า) อยู่แล้ว เห็นสวยๆก็เป็นคนรักเดียว รักใครรักจริงไม่ทิ้งนะจ๊ะขอบอก เพราะฉะนั้นอย่ามาตื้อให้เหนื่อย แต่เคยได้ยินใช่มั้ย ว่ารักแท้อ่ะ มันแพ้ใกล้ชิด เฮ้ยเอาล่ะหว่าทำไมเราได้ออกสนามกับพี่เค้าบ่อยจังวะ เค้าดูแลเราดีมากอ่ะ เอาใจเก่งโครต เฮ้ยๆ อย่าใจอ่อน เราต้องบอกกับตัวเองตลอดนะ(นี่ขนาดรักเดียวนะ) แต่ไม่มีผลหรอก เราไม่เปลี่ยนใจจากแฟนเราอยู่แล้ว เรารักแฟนเก่าเราคนเดียว ถึงขนาดวางแพลนชีวิตไว้เลยว่าจะหมั้นตอนไหน แต่งงานเมื่อไหร่ มีลูกกี่คนอย่างนั้นเลย เราเชื่อว่าผู้หญิงส่วนใหญ่ต้องเคยมีความคิดแบบเรานี่แหล่ะ และจะเลิกคิดไปเองเมื่อเจอคนใหม่หรือเปลี่ยนแฟนนั่นแหล่ะ หลังจากนั้นเราก็ตีตัวออกห่างกับพี่คนที่ทำงานด้วยคนนี้ และไม่มีความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงความรู้สึกจากเพื่อนร่วมงานเป็นอย่างอื่นที่ลึกซึ้งได้มากว่านี้แน่นอน งานที่ทำต้องเดินทางไปต่างจังหวัดบ่อย คือ 1 สัปดาห์อยู่กรุงเทพฯ 1 สัปดาห์อยู่ต่างจังหวัดแบบนี้ตลอดการทำงานที่นี่ (ซึ่งก็ไม่ได้นานอะไรมาก) ทำงานอยู่ที่นี่มาประมาณ 4 เดือนก็มีความคิดอยากเปลี่ยนงานใหม่ เพราะเริ่มเหนื่อยกับการทำงานที่ไม่ได้อยู่กับที่เลย (เอ้านังนี่เรื่องมากจริง..ไหนบอกชอบงานที่ต้องเดินทางไปโน่นนั่นนี่) อันที่จริงเพราะชีวิตเริ่มมีปัญหาความรักขึ้น ความสัมพันธ์กับแฟนเก่าส่อแววขาดสะบั้นมาตั้งแต่มาทำงานที่นี่ นี่เราไม่ได้กำลังโทษงานที่เราเลือกทำนะ แต่การทะเลาะวิวาทส่วนใหญ่มาจากคำพูดของแฟนเก่าที่ต่อว่าเราเสียๆหายๆว่าเรามันฉลาดน้อย อย่างงั้นอย่างงี้ เรียนจบมาขนาดนี้ (ขนาดไหนวะ ได้ข่าวก็แค่ปริญญาตรี) ทำไมถึงคิดสั้นมาทำงานข้างถนน นั่งในห้องแอร์เย็นๆก็ดีอยู่แล้ว...ในใจเราคิดต่อต้านมันตลอด ประมาณว่านั่งในห้องแอร์แล้วไง ความเย็นมันไม่ช่วยให้ตูรวยได้นะ...(แค่คิดนะ ไม่กล้าพูดออกมาหรอก) หลังจากความเห็นไม่ลงรอยกันอยู่ประมาณสองเดือน เราก็เริ่มทนไม่ไหว ที่เคยทนไม่ทนมันแล้ว วันนั้นจำได้ว่าไปทำงานอยู่แถวรามฯ ฝนก็ตก ด้วยลักษณะงานค่อนข้างกดดันอยู่แล้วเพราะยังไม่ได้ลูกค้าเลย (พูดให้เข้าใจง่าย คือยังไม่ได้ยอดเลย) แล้วอีกประเดี๋ยวก็ต้องกลับเข้าไปประชุมสรุปงานที่อ็อฟฟิต ซึ่งต้องกินเวลานอนเราไปหลายชั่วโมงทีเดียว เรื่องเวลาที่จะมีให้แฟน(เก่า) ยิ่งไม่ต้องจินตนาการถึงเลย จึงเป็นปัญหาจนมันลามมาเป็นความบาดหมางในที่สุด
ระหว่างนั่งแท็กซี่กลับเข้าอ็อฟฟิต มือก็ถือโทรศัพท์คุยไปสะอื้นไห้ไปพร้อมทั้งง้อถามแฟนว่าเราผิดอะไร โกรธอะไรเรา ถึงได้มาบอกเลิกเรา หิวก็หิว โทษนะ ลืมไปว่ามีสายตาหลายคู่ของเพื่อนร่วมงานที่ไปด้วยกันรวมทั้งพี่คนขับแท็กซี่ ซึ่งจ้องมองเราผ่านทางกระจกมองหลัง พี่เค้าคงกำลังนึกว่าเราเป็นอะไรมากมั้ย นั่งถ่ายมิวสิควิดีโออยู่ได้ ที่นี่ไม่ใช่สตูดิโอ อะไรทำนองนั้น พี่ๆเค้าก็ช่วยปลอบใจเรากันใหญ่ อารมณืนั้นไม่มีกะจิตกะใจกลับไปเจอใครที่ทำงานหรอกเอาจริงๆ แต่ต้องไปเพราะเรามีสปิริต อิอิ ที่จริงไม่ใช่หรอก...ที่ไปเพราะเค้าบังคับว่าต้องเข้าทุกคน ไม่งั้นจะบลาๆๆๆๆ....นั่นแหล่ะ (แอบว่าวันต่อมาอาจจะโดนประจานให้อายต่อหน้าคนอื่นอะไรทำนองนั้น) ไปถึงอ็อฟฟิตเราต้องทำตัวทำใจให้เข้มแข็งแล้ว เราจะมาเศร้าเป็นนางเอกไม่มีใครสนใจหรอก เพราะที่นี่ไม่มีพระเอก (พระเอกเค้าทิ้งแกไปแล้ว ฮือๆ) แต่มีพี่คนนึงแฮะ....ก็คนที่เราพูดถึงก่อนหน้าคนนั้นแหล่ะ เค้าแอบมองเราอยู่ไกลๆ ขณะนั่งประชุมสรุปงาน (อันที่จริงคือฟังเทศฯ ที่เราใช้เวลางานออกไปข้างนอกแล้วไม่มียอด หรือทำงานไม่ประสบความสำเร็จแหล่ะ) เคยมั้ยเวลาที่มีอะไรสักสิ่งหรือสายตาใครสักคนจ้องมองเราอยู่ เราจะรู้สึกได้ว่าเราไม่ได้อยู่คนเดียว...เอาแล้วไง ชัวร์มีคนมองเราอยู่ ทันใดนั้น เราก็รีบหมุนศีรษะไปทางที่เรามีความรู้สึกวูบวาบนั้น เราเห็นพี่คนนั้นที่เราพยายามหลบหน้า เค้ารีบก้มหน้าลงมองระหว่างขา...เอ่อ คือขออธิบายนิดว่าระหว่างขาพี่แกมีสมุดบันทึกเล่มเล็กๆที่ถืออยู่ในมือเพื่อจดรายละเอียดหรือข้อความที่หัวหน้ากำลังพล่าม เอ้ย! พูดอยู่นั่นเอง เราเองก็เขิล เฮ้ย! เรารู้สึกเขิลหรือนี่ (อ่านต่อหน้า 2)