ออกตัวก่อนเลย(กลัวโดนด่า)ว่าไม่ได้เห็นด้วยกับจขกท.ทั้งสิ้นนะครับ และเห็นด้วยกับทั้งหมอและพยาบาล รวมถึงคนที่เคยใช้บริการโรงพยาบาลต่างๆว่าทั้งหมอและพยาบาลเป็นอาชีพที่เหนื่อยมาก แถมในบางเวลาคนก็มีจำกัดด้วย อะไรที่ทำเองได้ควรจะทำเอง
แต่ที่มาตั้งกระทู้ใหม่เพราะอยากแตกประเด็นออกมา เกี่ยวกับปัญหาที่ผมเคยเจอ และปัญหาที่สะท้อนออกมาจากกระทู้นั้นครับ
ผมคิดว่า ปัญหาทางด้านการแพทย์ในทุกวันนี้ คือปัญหาด้านการสื่อสารครับ
สังเกตไหมครับว่าในกระทู้นั้น มีทั้งเหตุผลต่างๆมากมายทั้งด้านทรัพยากรบุคคลและด้านการแพทย์
โอเคด้านทรัพยากรบุคคลพูดไปมันก็เหมือนแก้ตัว แล้วจะโทษกันไปมาไม่รู้จบ เดี๋ยวจะยาวไปถึงเรื่องสวัสดิการ อันนี้ขอละไว้
แต่ปัญหาด้านการแพทย์ เช่น การเบิกยา การที่พยาบาลต้องปรึกษาแพทย์ การเบิกอุปกรณ์ต่างๆ (เช่นรถนั่งถ่าย)
สิ่งเหล่านี้พยาบาลอาจจะไม่รู้ว่าต้องใช้ระยะเวลาเท่าไหร่ แต่ก็ควรจะแจ้งให้คนไข้และญาติได้ทราบว่า จะต้องใช้ระยะเวลาประมาณไหน
ผมขอยกคำตอบของจ่าพิชิตฯ DramaAddict (ที่เป็นหมอคนหนึ่ง) มาประกอบนะครับ
"อืม จขกท สงสัยว่าทำไมกะอีแค่ยาสวนก้นหรือยาระบาย ทำไมพยาบาลถึงให้ไม่ได้ ทำไมต้องรอรายงานแพทย์ตอนเช้าด้วย เพราะแม่ จขกท เป็นไตวายครับ หรืออาจจะมีภาวะแทรกซ้อนอื่นด้วย การให้ยาระบายพวก milk of magnesium ในคนไข้ไตวาย "ถึงตาย" นะครับ การสวนก้นก็เหมือนกัน ถ้าคนไข้มีปัญหาเรื่องไต การสวนก้นด้วย unison enema นี่อันตรายครับ อาจทำให้น้ำเกินหรือเกลือแร่ผิดปรกติได้ ดังนั้นในเคสนี้พยาบาลน่าจะประเมินแล้วว่าแค่ปวดขี้ ไม่มีความผิดปรกติรุนแรงเร่งด่วน ก็เลยรอรายงานแพทย์ประจำวอร์ดตอนเช้า นับว่าทำดีแล้ว ถูกต้องแล้ว ถ้าเกิดไปสวนก้นให้คนไข้โดยพลการสิอันตราย ถึงตอนนั้น จขกท อาจจะตั้งกระทู้ชื่อ "ทำไมพยาบาลถึงสวนก้นให้แม่ผมที่เป็นโรคไตวายล่ะครับ" ก็เป็นได้
ปล.เรื่องแบบนี้อย่ามองว่าเป็นหน้าที่พยาบาลฝ่ายเดียวนะครับ
ญาติต้องช่วยๆกันดูแลคนไข้ระหว่างนอน รพ ด้วย
เพราะทุกวันนี้ปัญหาขาดแคลนพยาบาล โคตรรุนแรง
เผลอๆจะขาดหนักกว่าแพทย์ด้วยซ้ำ งานก็หนักบัดซบ
เงินเดือนก็นิดเดียว ไม่เข้าใจว่าทำงานกันไปได้ยังไง"
ปัญหาคือ ตอนนั้นพยาบาลทราบไหมว่าต้องปรึกษาแพทย์ ถ้าทราบ ได้แจ้งคนไข้และญาติไหมว่าต้องปรึกษาแพทย์ก่อน
