หมายเหตุ : รีวิวนี้เป็นความเห้นส่วนตัวของผมเอง หากมีอะไรผิดพลาด
หรือสปอยล์โดยไม่ตั้งใจก็ขออภัยด้วยนะครับ
ไปชมมาเป็นที่เรียบร้อยครับสำหรับภาพยนต์ฉายเดี่ยวเรื่องใหม่
ของพี่เตี้ยวูฟเวอร์รีน ที่คราวนี้ผผมต้องขอบอกเลยว่าผมไปดูด้วย
ความไม่คาดหวังอะไรมากจริงๆ เพราะเคยผิดหวังอย่างรุนแรงมา
แล้วใน
X-Men Origins : Wolverrine ที่เล่นเอาซะหน้ามืดเลย
ตอนดู ...แต่กับ The Wolverine นั้นไม่เป็นแบบนั้นครับ เพราะ
หนังถือว่าเยี่ยมมากสำหรับการเล่าเรื่องผู้ชายที่ชื่อว่า
"โลแกน"
(ฮิวค์ แจ็คแมน) คนนี้อย่างเต็มๆ
ก่อนจะเข้าเรื่อง ผมขอตอบคำถามที่จะตามมา
2 ข้อก่อนล่วงหน้านะครับว่า
ถาม : หนังภาคนี้ยังคงเป็นเส้นเรื่องในจักรวาลเดียวกับหนังเรื่องอื่นๆหรือเปล่า?
ตอบ : ยังอยู่ในจักรวาลเดียวกันกับ X-Men ทุกภาคครับ
ถาม : แล้วสรุปเรื่องราวในภาคนี้ต่อเนื่องมาจากหนังภาคไหนกันแน่?
ตอบ : เป็นเนื้อหาหลังจากหนัง X-Men ทุกภาคที่เคยฉายมาครับ
ฉะนั้นในทางที่ดีหากท่านที่ยังไม่เคยดู X-Men ซักภาคเดียว
ก็ขอให้ดูครบทุกภาคเลยนะครับ
เข้าเรื่องแล้ว ...หนัง The Wolverine เรื่องนี้เป็นหนังที่ทำทุกอย่างออก
มาได้ดีและลงตัวมาก เพราะหนังไม่สร้างเนื้อหาและโทนหนัง ให้ซ้ำกับ
หนัง X-Men เรื่องอื่นๆ แต่จะเล่าเรื่องในมุมมองที่ใหม่และไม่ซ้ำซาก
และลบจุดอ่อนของหนัง X-Men Origins ที่เล่าเรื่องที่เคยเล่าไปแล้ว
ในหนัง X-Men 2 ด้วยการพาผู้ชมไปเจอสิ่งแปลกใหม่ของโลแกนที่เรา
ยังไม่เคยเห็นมาก่อน หรือไม่ก็เห็นมาแล้ว แต่อาจจะยังไม่ได้สำผัสด้าน
อื่นๆชองโลแกนมากนัก ซึ่งหนังภาคนี้ก็จัดให้เต็มๆ
ด้วยความที่เนื้อหาทั้งเรื่องเกิดขึ้นที่ญี่ปุ่น ทำให้เราได้เห็นโลแกนไปอยู่
ท่ามกลางสถานที่และวัฒนธรรมที่ตนเองไม่คุ้นเคย ผู้กำกับ
เจมส์ แมนโกลด์
สร้างภาพญี่ปุ่นในหนังของเขาในทางที่ดีและทำด้วยความเคารพ ทำให้เรา
ได้เห็นการเคารพขนบประเพณี และศักดิ์ศรีแบบญี่ปุ่นออกในในทางที่สวย
งามมาก ทำให้หนังภาคนี้มีกลิ่นอายความเป็นเอเชียมากกว่าทุกๆภาค
และมีอารมรณ์เศร้า เหงา แค้น ที่สวยงาม
ซึ่งแม้เนื้อหาในหนังจะดัดแปลงมาจากคอมิคชุด Wolverine 4 Limited Series
ของ แฟรงค์ มิลเลอร์ แต่หนังก็ไม่ได้เล่นตามการ์ตูนเป๊ะ แต่ปรับเปลี่ยนไป
