หลังมันส์สุดๆ กับ Pacific Rim จขกท. เลยลองมานั่งไล่ผลงานย้อนหลังของ กิลเลอร์โม เดอ โทโร่ แล้ว พบว่าตัวเองกลายเป็นแฟนคลับหนังของเฮียแกไปโดยไม่ตั้งใจซะแล้ว เพราะดันได้ดูครบทุกเรื่องซะงั้น เลยเขียนเป็นคอมเม้นต์สั้นๆ มาให้เพื่อนๆ พี่ๆ อ่านกันเล่นๆ เผื่อใครสนใจอยากจะลองหามาดูเพิ่มเติม
Cronos (1993)
เรื่องราวของสิ่งประดิษฐ์โบราณที่มีลักษณะเหมือนเต่าทองที่ตกทอดมาสู่ชายชราเจ้าของร้านรับซื้อของเก่า ซึ่งเจ้าสิงประดิษฐ์ที่ว่านี้สามารถทำให้ผู้เป็นเจ้าของกลายเป็นอมตะ แต่ที่ชายชราผู้น่าสงสารไม่รู้ก็คือ การเป็นอมตะในที่นี้ต้องแลกมาด้วยการดื่มเลือดมนุษย์ที่สุดท้ายแล้วแทบจะไม่ต่างอะไรกับการเป็นแวมไพร์ หนังมาในโทนนิ่งๆ ขรึมๆ ออกไปทางดราม่ามากกว่าจะขายความเขย่าขวัญแบบโฉ่งฉ่าง แต่กลับมีเสน่ห์อย่างน่าประหลาด และทำให้ผู้กำกับหน้าใหม่ชื่อ กิลเลอร์โม เดล โทโร่ เริ่มถูกจับตามอง
คะแนน : ★★★1/2
Mimic (1997)
กิลเลอร์โม แบกกระเป๋าเข้าฮอลลีวู้ดด้วยหนังเรื่องนี้ ได้ดาราดัง (ยุคนั้น) อย่าง มีร่า ซอร์วิโน่ มาเป็นดารานำ กับเรื่องราวเกี่ยวกับแมลงสาบสายพันธ์ุใหม่ชื่อว่า "จูดาส" ที่ถูกตัดต่อพันธุกรรมขึ้นมาเพื่อใช้สำหรับกำจัดแมลงสาบปกติซึ่งกำลังแพร่พันธ์อย่างรวดเร็ว แต่ไปๆมาๆ เจ้า จูดาส กลับกลายพันธ์ต่อไปอีก ทั้งอันตราย ทั้งน่าขยะแขยงกว่าเดิมหลายเท่า เดือดร้อนถึงผู้เกี่ยวข้อง (นางเอก) ที่ต้องหาทางกำจัดมันให้สิ้นซาก..ตอนแรกหนังเรื่องนี้ กิลเลอร์โม ทำตอนจบไว้อีกแบบหนึ่ง แต่ถูกค่ายหนังสั่งแก้เสียใหม่ให้จบแบบแฮปปี้เอนดิ้ง หนังเรื่องนี้เลยกลายเป็นผลงานที่เฮียแกบอกว่า "ทั้งรักทั้งเกลียด" และหนังก็ไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าไหร่ แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ จขกท. ขอบอกว่านี่เป็นหนังหนังสยองขวัญเกรดบีที่ดูสนุกเรื่องหนึ่งเลยแหละ แต่เฉพาะภาคแรกภาคเดียวนะ ภาคอื่นๆ ที่มีต่อมา เฮียกิลไม่เกี่ยวด้วยแล้ว
คะแนน : ★★1/2
The Devil's Backbone (2001)