คำถามต่อมาคือ พยาบาลเคยมีเคสที่ต้องปรึกษาแพทย์แบบนี้ไหม ถ้าเคยก็น่าจะทราบว่าต้องใช้เวลาทั้งการต่อสายโทรศัพท์ ทั้งการวินิจฉัยของแพทย์ที่อาจต้องมีการค้นหาข้อมูล ถ้ามีประสบการณ์ก็ควรจะแจ้งให้ญาติคนไข้ทราบหรือเปล่าครับว่ามันต้องใช้เวลาสักระยะ เพราะคนไข้ไม่ได้มีประสบการณ์และความรู้ด้านนี้ทุกคน ผมรู้ว่าจขกท.ทำไม่ถูกที่ด่ากราดน่าเกลียดขนาดนั้น แต่ถ้าพยาบาลปรึกษาแพทย์แล้ว ตอบคนไข้และญาติแบบที่จ่าพิชิตฯตอบ มันก็คงไม่เกิดกระทู้แบบนั้นขึ้นหรือเปล่า? หรือถ้าคิดว่าไม่ร้ายแรง ปล่อยไว้แล้วค่อยรอแพทย์มาตอนเช้า ก็ควรจะทำความเข้าใจกับญาติคนไข้และคนไข้หรือเปล่า ว่ามันไม่ได้ร้ายแรงนะ เป็นอาการทั่วไปอะไรก็ว่าไป ไม่ใช่ปล่อยให้กังวล ผมขอพูดในฐานะประชาชนคนธรรมดาที่เคยป่วยและอาจจะป่วยอีกในอนาคตนะครับ ว่าสิ่งที่คนป่วยกลัวที่สุด คือความไม่รู้นะครับ ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร ไม่รู้ว่าจะเป็นอีกนานแค่ไหน ไม่รู้ว่าจะมีวันกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมได้มั้ย ไม่รู้ว่าอาการที่เป็นมันมีผลมาจากโรคที่รักษาอยู่หรือเป็นโรคแทรกซ้อนที่น่ากลัว มันกระวนกระวายมากนะครับไอความไม่รู้เนี่ย
ผมยกเคสของผมเองละกัน ก่อนหน้านี้ต้องไปผ่าตัดเล็กที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง พยาบาลเรียกผมเข้าไปเตรียมตัวในห้องถึง 1 ชั่วโมงกว่าๆก่อนหมอจะมา แล้วก็ทิ้งให้ผมอยู่ในนั้นโดยไม่มีใครมาบอกอะไรทั้งสิ้น พยาบาลที่เรียกผมก็ไม่ได้มีเคสด่วน เพราะประตูห้องผมไม่ได้ปิด และผมได้ยินเสียงพยาบาลคุยเล่นกับพยาบาลคนอื่นๆอยู่ตลอด ผ่านไปประมาณ 45 นาทีมีการเข้ามาบอกให้ผมเตรียมตัวเพราะหมอมาแล้ว แต่ผมก็รออีกเกือบครึ่งชั่วโมงกว่าหมอจะมา โดยมาทราบจากพยาบาลทีหลังว่าหมอติดเคสอยู่ ปัญหาไม่ใช่ผมรอไม่ได้ ผมรอได้ครับ ให้รออีกสองชั่วโมงผมก็รอได้ และผมเข้าใจว่าคนไข้ที่รอตรวจก็อยากจะได้รับการตรวจที่รวดเร็ว ปัญหาคือไม่มีใครบอกว่าผมต้องรออีกถึงเมื่อไหร่ ผมนั่งหนาวอยู่ในห้องผ่าตัดคนเดียวชั่วโมงนึง จนผมกำลังจะใส่เสื้อเดินออกไปบอกว่าไม่ผ่าแล้ว หมอก็มาพอดี (เป็นเคสเล็กๆที่ไม่ผ่าก็ได้ครับ)
