บางเรื่องเกี่ยวกับสุนัขเนี่ย ถ้าไม่เจอเข้ากับตัวก็ไม่เชื่อจริง ๆ นะครับ

กระทู้สนทนา
เคยไหมครับ เวลาที่ฟังเรื่องเล่าเกี่ยวกับความผูกพันระหว่างสุนัขกับเจ้าของ อย่างเช่น เจ้าฮาจิ ที่รอเจ้านายที่สถานีรถไฟจนลมหายใจสุดท้ายของมัน หรือสุนัข (หรือหมูหว่าไม่แน่ใจ) ที่เคยวิ่งข้ามมลรัฐเพื่อกลับไปบ้านของมัน หรืออาจจะเป็นเรื่องเล่าของคนรู้จัก ทำนองว่า "เฮ้ รู้ไหม หมาบ้านเราน่ะ ก่อนตายมันคลานไปหาลุงเราแล้วค่อยตายหล่ะ" "เนี่ย เค้ารอเราแหละ เค้าอยากบอกลาเรา"

คุณเคยสงสัยหรือเอะใจซักครั้งไหมครับ ว่ามันเป็นเรื่องเกินความจริงไปหรือเปล่า?

ผมคนนึงครับ ที่เคยสงสัยมาตลอด

ผมถามตัวเองว่า "เราต้องซื่อสัตย์กับใครซักคนมากแค่ไหน ถึงจะสามารถรอเค้าจนวันตายได้ เราต้องคิดถึงกันขนาดไหนถึงจะสามารถวิ่งข้ามมลรัฐเพื่อมาหากันได้ (นั่งรถไปหาแฟนสิบนาทีผมยังขี้เกียจเลยครับ) เราต้องรักใครหรือผูกพันกับใครเท่าไหร่ ถึงขนาดที่ก่อนตายต้องขอเจอเขาก่อน"

แต่ก่อนที่คุณจะเริ่มมีความสงสัยเหมือนที่ผมเคย หรือใครก็ตามที่ไม่คิดว่าเรื่องเหล่านี้จะเป็นจริงได้ ผมอยากเล่าเรื่องของผมให้ฟังครับ

ผมเคยเลี้ยงสุนัขตัวหนึ่ง ชื่อ "บั๊ก" เป็นพุดเดิ้ลทอย (แต่หนักสิบโลกว่า ๆ) เพศผู้ ไม่มีใบเพดดีกรีอะไรทั้งสิ้นครับ เพราะเลี้ยงมาตั้งแต่รุ่นแม่ของมัน คือตัวแม่มันเนี่ยเจ้าของเดิมเขาไม่เลี้ยงครับ

อันที่จริงอยากตั้งชื่อมันว่า "บิ๊ก" เพราะมันตัวใหญ่กว่าใครมาตั้งแต่เกิด แย่งนมแม่ได้ตลอด (ใครเคยเลี้ยงลูกสุนัขน่าจะนึกภาพออกนะครับ) นมแม่ไม่พอก็ต้องป้อนนมเสริมให้อีกต่างหาก แต่ที่มันไม่ได้ชื่อบิ๊ก เพราะมันเป็นลูกตัวที่สอง ตัวแรกเลยได้ชื่อว่าบิ๊กไปครอง

วันที่เจ้าบั๊กคลอดนั้น ผมยังเรียนมหาลัยอยู่ ยังจำได้ดีว่าวันมะรืนจะมีสอบวิชากฎหมายครอบครัว อารมณ์ตอนนั้นประมาณว่า "เฮ้ย อั้นอีกซักสองสามวันไม่ได้เหรอฟะ จะรีบมีครอบครัวตอนนี้ทำไม ตูยังอ่านหนังสือสอบไม่จบเลยโว๊ย"

ตอนนั้นวุ่นวายทั้งบ้านครับ เพราะเป็นสุนัขคอกแรกที่เกิดในบ้าน หมอตำแยยังตื่นเต้นขนาดโยนรกสุนัขทิ้งไปเลย (เผื่อคนไม่รู้นะครับ สัตว์ที่คลอดเป็นตัวมักจะกินรกตัวเองเพื่อสร้างพลังงานครับ และน่าจะมีผลต่อปริมาณน้ำนมด้วย) คุณแม่ที่เอาแต่บ่นว่าเลี้ยงไม่ไหวก็นั่งรถออกไปซื้อเครื่องอำนวยความสะดวกแก่สุนัขและคนเฝ้าทั้ง ๆ ที่ลูกสุนัขตัวสุดท้ายยังทันไม่คลอดออกมา ผมเองก็รีบโทรไปหาเพื่อนว่า "เฮ้เพื่อนรัก ยืมเลคเชอร์หน่อยดิ อ่านหนังสือไม่ทันแล้วหว่ะ"

เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก เจ้าบั๊กได้กลายเป็นสมาชิกในบ้านอย่างเต็มตัว (คือตอนแรกว่าจะหาคนเลี้ยงครับ แต่ไป ๆ มา ๆ ใจอ่อน) จากลูกพุดเดิ้ลทอยตัวเล็กน่าชัง กลายเป็นลิงตัวกลม ๆ ใหญ่ ๆ  แต่ที่ยังไม่เปลี่ยนไปคือ มันยังกินเก่งเหมือนเดิม