หลังบาดเจ็บจาก Mimic เฮียกิลล์ ถอยกลับไปปักหลักทำหนังที่บ้านเกิดอีกครั้ง ด้วยหนังทุนสร้างร่วมเม็กซิโก/สเปนเรื่องนี้ ซึ่งประสบความสำเร็จไปพอท้วมๆ ในเรื่องของรายได้ แต่ดีมากในแง่ของคำวิจารณ์ เด็กหอ เอ๊ย! The Devil's Backbone เป็นเรื่องของ คาร์ลอส เด็กชายวัย 10 ขวบที่ถูกส่งตัวไปอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า หลังจากสูญเสียครอบครัวทั้งหมดจากสงครามกลางเมืองในประเทศสเปน ซึ่งที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งนี้เต็มไปด้วยบรรยากาศแปลกๆ ก่อนที่ความจริงจะค่อยๆ เปิดเผยขึ้นมาว่าบรรยากาศแปลกๆ ที่ว่านั้นเกี่ยวกันกับโศกนาฏกรรมบางอย่างเกิดขึ้นในอดีต แม้นี่จะเป็นหนังผี แต่ประเด็นหลักของหนังจริงๆ ว่าด้วยผลกระทบจากสงคราม
คะแนน : ★★★★
Blade II (2002)
กิลเลอร์โม กลับมาหาฮอลลีวู้ดอีกครั้ง และเดินหน้าเข้าสู่ผลงานกระแสหลักเต็มตัว ด้วยหนังแวมไพร์ซูเปอร์ฮีโร่ภาคต่อเรื่องนี้ และก็เป็นภาคที่ดูสนุกและดีที่สุดในหนังทั้งหมดจำนวน 3 ภาคด้วยกัน (ภาค 1 และ 3 ฝีมือคนอื่น) โปรดักชั่นหม่นๆ ทำออกมาสวยสดงดงาม แถมเดินเรื่องได้ตื่นเต้นเร้าใจ เต็มไปด้วยฉากแอ็คชั่นสุดมันส์ แวมไพร์ตัวร้ายในหนังเป็นแวมไพร์กึ่งสัตว์ประหลาด ที่สำคัญตัวหนังประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีในเรื่องรายได้ที่ใช้ทุนสร้าง 50 ล้านกว่าๆ แต่เก็บเงินทั่วโลกไปเกือบ 160 ล้าน
คะแนน : ★★★1/2
Hellboy (2004)
ในเมื่อ Blade II ประสบความสำเร็จ เฮียกิลล์จึงเดินหน้าต่อด้วยการหยิบการ์ตูนซูเปอร์ฮีโร่สุดดาร์คของ Dark Horse Comics เรื่องนี้มาขึ้นจอด้วยทุนสร้างและโปรดักชั่นที่ใหญ่มากขึ้น แต่ตัวผลงานที่ออกมากลับเป็นไปแบบครึ่งๆ กลางๆ เหมือนยังไม่ตกผลึกว่าควรจะควรจะผลักดันหนังไปในทิศทางไหนกันแน่ หนังพยายามขายทั้งความกวน แปลก ของตัวซูเปอร์ฮีโร่แบบเฮลล์บอย ความโรแมนติกแปร่งๆ (ที่มีกับนางเอก) และงานอาร์ตไดเร็คชั่นสไตล์ดาร์คที่โดดเด่นน่าหลงไหล แต่ฉากแอ็คชั่นที่ควรจะเป็นจุดขายหลักกลับก็ยังไม่เด็ดดวงเท่าที่ควร ในภาพรวมจึงยังไม่ถูกสเป็กแฟนหนังแอ็คชั่นในวงกว้างอยู่ดี หนังได้เงินและไม่ขาดทุนจริง แต่ไม่อาจพูดได้ว่านี่เป็นหนังฮิตที่ควรสร้างภาคต่อ
คะแนน : ★★★
Pan's Labyrinth (2006)
เฮียกิลล์ กลับมาทำหนังทุนต่ำกับสเปนอีกรอบ และก็กลายเป็นผลงานระดับ "มาสเตอร์พีซ" แบบที่ไม่มีใครคาดถึง หลอมรวมเอาจินตนาการอันวิจิตรพิศดาร เข้ากับความโหดร้ายทางประวัติศาสตร์ของสงครามกลางเมืองในประเทศสเปนได้อย่างลงตัว กระทั่งกลายเป็นเทพนิยายหม่นทมึน เศร้าสร้อย หดหู่สิ้นหวัง หนังถูกเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์ถึง 6 รางวัล (หนึ่งในนั้นคือ ภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยม) แต่ได้ไปแค่ 3 รางวัล คือ ถ่ายภาพยอดเยี่ยม แต่งหน้ายอดเยี่ยม และกำกับศิลป์ยอดเยี่ยม