ยังมีเคสอื่นๆอีกที่ผมเจอปัญหาด้านการสื่อสารจากแพทย์และพยาบาล(ส่วนใหญ่จะเป็นแพทย์ซะมาก) และส่วนมากไม่ใช่จากปัญหาคนไม่พอครับ เพราะแผนกที่ผมเคยไปหาก็ไม่ใช่แผนกฉุกเฉินร้ายแรงอะไร แถมยังเป็นโรงพยาบาลเอกชนที่ค่ารักษาไม่ถูกเลย ตอนผมไปก็คนไม่เยอะ และการตรวจอาการของผมก็ใช้เวลาไม่ถึง 2 นาที การที่หมอจะเสียเวลาเพิ่มอีกสัก 3 นาทีในการที่จะอธิบาย ต้นเหตุ อาการ วิธีการรักษาให้คนไข้(และญาติ)ทราบ ผมไม่คิดว่าจะเสียหายอะไรนะ(เมื่อเทียบกับค่าบริการการรักษาหลายร้อยบาทถึงพันกว่าบาทที่ลงไว้ในใบเสร็จ) มีอยู่ครั้งนึงผมก็ถามสิ่งที่ผมอยากรู้ ถามได้คำถามเดียวหมอหันมาทำตาขวาง คิ้วขมวด แล้วผมจะกล้าถามต่อหรอครับ
ปล. บ่นนิดนึง อันนี้นอกประเด็นหน่อยๆ วันก่อนผมไปหาหมอ อายุน่าจะประมาณ 35-40 แม่ผมเข้าไปด้วย ไหว้หมอแล้วหมอยังไม่รับไหว้เลย แล้วเวลาแม่ผมถามอะไรก็ตอบแบบไม่มีหางเสียง เหมือนพูดกับคนที่เด็กกว่า คือผมและทุกคนในครอบครัวพูดจาและแสดงกิริยาต่อหมอและพยาบาลสุภาพตลอด แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมหมอส่วนใหญ่ที่เจอมักใช้วิธีการพูดเหมือนเจ้านายพูดกับลูกน้องทั้งนั้นเลย นึกไม่ออกเลยว่าหมอคนไหนที่ผมเคยเจอพูดมีหางเสียง กับผมไม่เป็นไรเพราะผมยังเด็ก แต่พูดกับแม่ผมยังไม่สุภาพ อันนี้ไม่เข้าใจเลย กลับกันพยาบาลที่เจอสุภาพทุกคน ทั้งที่ผมเด็กกว่าหลายๆคน อันนี้ไม่รู้ว่าตอนเรียนเขาสอนกันมายังไง ผมว่าคงสอนแหละ แต่คงไม่ได้เน้นอะไรมากมายหรือเปล่า เรื่องวิธีการพูดกับคนไข้(และญาติ)?
จากกระทู้ "พยาบาลแบบนี้ผมว่าเลิกเป็นเหอะครับ ทำงานไม่ได้เรื่อง" ผมว่ามันสะท้อนให้เห็นปัญหาหนึ่งในวงการแพทย์นะครับ
แต่ที่มาตั้งกระทู้ใหม่เพราะอยากแตกประเด็นออกมา เกี่ยวกับปัญหาที่ผมเคยเจอ และปัญหาที่สะท้อนออกมาจากกระทู้นั้นครับ
ผมคิดว่า ปัญหาทางด้านการแพทย์ในทุกวันนี้ คือปัญหาด้านการสื่อสารครับ
สังเกตไหมครับว่าในกระทู้นั้น มีทั้งเหตุผลต่างๆมากมายทั้งด้านทรัพยากรบุคคลและด้านการแพทย์
โอเคด้านทรัพยากรบุคคลพูดไปมันก็เหมือนแก้ตัว แล้วจะโทษกันไปมาไม่รู้จบ เดี๋ยวจะยาวไปถึงเรื่องสวัสดิการ อันนี้ขอละไว้
แต่ปัญหาด้านการแพทย์ เช่น การเบิกยา การที่พยาบาลต้องปรึกษาแพทย์ การเบิกอุปกรณ์ต่างๆ (เช่นรถนั่งถ่าย)
สิ่งเหล่านี้พยาบาลอาจจะไม่รู้ว่าต้องใช้ระยะเวลาเท่าไหร่ แต่ก็ควรจะแจ้งให้คนไข้และญาติได้ทราบว่า จะต้องใช้ระยะเวลาประมาณไหน
ผมขอยกคำตอบของจ่าพิชิตฯ DramaAddict (ที่เป็นหมอคนหนึ่ง) มาประกอบนะครับ