สิ่งที่บั๊กชอบมากที่สุด ถ้าไม่นับของกิน ก็คือเล่นบอลครับ หรืออะไรกลม ๆ ที่มันพอจะคาบได้ เจ้าบั๊กก็ชอบให้ผมเขวี้ยงให้มันรับ (งับ) ย้ำว่าเขวี้ยงให้รับนะครับ ไม่ใช่เขวี้ยงแล้วให้วิ่งไปเก็บ คือมันเก่งมากขนาดผมตั้งใจปาเร็ว ๆ มันยังรับได้โดยไม่ตกพื้นเลยครับ พ่อผมชอบแซวว่าน่าจะพามันไปสมัครเป็นโกลทีม) เวลาผมขี้เกียจปา มันก็จะมาเซ้าซี้เอาจมูกชนหรือกระโดดดึ๋ง ๆ อยู่ข้าง ๆ ครับ

เคยมีครั้งหนึ่ง สุนัขที่เลี้ยงไว้ติดโรคฉี่หนูทั้งบ้าน (จนถึงทุกวันนี้ผมก็ยังไม่ได้คำตอบจากสัตวแพทย์ว่าติดได้ยังไง ทั้งที่วัคซีนก็ฉีดไปแล้ว) เจ้าบั๊กก็ติดไปกับเค้าด้วย อาการคือไอแห้ง ๆ ตัวร้อน ฉี่เป็นเลือด ตัวที่เป็นหนักสุดคือโกลเด้นฯ ครับ เป็นหนักจนเดินไม่ไหว หมอก็บอกว่าควรให้เค้านอนห้องแอร์นะครับ เพื่อให้อุณหภูมิคงที่ ผมก็ยิ้มแต่คิดในใจว่า "บ้านตูติดแอร์ไว้ชั้นบนโว๊ย หมอมาอุ้มโกลเด้นหนักสี่สิบกว่าโลขึ้นบันไดให้หน่อยดิ" จำได้ว่าตอนนั้นเหนื่อยสุด ๆ ครับ เพราะต้องดูอาการอย่างใกล้ชิด ไข้สุนัขสูงมากต้องเช็ดตัวให้ตลอดเวลา ตอนนั้นผมลางานมาช่วยดูครับ ทีแรกเขียนใบลากิจให้หัวหน้าไปตรง ๆ ว่าลาไปเฝ้าสุนัข โดนหัวหน้าเรียกไปด่าว่าเอ็งอยากโดนฝ่ายการเจ้าหน้าที่ซิวใช่มะ เลยต้องแก้เป็นลากิจพาแม่ไปหาหมอแทนครับ

เวลาผ่านไป นอกจากงานที่มากขึ้นจนทำให้ผมต้องย้ายมาพักใกล้ ๆ ที่ทำงานแล้ว บ้านผมยังโชคดีได้สุนัขมาเลี้ยงฟรี ๆ อีกหกตัว คือสุนัขบ้านข้าง ๆ ท้องแล้วเจ้าของไม่อยากเลี้ยงต่อครับ บอกว่าจะเอาไปปล่อยวัด เลยจำใจเลี้ยงแม่มันไว้ชั่วคราว และไม่นานแม่สุนัขก็คลอดออกมาห้าตัว (โชคดีตรงไหนฟะ) สุดท้ายเมื่อทุกอย่างลงตัวก็มีคนมารับอุปการะไปและบ้านผมเลี้ยงไว้เองสองตัว การที่ผมกลับบ้านอาทิตย์ละวันสองวัน และมีสุนัขอยู่ในบ้านมากขึ้น ประกอบกับเจ้าบั๊กก็อายุมากแล้ว (คือสุนัขแก่จะไม่อ้อนไม่ซนเหมือนสุนัขเด็กครับ) ผมเลยมีเวลาให้เจ้าบั๊กน้อยลงครับ

ไม่นานเจ้าบั๊กก็ป่วยไปตามอายุ วันเสาร์วันหนึ่งผมกลับมาถึงบ้านก็พบว่ามันเดินไม่ไหวแล้ว ก่อนที่ผมจะกลับไปทำงานวันอาทิตย์ก็คิดเผื่อใจไว้แล้วว่าอาจไม่ได้เจอมันอีก

เหตุการณ์ที่อยากเล่าจริง ๆ ก็คือท่อนต่อไปนี้แหละครับ

วันพฤหัสหลังเลิกงาน ผมและเพื่อน ๆ พาน้องที่ทำงานไปเลี้ยงส่งที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง กำลังกินข้าวอยู่แม่ก็โทรมาบอกว่า "เจ้าบั๊กอาการไม่ดีแล้ว เริ่มตัวกระตุก แล้วก็ไม่กินอาหาร คิดว่าอีกไม่นานก็คงไปแล้ว ช่วยเรียกชื่อมันผ่านโทรศัพท์หน่อย" ผมเองก็เรียกชื่อเจ้าบั๊กผ่านโทรศัพท์สามสี่ที บั๊ก บั๊กก บั๊กกก บั๊กก (คนข้าง ๆ เริ่มมองผมด้วยสายตาแปลก ๆ) แล้วก็วางโทรศัพท์ไป

