"ส.ศิวรักษ์" ฉะพระผู้ใหญ่ฉาวไม่แพ้เณรคำ

โดย...สุภชาติ  เล็บนาค/กวินภพ พันธุฤกษ์

ปรากฎการณ์ “เณรคำ ฉัตติโก” ฉาวสะเทือนแผ่นดิน ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อตัวเณรคำเองเท่านั้น เพราะโลกโซเชียลเน็ตเวิร์ก ยังเปิดโปงพฤติกรรม “ไม่เหมาะสม” ของพระสงฆ์มากขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดคำถามขึ้นจากพุทธศาสนิกชนมากมายว่า เกิดอะไรขึ้นกับวงการสงฆ์ และในเมื่อพระสงฆ์ ซึ่งเป็นหนึ่งในสามเสาหลักของพระพุทธศาสนา มีพฤติกรรมเช่นนี้ พระพุทธศาสนา จะดำรงอยู่ต่อไปอย่างไร

โพสต์ทูเดย์ มีโอกาสสัมภาษณ์ "สุลักษณ์ ศิวรักษ์" หรือ ส.ศิวรักษ์ ปัญญาชนสยาม และผู้ก่อตั้งเสมสิกขาลัย ผู้คร่ำหวอดในแวดวงเรื่องพระสงฆ์เป็นอย่างดี

ถาม : ปัญหาทั้งหมดเกิดจากอะไร

ส.ศิวรักษ์ : ผมสรุปว่าศาสนาพุทธ สอนให้คนละโลภ โกรธ หลง แต่ตอนนี้เราสมาทานลัทธิศาสนาใหม่ทุนนิยม บริโภคนิยม อุดหนุนความโลภ โกรธ หลง ตอนนี้ศาสนาใหม่แรงมาก พระก็สมาทานศาสนานี้ทั้งนั้น ทุกคนเห็นว่า ความโลภ โกรธ หลงเป็นของดี เราทิ้งศาสนาพุทธหมดแล้ว เหลือแต่รูปแบบเท่านั้นเอง พระผู้ใหญ่ก็นับถือศาสนานี้ทั้งนั้น คุณดูสิ สมณศักดิ์สูงๆ ไปฉัน ไปเทศน์ อย่างน้อยก็แสนหนึ่ง พระราชาคณะก็เป็นหมื่น เป็นไปหมดเลย ตราบใดที่ไม่มีการตรวจสอบ

วิธีตรวจสอบง่ายนิดเดียว เดี๋ยวนี้พระก็มีบัญชีธนาคารทั้งนั้น ก็ตรวจสอบจากธนาคาร แล้วก็ให้เสียภาษีเหมือนชาวบ้านทั่วไป คนที่ถวายเงินก็ลดภาษีได้ถ้าประกาศว่าถวายเท่าไร เราก็จะรู้เลยพระรับเงินเท่าไร ทุกอย่างต้องตรวจสอบได้ ทั้งพระทั้งเจ้า ถ้าตรวจสอบได้ทุกอย่างเรียบร้อย

ถาม : อะไรที่ทำให้พระสงฆ์เข้ามายุ่งกับเรื่องทุนนิยม

ส.ศิวรักษ์ : ประการแรก สังคมไทยเป็นสังคมเกษตร “พระพึ่งชาวบ้าน ชาวบ้านพึ่งพระ” พระออกบิณฑบาตชาวบ้านก็ใส่บาตร จุดใหญ่ใจความคือ “พระดูแลชาวบ้าน ชาวบ้านดูแลพระ” ยุ่งกับพระเป็นอลัชชีก็สึกพระเลย เพราะคณะสงฆ์เป็นสังคมตัวอย่าง ที่ความรัก โลภ โกรธ หลงน้อยกว่าเรา สมัยก่อนที่สวนโมกข์เก่า มีพระรูปหนึ่ง นอนกับผู้หญิง พอรุ่งเช้า ชาวบ้านก็เอากางเกงมาให้ ให้พระสึก นี่คือตัวอย่างของความใกล้ชิดระหว่างชาวบ้านกับพระ

แต่เมื่อ 50-60 ปีมานี่ ทุนนิยมเข้ามาล้างสมองให้เราเป็นสังคมอุตสาหกรรม ทำลายพื้นฐานหมดเลย ชาวบ้านทิ้งเมืองมาอยู่กรุงเทพหมด พระก็ทิ้งชนบทมาอยู่กรุงเทพฯ เหมือนกัน ในที่สุด ชนบทก็ไม่มีคน หลายวัดในชนบทไม่มีพระ บางแห่งต้องเอาคนแก่อายุเท่าผมมาบวช กลางคืนกินเหล้าไม่เป็นไร เอามาทำพิธีอย่างเดียว กลายเป็นพราหมณ์พิธี มีเงินก็ไม่เป็นไรแค่จ้างมาสวดมาทำพิธีอย่างเดียว

กลายเป็นว่า พระไม่มีบทบาทความเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณเหลือแล้ว เอาตามชาวบ้าน ชาวบ้านมีรถก็อยากมีบ้าง เอาอย่างเณรคำมีรถตั้งกี่คัน ถวายเจ้าคณะอีกก็ตั้งหลายคัน เจ้าคณะก็ปกป้อง ติดสินบนกันตลอดทุกสายเลย ไม่มีความรู้สึกเลยว่าผิดชอบ ซึ่งผิดหลักหมด เพราะการบวชพระก็ต้องเป็น “ลัชชี” ลัชชีคือผู้ความละอายเป็นเจ้าเรือน พระที่เลวคือพระที่เรียกว่าเป็น “อลัชชี” ไม่มีความละอาย พอพระไม่มีความละอายก็เสร็จเลย

สมัยก่อน ตอนผมบวชที่วัดทองนพคุณ พื้นกุฏิวัดต้องเอาหีบศพที่ใช้แล้วมารอง เวลานอนก็นอนรวมกัน เปิดให้เห็นหมด พอตอนนี้กุฏิติดแอร์กันหมด สุดท้ายก็ปล้ำกันสนุกเลยสิ คนก็ตรวจสอบไม่ได้ด้วย

ถาม : เป็นเพราะคนเข้าไปที่วัดมากขึ้น หรือพระเองที่ไม่มีภูมิคุ้มกัน?

ส.ศิวรักษ์ : ทั้ง 2 ฝ่าย คืออย่างแรกเลยพระต้องดูแลชาวบ้าน ชาวบ้านต้องดูแลพระ แต่ก่อนวัดกับชุมชนมันเป็นแห่งเดียวกัน แต่เดี๋ยวนี้มันหมดไปแล้ว สมัยก่อน ในเมืองหลวง ตั้งพระราชาคณะก็ตั้งพระที่มีคุณงามความดี ตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นศรีแก่ศาสนา แก่พระนคร แต่เดี๋ยวนี้พระราชาคณะมีเป็นร้อย ติดสินบนกันเยอะเลยนะ เลื่อนสมณศักดิ์ติดสินบนเป็นล้าน ยิ่งกว่าตำรวจ คือพอมันพลาดเป้าหมายมันก็เซ


อ้างอิงข้อมูล

http://www.posttoday.com/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B8%AB%E0%B9%8C/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A9/234571/%E0%B8%AA-%E0%B8%A8%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B9%8C%E0%B8%89%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B9%88%E0%B8%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%81%E0%B8%9E%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%93%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%B3
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่