"อืม จขกท สงสัยว่าทำไมกะอีแค่ยาสวนก้นหรือยาระบาย ทำไมพยาบาลถึงให้ไม่ได้ ทำไมต้องรอรายงานแพทย์ตอนเช้าด้วย เพราะแม่ จขกท เป็นไตวายครับ หรืออาจจะมีภาวะแทรกซ้อนอื่นด้วย การให้ยาระบายพวก milk of magnesium ในคนไข้ไตวาย "ถึงตาย" นะครับ การสวนก้นก็เหมือนกัน ถ้าคนไข้มีปัญหาเรื่องไต การสวนก้นด้วย unison enema นี่อันตรายครับ อาจทำให้น้ำเกินหรือเกลือแร่ผิดปรกติได้ ดังนั้นในเคสนี้พยาบาลน่าจะประเมินแล้วว่าแค่ปวดขี้ ไม่มีความผิดปรกติรุนแรงเร่งด่วน ก็เลยรอรายงานแพทย์ประจำวอร์ดตอนเช้า นับว่าทำดีแล้ว ถูกต้องแล้ว ถ้าเกิดไปสวนก้นให้คนไข้โดยพลการสิอันตราย ถึงตอนนั้น จขกท อาจจะตั้งกระทู้ชื่อ "ทำไมพยาบาลถึงสวนก้นให้แม่ผมที่เป็นโรคไตวายล่ะครับ" ก็เป็นได้
ปล.เรื่องแบบนี้อย่ามองว่าเป็นหน้าที่พยาบาลฝ่ายเดียวนะครับ
ญาติต้องช่วยๆกันดูแลคนไข้ระหว่างนอน รพ ด้วย
เพราะทุกวันนี้ปัญหาขาดแคลนพยาบาล โคตรรุนแรง
เผลอๆจะขาดหนักกว่าแพทย์ด้วยซ้ำ งานก็หนักบัดซบ
เงินเดือนก็นิดเดียว ไม่เข้าใจว่าทำงานกันไปได้ยังไง"
ปัญหาคือ ตอนนั้นพยาบาลทราบไหมว่าต้องปรึกษาแพทย์ ถ้าทราบ ได้แจ้งคนไข้และญาติไหมว่าต้องปรึกษาแพทย์ก่อน
คำถามต่อมาคือ พยาบาลเคยมีเคสที่ต้องปรึกษาแพทย์แบบนี้ไหม ถ้าเคยก็น่าจะทราบว่าต้องใช้เวลาทั้งการต่อสายโทรศัพท์ ทั้งการวินิจฉัยของแพทย์ที่อาจต้องมีการค้นหาข้อมูล ถ้ามีประสบการณ์ก็ควรจะแจ้งให้ญาติคนไข้ทราบหรือเปล่าครับว่ามันต้องใช้เวลาสักระยะ เพราะคนไข้ไม่ได้มีประสบการณ์และความรู้ด้านนี้ทุกคน ผมรู้ว่าจขกท.ทำไม่ถูกที่ด่ากราดน่าเกลียดขนาดนั้น แต่ถ้าพยาบาลปรึกษาแพทย์แล้ว ตอบคนไข้และญาติแบบที่จ่าพิชิตฯตอบ มันก็คงไม่เกิดกระทู้แบบนั้นขึ้นหรือเปล่า? หรือถ้าคิดว่าไม่ร้ายแรง ปล่อยไว้แล้วค่อยรอแพทย์มาตอนเช้า ก็ควรจะทำความเข้าใจกับญาติคนไข้และคนไข้หรือเปล่า ว่ามันไม่ได้ร้ายแรงนะ เป็นอาการทั่วไปอะไรก็ว่าไป ไม่ใช่ปล่อยให้กังวล ผมขอพูดในฐานะประชาชนคนธรรมดาที่เคยป่วยและอาจจะป่วยอีกในอนาคตนะครับ ว่าสิ่งที่คนป่วยกลัวที่สุด คือความไม่รู้นะครับ ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร ไม่รู้ว่าจะเป็นอีกนานแค่ไหน ไม่รู้ว่าจะมีวันกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมได้มั้ย ไม่รู้ว่าอาการที่เป็นมันมีผลมาจากโรคที่รักษาอยู่หรือเป็นโรคแทรกซ้อนที่น่ากลัว มันกระวนกระวายมากนะครับไอความไม่รู้เนี่ย