คะแนน : ★★★★★
Hellboy II: The Golden Army (2008)
หนังภาคต่อมีที่มีออกมาได้เพราะอานิสงค์จากความสำเร็จของ Pan's Labyrinth แถมยังกลับมาพร้อมกับทุนสร้างที่มากกว่าภาคแรกเสียอีก ทั้งๆ ที่ภาคแรกก็ไม่ได้ทำเงินเท่าไหร่ กิลเลอร์โม่เลยพยายามเพิ่มในส่วนของงานแอ็คชั่นให้มากขึ้น รวมถึงนำงานอาร์ตไดเร็คชั่นสวยพิศดารจาก Pan's Labyrinth มาต่อยอดแล้วใส่เข้าไปในหนังภาคนี้ แต่ความสนุกที่ยังเป็นไปแบบแปร่งๆ ครึ่งๆ กลางๆ ไม่ต่างจากภาคแรก ทายาทซาตานตัวแดงรายนี้จึงไม่อาจกลายเป็นซูเปอร์ฮีโร่ยอดนิยมได้อยู่ดี หนังก็ทำรายได้ในอเมริกาขาดทุน (เนื่องจากทุนสร้างที่มากขึ้น) แต่เมื่อรวมรายได้จากจากทั่วโลกแล้วก็ถือว่ายังประสบความสำเร็จ และกำลังจะมีภาคสามออกมาอีกในอนาคต
คะแนน : ★★★
Pacific Rim (2013)
หนังตลาดฟอร์มยักษ์ขายความบันเทิงแบบเต็มๆ ที่ กิลเลอร์โม ทำออกมาเพื่อเติมเต็มจินตนาการในวัยเด็กของตัวเองที่มีต่อหนังหุ่นยนต์ และโดยเฉพาะสัตว์ประหลาดที่เจ้าตัวชื่นชอบนักหนา ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้ชายชื่อ กิลเลอร์โม เดอ โทโร่ เป็นในแบบที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ และถ้ามองย้อนกลับไปจริงๆ ในหนังของ กิลเลอร์โม ก็มีตัวประหลาดอยู่ทุกเรื่องจริงๆ ด้วยนั่นแหละ ไม่เว้นแม้แต่ผลงานใหม่ต่อจากนี้ที่เป็นการนำ "พิน็อคคิโอ" นิทานคลาสสิคมีตีความใหม่เป็นหนังเวอร์ชั่นโคตรดาร์ค ก็ต้องรอดูว่าจะเด็ดจะดาร์คขนาดไหน แต่ตอนนี้เชิญฟินกับหนังหุ่นยนต์ตบสัตว์ประหลาดไปก่อน
คะแนน : ★★★★★
นอกจากนั้นแล้วยังมีผลงานบางเรื่องที่ กิลเลอร์โม เดอ โทโร่ ไม่ได้กำกับเอง แต่ทั่งแท่นโปรดิวเซอร์เป็นป๋าดันให้กับผู้กำกับคนอื่นก็น่าสนใจเหมือนกัน ลองไปหาดูกันจ้า
The Orphanage (2007)
คะแนน : ★★★★
Splice (2009)
คะแนน : ★★★
Don't Be Afraid of the Dark (2010)
คะแนน : ★★1/2
Mama (2013)
คะแนน : ★★★
ชอบอ่านรีวิว สั้นๆ ยาวๆ ฝากแฟนเพจด้วยจ้า
https://www.facebook.com/pages/Filmgaze/377893542331264?ref=hl