ผมตัดสินใจจ่ายเงินค่าอาหารและขอตัวกลับบ้าน ระหว่างทางก็โทรถามแม่ว่าอาการเจ้าบั๊กเป็นยังไงบ้าง แม่ก็ตอบว่ามันไม่ค่อยดีแล้ว

พอถึงบ้าน คนแรกที่ผมเจอคือพ่อครับ พ่อก็ทำหน้างง (ประมาณว่ากลับมาทำไมวะ) ผมก็บอกว่ามาดูเจ้าบั๊ก พ่อผมก็หันไปบ่นกับแม่ว่าจะโทรไปบอกผมทำไม ถึงตรงนี้ผมก็ได้รู้ข้อเท็จจริงว่าเจ้าบั๊กมันอาการไม่ดีอย่างนี้มาสองสามวันแล้ว เจียนอยู่เจียนไปหลายที จนพ่อผมต้องไปลูบหัวมันแล้วถามว่า "บั๊กเอ้ย รอพี่.. (ชื่อผมขอเซนเซอร์นะครับ) อยู่หรือไง" แม่ผมได้ยินเข้าถึงได้โทรศัพท์ให้ผมคุยกับมัน

ผมนั่งลงข้าง ๆ เจ้าบั๊ก พยายามป้อนน้ำป้อนนม แต่กินเข้าไปนิดหน่อยก็ไม่เอาแล้ว ผมก็นั่งเกาหัวลูบหัวเจ้าบั๊กอยู่ซักพัก ระหว่างนั้นก็นึกไปถึงตอนที่ป้อนนมเจ้าบั๊กตัวเล็ก ๆ นึกถึงตอนที่เจ้าบั๊กกินทุกอย่างที่ขวางหน้า นึกถึงตอนที่เจ้าบั๊กกัดรองเท้าคู่ละครึ่งหมื่นของพ่อ (สมน้ำหน้าซื้อมาให้หมากัด) นึกถึงตอนที่เจ้าบั๊กคาบลูกบอลกลับมาหาเรา นึกถึงตอนที่เจ้าบั๊กขึ้นไปฉี่บนที่นอนเรา .... และสุดท้าย ผมตัดสินใจโน้มตัวลงไปบอกข้างหูเจ้าบั๊กว่า "บั๊ก.. ไปเถอะ" แล้วผมก็เดินไปทำมิวสิควีดีโออยู่หน้าบ้าน ไม่นานพ่อผมก็มาบอกว่า "บั๊กมันไปแล้วนะ"

เรื่องระหว่างผมกับเจ้าบั๊กก็จบลงเท่านี้ครับ  ถึงตรงนี้ผมคงไม่ต้องบอกแล้วนะครับว่ายังสงสัยว่าสุนัขจะผูกพันกับเจ้าของขนาดนั้นได้ยังไงอยู่หรือเปล่า

ถ้าผมจะยังมีความสงสัยอยู่บ้าง ก็คงเป็นความสงสัยในตัวเราเองแล้วว่า "เราที่เรียกตัวเองว่าสัตว์ประเสริฐ จะสามารถรักและซื่อสัตย์ต่อใครซักคนได้อย่างสุนัขที่เราเรียกว่าสัตว์เดรัจฉานหรือไม่"

สุดท้ายนี้ผมอยากฝากถึงทุกท่านที่ทนอ่านมาถึงตรงนี้ว่า

วันนี้คุณรักเค้าเท่ากับที่เค้ารักคุณหรือยัง

ขอบคุณที่อ่านครับ

When he takes his last breath, be sure to say good-bye and reflect on all the good memories you had together. Remember, Don't cry because it's over, smile because it happened. Be happy because you had your dog, don't cry because he's gone. (How to Comfort a Dying Dog : http://dogs.lovetoknow.com/wiki/Warning_Signs_a_Dog_Is_Dying)

ปล. ขอบคุณทุกท่านที่ร่วมแบ่งปันประสบการณ์ดี ๆ นะครับ ผมขออนุญาตใช้คำว่าประสบการณ์ดี ๆ ถึงแม้บางเรื่องจะเศร้ามากก็ตาม เพราะเรื่องราวเหล่านี้เป็นเครื่องยืนยันอย่างดีถึงความผูกพันที่สัตว์เลี้ยงมีให้กับเจ้าของ สำหรับใครที่เชื่อหรือเข้าใจเรื่องเหล่านี้ดีมาตลอดอยู่แล้ว ก็ถือว่าได้มารับรู้แบ่งปันประสบการณ์กับคนอื่น ๆ นะครับ แต่สำหรับใครที่ยังมีข้อสงสัยอยู่ หรือใครก็ตามที่ไม่เคยเชื่อเรื่องเหล่านี้ ผมหวังว่ากระทู้นี้จะเป็นจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ให้ท่านแสวงหาทำตอบต่อไปนะครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่