ผมยกเคสของผมเองละกัน ก่อนหน้านี้ต้องไปผ่าตัดเล็กที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง พยาบาลเรียกผมเข้าไปเตรียมตัวในห้องถึง 1 ชั่วโมงกว่าๆก่อนหมอจะมา แล้วก็ทิ้งให้ผมอยู่ในนั้นโดยไม่มีใครมาบอกอะไรทั้งสิ้น พยาบาลที่เรียกผมก็ไม่ได้มีเคสด่วน เพราะประตูห้องผมไม่ได้ปิด และผมได้ยินเสียงพยาบาลคุยเล่นกับพยาบาลคนอื่นๆอยู่ตลอด ผ่านไปประมาณ 45 นาทีมีการเข้ามาบอกให้ผมเตรียมตัวเพราะหมอมาแล้ว แต่ผมก็รออีกเกือบครึ่งชั่วโมงกว่าหมอจะมา โดยมาทราบจากพยาบาลทีหลังว่าหมอติดเคสอยู่ ปัญหาไม่ใช่ผมรอไม่ได้ ผมรอได้ครับ ให้รออีกสองชั่วโมงผมก็รอได้ และผมเข้าใจว่าคนไข้ที่รอตรวจก็อยากจะได้รับการตรวจที่รวดเร็ว ปัญหาคือไม่มีใครบอกว่าผมต้องรออีกถึงเมื่อไหร่ ผมนั่งหนาวอยู่ในห้องผ่าตัดคนเดียวชั่วโมงนึง จนผมกำลังจะใส่เสื้อเดินออกไปบอกว่าไม่ผ่าแล้ว หมอก็มาพอดี (เป็นเคสเล็กๆที่ไม่ผ่าก็ได้ครับ)
ยังมีเคสอื่นๆอีกที่ผมเจอปัญหาด้านการสื่อสารจากแพทย์และพยาบาล(ส่วนใหญ่จะเป็นแพทย์ซะมาก) และส่วนมากไม่ใช่จากปัญหาคนไม่พอครับ เพราะแผนกที่ผมเคยไปหาก็ไม่ใช่แผนกฉุกเฉินร้ายแรงอะไร แถมยังเป็นโรงพยาบาลเอกชนที่ค่ารักษาไม่ถูกเลย ตอนผมไปก็คนไม่เยอะ และการตรวจอาการของผมก็ใช้เวลาไม่ถึง 2 นาที การที่หมอจะเสียเวลาเพิ่มอีกสัก 3 นาทีในการที่จะอธิบาย ต้นเหตุ อาการ วิธีการรักษาให้คนไข้(และญาติ)ทราบ ผมไม่คิดว่าจะเสียหายอะไรนะ(เมื่อเทียบกับค่าบริการการรักษาหลายร้อยบาทถึงพันกว่าบาทที่ลงไว้ในใบเสร็จ) มีอยู่ครั้งนึงผมก็ถามสิ่งที่ผมอยากรู้ ถามได้คำถามเดียวหมอหันมาทำตาขวาง คิ้วขมวด แล้วผมจะกล้าถามต่อหรอครับ
ปล. บ่นนิดนึง อันนี้นอกประเด็นหน่อยๆ วันก่อนผมไปหาหมอ อายุน่าจะประมาณ 35-40 แม่ผมเข้าไปด้วย ไหว้หมอแล้วหมอยังไม่รับไหว้เลย แล้วเวลาแม่ผมถามอะไรก็ตอบแบบไม่มีหางเสียง เหมือนพูดกับคนที่เด็กกว่า คือผมและทุกคนในครอบครัวพูดจาและแสดงกิริยาต่อหมอและพยาบาลสุภาพตลอด แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมหมอส่วนใหญ่ที่เจอมักใช้วิธีการพูดเหมือนเจ้านายพูดกับลูกน้องทั้งนั้นเลย นึกไม่ออกเลยว่าหมอคนไหนที่ผมเคยเจอพูดมีหางเสียง กับผมไม่เป็นไรเพราะผมยังเด็ก แต่พูดกับแม่ผมยังไม่สุภาพ อันนี้ไม่เข้าใจเลย กลับกันพยาบาลที่เจอสุภาพทุกคน ทั้งที่ผมเด็กกว่าหลายๆคน อันนี้ไม่รู้ว่าตอนเรียนเขาสอนกันมายังไง ผมว่าคงสอนแหละ แต่คงไม่ได้เน้นอะไรมากมายหรือเปล่า เรื่องวิธีการพูดกับคนไข้(และญาติ)?