(แอบเช็คผลงานในอดีต) ของ กิลเลอร์โม เดอ โทโร่ ผู้กำกับ Pacific Rim
หลังมันส์สุดๆ กับ Pacific Rim จขกท. เลยลองมานั่งไล่ผลงานย้อนหลังของ กิลเลอร์โม เดอ โทโร่ แล้ว พบว่าตัวเองกลายเป็นแฟนคลับหนังของเฮียแกไปโดยไม่ตั้งใจซะแล้ว เพราะดันได้ดูครบทุกเรื่องซะงั้น เลยเขียนเป็นคอมเม้นต์สั้นๆ มาให้เพื่อนๆ พี่ๆ อ่านกันเล่นๆ เผื่อใครสนใจอยากจะลองหามาดูเพิ่มเติม
Cronos (1993)
เรื่องราวของสิ่งประดิษฐ์โบราณที่มีลักษณะเหมือนเต่าทองที่ตกทอดมาสู่ชายชราเจ้าของร้านรับซื้อของเก่า ซึ่งเจ้าสิงประดิษฐ์ที่ว่านี้สามารถทำให้ผู้เป็นเจ้าของกลายเป็นอมตะ แต่ที่ชายชราผู้น่าสงสารไม่รู้ก็คือ การเป็นอมตะในที่นี้ต้องแลกมาด้วยการดื่มเลือดมนุษย์ที่สุดท้ายแล้วแทบจะไม่ต่างอะไรกับการเป็นแวมไพร์ หนังมาในโทนนิ่งๆ ขรึมๆ ออกไปทางดราม่ามากกว่าจะขายความเขย่าขวัญแบบโฉ่งฉ่าง แต่กลับมีเสน่ห์อย่างน่าประหลาด และทำให้ผู้กำกับหน้าใหม่ชื่อ กิลเลอร์โม เดล โทโร่ เริ่มถูกจับตามอง
คะแนน : ★★★1/2
Mimic (1997)
กิลเลอร์โม แบกกระเป๋าเข้าฮอลลีวู้ดด้วยหนังเรื่องนี้ ได้ดาราดัง (ยุคนั้น) อย่าง มีร่า ซอร์วิโน่ มาเป็นดารานำ กับเรื่องราวเกี่ยวกับแมลงสาบสายพันธ์ุใหม่ชื่อว่า "จูดาส" ที่ถูกตัดต่อพันธุกรรมขึ้นมาเพื่อใช้สำหรับกำจัดแมลงสาบปกติซึ่งกำลังแพร่พันธ์อย่างรวดเร็ว แต่ไปๆมาๆ เจ้า จูดาส กลับกลายพันธ์ต่อไปอีก ทั้งอันตราย ทั้งน่าขยะแขยงกว่าเดิมหลายเท่า เดือดร้อนถึงผู้เกี่ยวข้อง (นางเอก) ที่ต้องหาทางกำจัดมันให้สิ้นซาก..ตอนแรกหนังเรื่องนี้ กิลเลอร์โม ทำตอนจบไว้อีกแบบหนึ่ง แต่ถูกค่ายหนังสั่งแก้เสียใหม่ให้จบแบบแฮปปี้เอนดิ้ง หนังเรื่องนี้เลยกลายเป็นผลงานที่เฮียแกบอกว่า "ทั้งรักทั้งเกลียด" และหนังก็ไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าไหร่ แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ จขกท. ขอบอกว่านี่เป็นหนังหนังสยองขวัญเกรดบีที่ดูสนุกเรื่องหนึ่งเลยแหละ แต่เฉพาะภาคแรกภาคเดียวนะ ภาคอื่นๆ ที่มีต่อมา เฮียกิลไม่เกี่ยวด้วยแล้ว
คะแนน : ★★1/2
The Devil's Backbone (2001)