ตามความเหมาะสมของเนื้อหา ซึ่งทำให้หนังสามารถใส่อะไรใหม่ๆเข้าไปได้
เป็นอย่างดี สิ่งที่ผมชอบมากๆในหนังภาคนี้คือ การได้เห็นโลแกนในมุมที่ต่าง
ออกไป เช่น การที่เขาเสียพลัง Healing Factor ของตัวเองไปจนทำให้โลแกน
ได้สำผัสความรู้สึกเจ็บปวดแบบคนธรรมดาเป็นครั้งแรกในชีวิต, ได้เห็นโลแกน
ได้เข้าไปสำผัสวัฒนธรรมญี่ปุ่น หรือการได้เห็นโลแกนพร่ำเพ้อถึงอดีตอันเจ็บ
ปวดจากการตายของจีน เกรย์ (อันนี้ขอบอกด้วยความคิดถึงว่า เฟมเก้ เจนเซ่น
สวยไม่สร่างเลย แฮ่ๆ) ที่สำคัญคือโลแกนต้องบู๊แบบเสียเลือดเสียเนื้อมากที่สุด
ตั้งแต่เคยมีมาเลยทีเดียว
ขอพูดถึงตัวละครหญิงสองสาวบ้าง ...เริ่มจากนางเอกที่เปรียบเป็นดั่งดอกไม้
งามหนึ่งเดียวของเรื่อง
"มาริโกะ" (โอกาโมโตะ ทาโอะ) ที่ยอมรับว่าเป็นสาว
สวยที่น่าหลงใหลจริงๆ มีสเน่ห์แบบสาวเอเชียที่น่าถนุถนอม แต่ภายในความ
อ่อนโยนนั้น แววตาของเธอก็มีความเข้มแข็งอยู่ในภายใน ทำให้ผมเชื่อว่า
ผู้ชายทุกคนจะต้องหลงสเน่ห์เธอกันหมดแน่ๆ เพราะยอมรับว่าเวลาเธออยู่บนจอ
มันช่างละสายตาไปจากเธอไม่ได้จริงๆ >///<
หากมาริโกะเป็นดอกไม้งาม ก็มีดอกไม้เหล็กอีกนางหนึ่งที่โดดเด่นไม่แพ้
กันนั่นคือ "ยูกิโอะ" (ริล่า ฟุกิชิมะ) สาวน้อยผมแดงสุดแกร่งที่เป็นเหมือน
กับคู่หู และเพื่อนคนเดียวของโลแกนในญี่ปุ่น ที่ดูจากเทรลเลอร์หรือ
ภาพนิ่งอาจจะงั้นๆ แต่พออยู่ในหนังแล้ว ด้วยบทของเธอทำให้เธอดู
มีเสน่ห์ในแบบ exotic มาก ผมชอบโมเมนต์น่ารักๆเวลาเธออยู่กับ
โลแกนครับ ให้ความรู้สึกเหมือนพี่ชายกับน้องสาวเลย
ส่วนเหล่าร้ายในหนังก็มีจุดเด่นที่ชัดเจนและมีเอกลักษณ์ในตัวเองมาก
เช่นกัน อย่างวายร้ายสาวอสรพิษอย่าง
"ไวเปอร์" นั้นต้องขอ
บอกว่าเธอสวยมากไม่แพ้สองสาวยุ่นข้างบนเลย และมีความร้ายกาจ
ทั้งทางพลังพิเศษและสายตาที่ดุร้ายราวกับจะกลืนศัตรูลงไปทั้งตัวของ
เธอนั้น เล่นเอาผมปลื้มเลยเวลาเธอปรากฏตัวบนจอ ...ส่วนวายร้ายที่
แฟนๆคอมิคหลายคนอยากเห็นอย่าง
"ซิลเวอร์ ซามูไร" ...อันนี้ขอ
ไม่พูดถึงครับ เพราะมันจะสปอยล์หนัง แต่บอกได้ว่า เซอร์ไพรส์และ
คิดไม่ถึงจริงๆ ต้องไปติดตามเองในหนังเลยครับ
ส่วนฉากแอ็คชั่นนั้นหายห่วงครับ บู๊แบบจัดเต็มตลอดทั้งเรื่องแน่นอน
และผมขอยกให้เป็นหนังซุปเปอร์ฮีโร่ที่ฉากแอ็คชั่นมันส์ที่สุดในปีนี้
