"ความรักนั้นก็อดทนนานและกระทำคุณให้ ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย
ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด ไม่ชื่นชมยินดีเมื่อมีการประพฤติผิด
แต่ชื่นชมยินดีเมื่อประพฤติชอบ ความรักทนได้ทุกอย่างแม้ความผิดของคนอื่น และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ
และมีความหวังอยู่เสมอ และทนต่อทุกอย่าง
ความรักไม่มีวันสูญสิ้น แม้การเผยพระวจนะก็จะเสื่อมสูญไป แม้การพูดภาษาแปลกๆนั้น ก็จะมีเวลาเลิกกัน
แม้วิชาความรู้ก็จะเสื่อมสูญไป เพราะความรู้ของเรานั้นไม่สมบูรณ์ และการเผยพระวจนะนั้นก็ไม่สมบูรณ์
แต่เมื่อความสมบูรณ์มาถึงแล้ว ความบกพร่องนั้นก็จะสูญไป เมื่อข้าพเจ้ายังเป็นเด็ก ข้าพเจ้าพูดอย่างเด็ก
คิดอย่างเด็ก ใคร่ครวญหาเหตุผลอย่างเด็ก แต่เมื่อข้าพเจ้าเป็นผู้ใหญ่ ข้าพเจ้าก็เลิกอาการเด็กเสีย
เพราะว่าบัดนี้เราเห็นสลัวๆเหมือนดูในกระจก แต่เวลานั้นจะได้เห็นพระพักตร์ชัดเจน เดี๋ยวนี้ความรู้ของข้าพเจ้าไม่สมบูรณ์
เวลานั้นข้าพเจ้าจะรู้แจ้งเหมือนพระองค์ทรงรู้จักข้าพเจ้า ดังนั้นยังตั้งอยู่สามสิ่ง
คือความเชื่อ ความหวังใจ และความรัก แต่ความรักใหญ่ที่สุด"
1 โครินธ์ บทที่ 13 ข้อที่ 4-13
เมื่อพูดถึง “ความรัก” คริสเตียนหลายคนมักจะนึกถึงข้อพระคำ 1 โครินธ์ บทที่ 13 ข้อที่ 4-13 ที่อาจารย์เปาโลได้กล่าวถึงเรื่องความรัก อย่างไร ก็ตามเมื่อคริสเตียนหลายท่านได้อ่านพระธรรมหลายท่านต้อง ท้อถอย เพราะคิดว่าตนไม่สามารถทำตามแบบอย่างนิยามของ “ความรัก” ได้ แน่นอน โดยลักษณะของมนุษย์ที่เป็นคนบาปไม่สามารถทำได้ แต่สำหรับมนุษย์ที่ได้รับการยกโทษบาปโดยพระเยซูคริสต์และมีชีวิตที่เต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ “ความรัก” ดังกล่าวนี้สามารถเป็นไปได้ เพราะเนื่องจาก
ประการที่ 1 พระเยซูทรงเป็นแบบอย่างแห่ง “ความรัก”
พระเยซูทรงรักมนุษย์ จนกระทั่งยอมเสียสละชีวิตของพระองค์เองบนไม้กางเขน เพื่ออภัยบาปผิดให้กับมนุษย์ผู้ไม่น่ารักอย่างเราทั้งหลาย พระองค์ทรงเป็นต้นแบบแห่งความรักสำหรับผู้ที่เชื่อและวางใจในพระองค์ทุกคน พระเยซูอยู่ในเรา ดังนั้นเราสามารถที่จะรักอย่างที่พระองค์รักคนอื่นได้
ประการที่2.“ความรัก เป็นผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ประการแรก
ในพระธรรมกาลาเทียบทที่ 5 ข้อ 22 ได้กล่าวถึงผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ว่ามีดังนี้
“ฝ่ายผลของพระวิญญาณนั้น คือความรัก ความปลาบปลื้มใจ สันติสุข ความอดกลั้นใจ ความปรานี ความดี ความสัตย์ซื่อ ความสุภาพอ่อนน้อม การรู้จักบังคับตน”
“ความรัก” เป็นผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ที่เต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ สามารถมีความรักที่สอดคล้องกับพระธรรมอย่างไม่ยากเลย
ประการที่ 3 “ความรัก” มาจากการแสวงหาแผ่นดินและความชอบธรรมของพระเจ้า
คนในโลกนี้ส่วนใหญ่แสวงหาความรักอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ในพระเยซูได้กล่าวอย่างชัดเจนในพระธรรมมัทธิวบทที่ 6 ข้อ 33 ว่า
“แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้”
พระเยซูทรงรู้ว่ามนุษย์มีความต้องการเป็นที่รักและรักคนอื่น เคล๊ดลับก็คือ “ความรัก”มาจากพระเจ้า และผู้ที่ได้รับ คือผู้ที่แสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ “ก่อน”
โดย : ดร.ทะนุ วงศ์ ธนาธิกุล
ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ
ความรักแบบพระคริสต์
ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด ไม่ชื่นชมยินดีเมื่อมีการประพฤติผิด
แต่ชื่นชมยินดีเมื่อประพฤติชอบ ความรักทนได้ทุกอย่างแม้ความผิดของคนอื่น และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ
และมีความหวังอยู่เสมอ และทนต่อทุกอย่าง
ความรักไม่มีวันสูญสิ้น แม้การเผยพระวจนะก็จะเสื่อมสูญไป แม้การพูดภาษาแปลกๆนั้น ก็จะมีเวลาเลิกกัน
แม้วิชาความรู้ก็จะเสื่อมสูญไป เพราะความรู้ของเรานั้นไม่สมบูรณ์ และการเผยพระวจนะนั้นก็ไม่สมบูรณ์
แต่เมื่อความสมบูรณ์มาถึงแล้ว ความบกพร่องนั้นก็จะสูญไป เมื่อข้าพเจ้ายังเป็นเด็ก ข้าพเจ้าพูดอย่างเด็ก
คิดอย่างเด็ก ใคร่ครวญหาเหตุผลอย่างเด็ก แต่เมื่อข้าพเจ้าเป็นผู้ใหญ่ ข้าพเจ้าก็เลิกอาการเด็กเสีย
เพราะว่าบัดนี้เราเห็นสลัวๆเหมือนดูในกระจก แต่เวลานั้นจะได้เห็นพระพักตร์ชัดเจน เดี๋ยวนี้ความรู้ของข้าพเจ้าไม่สมบูรณ์
เวลานั้นข้าพเจ้าจะรู้แจ้งเหมือนพระองค์ทรงรู้จักข้าพเจ้า ดังนั้นยังตั้งอยู่สามสิ่ง
คือความเชื่อ ความหวังใจ และความรัก แต่ความรักใหญ่ที่สุด"
1 โครินธ์ บทที่ 13 ข้อที่ 4-13
เมื่อพูดถึง “ความรัก” คริสเตียนหลายคนมักจะนึกถึงข้อพระคำ 1 โครินธ์ บทที่ 13 ข้อที่ 4-13 ที่อาจารย์เปาโลได้กล่าวถึงเรื่องความรัก อย่างไร ก็ตามเมื่อคริสเตียนหลายท่านได้อ่านพระธรรมหลายท่านต้อง ท้อถอย เพราะคิดว่าตนไม่สามารถทำตามแบบอย่างนิยามของ “ความรัก” ได้ แน่นอน โดยลักษณะของมนุษย์ที่เป็นคนบาปไม่สามารถทำได้ แต่สำหรับมนุษย์ที่ได้รับการยกโทษบาปโดยพระเยซูคริสต์และมีชีวิตที่เต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ “ความรัก” ดังกล่าวนี้สามารถเป็นไปได้ เพราะเนื่องจาก
ประการที่ 1 พระเยซูทรงเป็นแบบอย่างแห่ง “ความรัก”
พระเยซูทรงรักมนุษย์ จนกระทั่งยอมเสียสละชีวิตของพระองค์เองบนไม้กางเขน เพื่ออภัยบาปผิดให้กับมนุษย์ผู้ไม่น่ารักอย่างเราทั้งหลาย พระองค์ทรงเป็นต้นแบบแห่งความรักสำหรับผู้ที่เชื่อและวางใจในพระองค์ทุกคน พระเยซูอยู่ในเรา ดังนั้นเราสามารถที่จะรักอย่างที่พระองค์รักคนอื่นได้
ประการที่2.“ความรัก เป็นผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ประการแรก
ในพระธรรมกาลาเทียบทที่ 5 ข้อ 22 ได้กล่าวถึงผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ว่ามีดังนี้
“ฝ่ายผลของพระวิญญาณนั้น คือความรัก ความปลาบปลื้มใจ สันติสุข ความอดกลั้นใจ ความปรานี ความดี ความสัตย์ซื่อ ความสุภาพอ่อนน้อม การรู้จักบังคับตน”
“ความรัก” เป็นผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ที่เต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ สามารถมีความรักที่สอดคล้องกับพระธรรมอย่างไม่ยากเลย
ประการที่ 3 “ความรัก” มาจากการแสวงหาแผ่นดินและความชอบธรรมของพระเจ้า
คนในโลกนี้ส่วนใหญ่แสวงหาความรักอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ในพระเยซูได้กล่าวอย่างชัดเจนในพระธรรมมัทธิวบทที่ 6 ข้อ 33 ว่า
“แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้”
พระเยซูทรงรู้ว่ามนุษย์มีความต้องการเป็นที่รักและรักคนอื่น เคล๊ดลับก็คือ “ความรัก”มาจากพระเจ้า และผู้ที่ได้รับ คือผู้ที่แสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ “ก่อน”
โดย : ดร.ทะนุ วงศ์ ธนาธิกุล
ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