หลังบาดเจ็บจาก Mimic เฮียกิลล์ ถอยกลับไปปักหลักทำหนังที่บ้านเกิดอีกครั้ง ด้วยหนังทุนสร้างร่วมเม็กซิโก/สเปนเรื่องนี้ ซึ่งประสบความสำเร็จไปพอท้วมๆ ในเรื่องของรายได้ แต่ดีมากในแง่ของคำวิจารณ์ เด็กหอ เอ๊ย! The Devil's Backbone เป็นเรื่องของ คาร์ลอส เด็กชายวัย 10 ขวบที่ถูกส่งตัวไปอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า หลังจากสูญเสียครอบครัวทั้งหมดจากสงครามกลางเมืองในประเทศสเปน ซึ่งที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งนี้เต็มไปด้วยบรรยากาศแปลกๆ ก่อนที่ความจริงจะค่อยๆ เปิดเผยขึ้นมาว่าบรรยากาศแปลกๆ ที่ว่านั้นเกี่ยวกันกับโศกนาฏกรรมบางอย่างเกิดขึ้นในอดีต แม้นี่จะเป็นหนังผี แต่ประเด็นหลักของหนังจริงๆ ว่าด้วยผลกระทบจากสงคราม
คะแนน : ★★★★
Blade II (2002)
กิลเลอร์โม กลับมาหาฮอลลีวู้ดอีกครั้ง และเดินหน้าเข้าสู่ผลงานกระแสหลักเต็มตัว ด้วยหนังแวมไพร์ซูเปอร์ฮีโร่ภาคต่อเรื่องนี้ และก็เป็นภาคที่ดูสนุกและดีที่สุดในหนังทั้งหมดจำนวน 3 ภาคด้วยกัน (ภาค 1 และ 3 ฝีมือคนอื่น) โปรดักชั่นหม่นๆ ทำออกมาสวยสดงดงาม แถมเดินเรื่องได้ตื่นเต้นเร้าใจ เต็มไปด้วยฉากแอ็คชั่นสุดมันส์ แวมไพร์ตัวร้ายในหนังเป็นแวมไพร์กึ่งสัตว์ประหลาด ที่สำคัญตัวหนังประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีในเรื่องรายได้ที่ใช้ทุนสร้าง 50 ล้านกว่าๆ แต่เก็บเงินทั่วโลกไปเกือบ 160 ล้าน
คะแนน : ★★★1/2
Hellboy (2004)
ในเมื่อ Blade II ประสบความสำเร็จ เฮียกิลล์จึงเดินหน้าต่อด้วยการหยิบการ์ตูนซูเปอร์ฮีโร่สุดดาร์คของ Dark Horse Comics เรื่องนี้มาขึ้นจอด้วยทุนสร้างและโปรดักชั่นที่ใหญ่มากขึ้น แต่ตัวผลงานที่ออกมากลับเป็นไปแบบครึ่งๆ กลางๆ เหมือนยังไม่ตกผลึกว่าควรจะควรจะผลักดันหนังไปในทิศทางไหนกันแน่ หนังพยายามขายทั้งความกวน แปลก ของตัวซูเปอร์ฮีโร่แบบเฮลล์บอย ความโรแมนติกแปร่งๆ (ที่มีกับนางเอก) และงานอาร์ตไดเร็คชั่นสไตล์ดาร์คที่โดดเด่นน่าหลงไหล แต่ฉากแอ็คชั่นที่ควรจะเป็นจุดขายหลักกลับก็ยังไม่เด็ดดวงเท่าที่ควร ในภาพรวมจึงยังไม่ถูกสเป็กแฟนหนังแอ็คชั่นในวงกว้างอยู่ดี หนังได้เงินและไม่ขาดทุนจริง แต่ไม่อาจพูดได้ว่านี่เป็นหนังฮิตที่ควรสร้างภาคต่อ
คะแนน : ★★★
Pan's Labyrinth (2006)
เฮียกิลล์ กลับมาทำหนังทุนต่ำกับสเปนอีกรอบ และก็กลายเป็นผลงานระดับ "มาสเตอร์พีซ" แบบที่ไม่มีใครคาดถึง หลอมรวมเอาจินตนาการอันวิจิตรพิศดาร เข้ากับความโหดร้ายทางประวัติศาสตร์ของสงครามกลางเมืองในประเทศสเปนได้อย่างลงตัว กระทั่งกลายเป็นเทพนิยายหม่นทมึน เศร้าสร้อย หดหู่สิ้นหวัง หนังถูกเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์ถึง 6 รางวัล (หนึ่งในนั้นคือ ภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยม) แต่ได้ไปแค่ 3 รางวัล คือ ถ่ายภาพยอดเยี่ยม แต่งหน้ายอดเยี่ยม และกำกับศิลป์ยอดเยี่ยม