ไปเลยครับ เพราะด้วยสไตส์การต่อสู้ในแบบต่างๆที่ทั้งเท่ห์ และสวย
งามในคราวเดียว ด้วยสเน่ห์การต่อสู้แบบตะวันออกของคนธรรมดาๆ
ไม่ใช่มิวแทนท์แบบที่ผ่านๆมา ..ไม่ว่าจะเป็นการบู๊ด้วยกรงเล็บคู่ใจของ
โลแกนที่ยังเจ๋งไม่เปลี่ยน, ลีลาการวาดดาบสุดพริ้วไหวของยูกิโอะ
ในการจัดการกับศัตรูนั้นทำออกมาได้สนุกและลื่นไหลมาก และที่ผม
นำเสนอเลยก็คือ ฉากการต่อสู้บนรถไฟด้วยความเร็วนั้น
ทำออกได้สนุกตื่นเต้นมากๆครับ
แต่ถ้าจะมีข้อเสียหนังเองก็มีจุดบกพร่องเหมือนกัน โดยเฉพาะการเล่า
เรื่องที่ไม่ชัดเจนในบางจุดของหนัง เช่น ที่มาที่ไปของไวเปอร์ที่ไม่
ชัดเจน หรือไม่ก็พลังของยูกิโอะ ที่ไม่ชัดเจนว่าเป็นพลังมิวแทนท์
หรือญาณทิพย์สำผัสที่หกกันแน่ (อันนี้อาจเป็นผมคนเดียวก็ได้ที่สงสัย 5555)
สรุปแล้วก็คือ The Wolverine คือหนังฉายเดี่ยวของพี่เตี้ยที่ออกมา
ยอดเยี่ยม สมศักดิ์ศรีมิวแทนท์พันธุ์ระห่ำมากแบบไม่มีผิดหวังเลยครับ
เพราะหนังเรื่องนี้ได้คลายปมที่ตกค้างในภาคก่อนๆของโลแกน
และใส่เรื่องราวและอะไรใหม่ๆเข้าไป จนหนังออกมาล้างภาพ
อารมรณ์แบบ X-Men ไปหมดสิ้น กลายหนังวูฟเวอร์รีนที่สนุก
และเป็นหนังแอ็คชั่นสุดเจ๋งที่แฟนๆ ห้ามพลาดเป็นอันขาดครับ
คะแนน : B+
ปล.ท้ายเครดิตมีฉากที่เชื่อมไปสู่ X-Men Days of Future Past ครับ
แต่เป็นฉากอะไรนั้นต้องไปติดตามดูกันเองเด้อ ^
LKPP Review : The Wolverine (2013), "ลืมความหลังครั้ง X-Men Origins ไปได้เลย!!!!"
หรือสปอยล์โดยไม่ตั้งใจก็ขออภัยด้วยนะครับ
ไปชมมาเป็นที่เรียบร้อยครับสำหรับภาพยนต์ฉายเดี่ยวเรื่องใหม่
ของพี่เตี้ยวูฟเวอร์รีน ที่คราวนี้ผผมต้องขอบอกเลยว่าผมไปดูด้วย
ความไม่คาดหวังอะไรมากจริงๆ เพราะเคยผิดหวังอย่างรุนแรงมา
แล้วใน X-Men Origins : Wolverrine ที่เล่นเอาซะหน้ามืดเลย
ตอนดู ...แต่กับ The Wolverine นั้นไม่เป็นแบบนั้นครับ เพราะ
หนังถือว่าเยี่ยมมากสำหรับการเล่าเรื่องผู้ชายที่ชื่อว่า "โลแกน"
(ฮิวค์ แจ็คแมน) คนนี้อย่างเต็มๆ
ก่อนจะเข้าเรื่อง ผมขอตอบคำถามที่จะตามมา
2 ข้อก่อนล่วงหน้านะครับว่า
ถาม : หนังภาคนี้ยังคงเป็นเส้นเรื่องในจักรวาลเดียวกับหนังเรื่องอื่นๆหรือเปล่า?
ตอบ : ยังอยู่ในจักรวาลเดียวกันกับ X-Men ทุกภาคครับ
ถาม : แล้วสรุปเรื่องราวในภาคนี้ต่อเนื่องมาจากหนังภาคไหนกันแน่?
ตอบ : เป็นเนื้อหาหลังจากหนัง X-Men ทุกภาคที่เคยฉายมาครับ
ฉะนั้นในทางที่ดีหากท่านที่ยังไม่เคยดู X-Men ซักภาคเดียว
ก็ขอให้ดูครบทุกภาคเลยนะครับ
เข้าเรื่องแล้ว ...หนัง The Wolverine เรื่องนี้เป็นหนังที่ทำทุกอย่างออก
มาได้ดีและลงตัวมาก เพราะหนังไม่สร้างเนื้อหาและโทนหนัง ให้ซ้ำกับ
หนัง X-Men เรื่องอื่นๆ แต่จะเล่าเรื่องในมุมมองที่ใหม่และไม่ซ้ำซาก
และลบจุดอ่อนของหนัง X-Men Origins ที่เล่าเรื่องที่เคยเล่าไปแล้ว
ในหนัง X-Men 2 ด้วยการพาผู้ชมไปเจอสิ่งแปลกใหม่ของโลแกนที่เรา
ยังไม่เคยเห็นมาก่อน หรือไม่ก็เห็นมาแล้ว แต่อาจจะยังไม่ได้สำผัสด้าน
อื่นๆชองโลแกนมากนัก ซึ่งหนังภาคนี้ก็จัดให้เต็มๆ
ด้วยความที่เนื้อหาทั้งเรื่องเกิดขึ้นที่ญี่ปุ่น ทำให้เราได้เห็นโลแกนไปอยู่
ท่ามกลางสถานที่และวัฒนธรรมที่ตนเองไม่คุ้นเคย ผู้กำกับ เจมส์ แมนโกลด์
สร้างภาพญี่ปุ่นในหนังของเขาในทางที่ดีและทำด้วยความเคารพ ทำให้เรา
ได้เห็นการเคารพขนบประเพณี และศักดิ์ศรีแบบญี่ปุ่นออกในในทางที่สวย
งามมาก ทำให้หนังภาคนี้มีกลิ่นอายความเป็นเอเชียมากกว่าทุกๆภาค
และมีอารมรณ์เศร้า เหงา แค้น ที่สวยงาม
ซึ่งแม้เนื้อหาในหนังจะดัดแปลงมาจากคอมิคชุด Wolverine 4 Limited Series
ของ แฟรงค์ มิลเลอร์ แต่หนังก็ไม่ได้เล่นตามการ์ตูนเป๊ะ แต่ปรับเปลี่ยนไป
ตามความเหมาะสมของเนื้อหา ซึ่งทำให้หนังสามารถใส่อะไรใหม่ๆเข้าไปได้
เป็นอย่างดี สิ่งที่ผมชอบมากๆในหนังภาคนี้คือ การได้เห็นโลแกนในมุมที่ต่าง
ออกไป เช่น การที่เขาเสียพลัง Healing Factor ของตัวเองไปจนทำให้โลแกน
ได้สำผัสความรู้สึกเจ็บปวดแบบคนธรรมดาเป็นครั้งแรกในชีวิต, ได้เห็นโลแกน
ได้เข้าไปสำผัสวัฒนธรรมญี่ปุ่น หรือการได้เห็นโลแกนพร่ำเพ้อถึงอดีตอันเจ็บ
ปวดจากการตายของจีน เกรย์ (อันนี้ขอบอกด้วยความคิดถึงว่า เฟมเก้ เจนเซ่น
สวยไม่สร่างเลย แฮ่ๆ) ที่สำคัญคือโลแกนต้องบู๊แบบเสียเลือดเสียเนื้อมากที่สุด
ตั้งแต่เคยมีมาเลยทีเดียว
ขอพูดถึงตัวละครหญิงสองสาวบ้าง ...เริ่มจากนางเอกที่เปรียบเป็นดั่งดอกไม้
งามหนึ่งเดียวของเรื่อง "มาริโกะ" (โอกาโมโตะ ทาโอะ) ที่ยอมรับว่าเป็นสาว
สวยที่น่าหลงใหลจริงๆ มีสเน่ห์แบบสาวเอเชียที่น่าถนุถนอม แต่ภายในความ
อ่อนโยนนั้น แววตาของเธอก็มีความเข้มแข็งอยู่ในภายใน ทำให้ผมเชื่อว่า
ผู้ชายทุกคนจะต้องหลงสเน่ห์เธอกันหมดแน่ๆ เพราะยอมรับว่าเวลาเธออยู่บนจอ
มันช่างละสายตาไปจากเธอไม่ได้จริงๆ >///<
หากมาริโกะเป็นดอกไม้งาม ก็มีดอกไม้เหล็กอีกนางหนึ่งที่โดดเด่นไม่แพ้