คะแนน : ★★★★★
Hellboy II: The Golden Army (2008)
หนังภาคต่อมีที่มีออกมาได้เพราะอานิสงค์จากความสำเร็จของ Pan's Labyrinth แถมยังกลับมาพร้อมกับทุนสร้างที่มากกว่าภาคแรกเสียอีก ทั้งๆ ที่ภาคแรกก็ไม่ได้ทำเงินเท่าไหร่ กิลเลอร์โม่เลยพยายามเพิ่มในส่วนของงานแอ็คชั่นให้มากขึ้น รวมถึงนำงานอาร์ตไดเร็คชั่นสวยพิศดารจาก Pan's Labyrinth มาต่อยอดแล้วใส่เข้าไปในหนังภาคนี้ แต่ความสนุกที่ยังเป็นไปแบบแปร่งๆ ครึ่งๆ กลางๆ ไม่ต่างจากภาคแรก ทายาทซาตานตัวแดงรายนี้จึงไม่อาจกลายเป็นซูเปอร์ฮีโร่ยอดนิยมได้อยู่ดี หนังก็ทำรายได้ในอเมริกาขาดทุน (เนื่องจากทุนสร้างที่มากขึ้น) แต่เมื่อรวมรายได้จากจากทั่วโลกแล้วก็ถือว่ายังประสบความสำเร็จ และกำลังจะมีภาคสามออกมาอีกในอนาคต
คะแนน : ★★★
Pacific Rim (2013)
หนังตลาดฟอร์มยักษ์ขายความบันเทิงแบบเต็มๆ ที่ กิลเลอร์โม ทำออกมาเพื่อเติมเต็มจินตนาการในวัยเด็กของตัวเองที่มีต่อหนังหุ่นยนต์ และโดยเฉพาะสัตว์ประหลาดที่เจ้าตัวชื่นชอบนักหนา ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้ชายชื่อ กิลเลอร์โม เดอ โทโร่ เป็นในแบบที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ และถ้ามองย้อนกลับไปจริงๆ ในหนังของ กิลเลอร์โม ก็มีตัวประหลาดอยู่ทุกเรื่องจริงๆ ด้วยนั่นแหละ ไม่เว้นแม้แต่ผลงานใหม่ต่อจากนี้ที่เป็นการนำ "พิน็อคคิโอ" นิทานคลาสสิคมีตีความใหม่เป็นหนังเวอร์ชั่นโคตรดาร์ค ก็ต้องรอดูว่าจะเด็ดจะดาร์คขนาดไหน แต่ตอนนี้เชิญฟินกับหนังหุ่นยนต์ตบสัตว์ประหลาดไปก่อน
คะแนน : ★★★★★
นอกจากนั้นแล้วยังมีผลงานบางเรื่องที่ กิลเลอร์โม เดอ โทโร่ ไม่ได้กำกับเอง แต่ทั่งแท่นโปรดิวเซอร์เป็นป๋าดันให้กับผู้กำกับคนอื่นก็น่าสนใจเหมือนกัน ลองไปหาดูกันจ้า
The Orphanage (2007)
คะแนน : ★★★★
Splice (2009)
คะแนน : ★★★
Don't Be Afraid of the Dark (2010)
คะแนน : ★★1/2
Mama (2013)
คะแนน : ★★★
ชอบอ่านรีวิว สั้นๆ ยาวๆ ฝากแฟนเพจด้วยจ้า https://www.facebook.com/pages/Filmgaze/377893542331264?ref=hl