กันนั่นคือ "ยูกิโอะ" (ริล่า ฟุกิชิมะ) สาวน้อยผมแดงสุดแกร่งที่เป็นเหมือน
กับคู่หู และเพื่อนคนเดียวของโลแกนในญี่ปุ่น ที่ดูจากเทรลเลอร์หรือ
ภาพนิ่งอาจจะงั้นๆ แต่พออยู่ในหนังแล้ว ด้วยบทของเธอทำให้เธอดู
มีเสน่ห์ในแบบ exotic มาก ผมชอบโมเมนต์น่ารักๆเวลาเธออยู่กับ
โลแกนครับ ให้ความรู้สึกเหมือนพี่ชายกับน้องสาวเลย
ส่วนเหล่าร้ายในหนังก็มีจุดเด่นที่ชัดเจนและมีเอกลักษณ์ในตัวเองมาก
เช่นกัน อย่างวายร้ายสาวอสรพิษอย่าง "ไวเปอร์" นั้นต้องขอ
บอกว่าเธอสวยมากไม่แพ้สองสาวยุ่นข้างบนเลย และมีความร้ายกาจ
ทั้งทางพลังพิเศษและสายตาที่ดุร้ายราวกับจะกลืนศัตรูลงไปทั้งตัวของ
เธอนั้น เล่นเอาผมปลื้มเลยเวลาเธอปรากฏตัวบนจอ ...ส่วนวายร้ายที่
แฟนๆคอมิคหลายคนอยากเห็นอย่าง "ซิลเวอร์ ซามูไร" ...อันนี้ขอ
ไม่พูดถึงครับ เพราะมันจะสปอยล์หนัง แต่บอกได้ว่า เซอร์ไพรส์และ
คิดไม่ถึงจริงๆ ต้องไปติดตามเองในหนังเลยครับ
ส่วนฉากแอ็คชั่นนั้นหายห่วงครับ บู๊แบบจัดเต็มตลอดทั้งเรื่องแน่นอน
และผมขอยกให้เป็นหนังซุปเปอร์ฮีโร่ที่ฉากแอ็คชั่นมันส์ที่สุดในปีนี้
ไปเลยครับ เพราะด้วยสไตส์การต่อสู้ในแบบต่างๆที่ทั้งเท่ห์ และสวย
งามในคราวเดียว ด้วยสเน่ห์การต่อสู้แบบตะวันออกของคนธรรมดาๆ
ไม่ใช่มิวแทนท์แบบที่ผ่านๆมา ..ไม่ว่าจะเป็นการบู๊ด้วยกรงเล็บคู่ใจของ
โลแกนที่ยังเจ๋งไม่เปลี่ยน, ลีลาการวาดดาบสุดพริ้วไหวของยูกิโอะ
ในการจัดการกับศัตรูนั้นทำออกมาได้สนุกและลื่นไหลมาก และที่ผม
นำเสนอเลยก็คือ ฉากการต่อสู้บนรถไฟด้วยความเร็วนั้น
ทำออกได้สนุกตื่นเต้นมากๆครับ
แต่ถ้าจะมีข้อเสียหนังเองก็มีจุดบกพร่องเหมือนกัน โดยเฉพาะการเล่า
เรื่องที่ไม่ชัดเจนในบางจุดของหนัง เช่น ที่มาที่ไปของไวเปอร์ที่ไม่
ชัดเจน หรือไม่ก็พลังของยูกิโอะ ที่ไม่ชัดเจนว่าเป็นพลังมิวแทนท์
หรือญาณทิพย์สำผัสที่หกกันแน่ (อันนี้อาจเป็นผมคนเดียวก็ได้ที่สงสัย 5555)
สรุปแล้วก็คือ The Wolverine คือหนังฉายเดี่ยวของพี่เตี้ยที่ออกมา
ยอดเยี่ยม สมศักดิ์ศรีมิวแทนท์พันธุ์ระห่ำมากแบบไม่มีผิดหวังเลยครับ
เพราะหนังเรื่องนี้ได้คลายปมที่ตกค้างในภาคก่อนๆของโลแกน
และใส่เรื่องราวและอะไรใหม่ๆเข้าไป จนหนังออกมาล้างภาพ
อารมรณ์แบบ X-Men ไปหมดสิ้น กลายหนังวูฟเวอร์รีนที่สนุก
และเป็นหนังแอ็คชั่นสุดเจ๋งที่แฟนๆ ห้ามพลาดเป็นอันขาดครับ
คะแนน : B+
ปล.ท้ายเครดิตมีฉากที่เชื่อมไปสู่ X-Men Days of Future Past ครับ
แต่เป็นฉากอะไรนั้นต้องไปติดตามดูกันเองเด้อ ^