สวัสดีค่ะ หลังจากที่ว่านเคยเขียนบล็อก เล่าเรื่องขอวีซ่ามัลติเพิลญี่ปุ่นในฐานะที่ไม่ได้เป็นมนุษย์เงินเดือน a.k.a. ฟรีแลนซ์นั่นเอง.. ไว้เมื่อปลายปีที่แล้ว
จนเมื่อ 1 กรกฎาที่ผ่านมา คนไทยที่ไปเที่ยวญี่ปุ่นไม่เกิน 15 วัน ได้รับการผ่อนผันไม่ต้องขอวีซ่าแล้ว ( กระซิก
)
คราวนี้ว่านก็จะมาเล่าเรื่องขอวีซ่าสหรัฐอเมริกาในฐานะที่ไม่ได้เป็นมนุษย์เงินเดือน a.k.a. ฟรีแลนซ์นั่นเอง.. บ้างนะคะ
แถมท้ายด้วยการไขความจริง
“เขาว่ากันว่า”ในการขอวีซ่าอเมริกาด้วยค่ะ
เขาว่างั้น เขาว่างี้.. จริงหรือไม่จริง เดี๋ยวได้รู้กันค่ะ =)
อันว่าวีซ่าสหรัฐอเมริกา หรือต่อจากนี้ขอเรียกสั้น ๆ ว่าอเมริกานี้ มักเป็นที่หวั่นเกรงของผู้ขอมาก ไม่แพ้วีซ่าเชงเก้นหรือทางยุโรปแต่อย่างใด
ด้วยเป็นที่เลื่องลือว่าโหด
บ หิน!!! ไหนจะสัมภาษณ์ภาษาอังกฤษ ไหนจะต้องจ่ายตังค่าขอวีซ่าก่อน
ถ้าขอวีซ่าก็ไม่ผ่าน ก็เท่ากับเงินกว่าครึ่งหมื่นหายวับไปกับตา.. กรี๊ดดดด
เล่นเอามนุษย์ฟรีแลนซ์อย่างว่านคิดหนักอยู่ไม่น้อย ถึงจะค่อนข้างมั่นใจว่าเครดิตทางการเดินทางของตัวเองค่อนข้างดี ไม่เคยมีอะไรด่างพร้อย
แต่ถ้าไปขอแล้วเงินหลายพันปลิวหายไปกับสายลมอเมริกาก็คงต้องไปนั่งทำใจหลายวันอยู่เหมือนกัน
แต่.. ถ้ามัวแต่หวั่น ชาตินี้ก็คงไม่ได้ไปไหนกันพอดี จริงไหม =)
เอาเข้าจริงแล้วการขอวีซ่าอเมริกา ไม่ได้ยากเว่อร์เลยค่ะ แถมขอที ก็( มักจะ )ได้10ปีด้วย
ไม่ต้องไปขอทุกครั้ง อยากไปเมื่อไหร่ก็ได้ใน 10 ปี.. เลิศเนอะ
ว่าแล้วก็มาเริ่มปฏิบัติการการขอวีซ่าท่องเที่ยวกันเลยค่ะ
วิธีต่อไปนี้ไม่เฉพาะผู้ที่เป็นฟรีแลนซ์นะคะ จะฟรีฯ ไม่ฟรีฯ ถ้าเป็นวีซ่าท่องเที่ยว ก็ใช้วิธีเดียวกันหมด (^^ )
มีหลายเว็บที่อธิบายวิธีขอวีซ่าอเมริกาอย่างละเอียดอยู่แล้ว ว่านคงไม่เจาะลึกมากนะคะ เอาแค่ตอนง่าย ๆ เพียง 1-2-3
1. สมัคร
กรอกแบบฟอร์ม DS-160 ได้ที่
https://ceac.state.gov/genniv/
สำหรับผู้ที่ไม่ถนัดภาษาปะกิต เปิดมาแล้วเกิดอาการตื่นตะลึงกับภาษาอังกฤษเป็นหน้า ๆ ยังผลให้เกิดอาการวิงเวียนศีรษะ ใจสั่น ไปต่อไม่ถูก..
ขอแนะนำให้เลือก Tooltip Language มุมขวาบนของหน้าเป็นภาษาไทย (1)
แล้วเวลาท่านนำเม้าส์ไปจ่อที่ไหน ตรงนั้นจะขึ้นภาษาไทยแปลกำกับให้จ้า..
หลังจากเลือก Tooltip Language เป็นภาษาไทยแล้ว ให้เริ่มตรง Get Started นั่นแหละค่ะ (2)
เลือกThailand ส่วนจะบางกอก หรือเจียงใหม่ อันนี้ก็แล้วแต่ว่าจะไปยื่นขอวีซ่าที่ไหนนะคะ
หลังจากนั้นก็เริ่มกรอกกันได้เลย (3)
พอกดไป ก็จะได้หน้านี้ค่ะ จดเลข Application ID ( ลูกศรชี้ )ไว้ให้ดี ๆ นะคะ เพราะเราต้องใช้เลขนี้ไปจนกว่าจะได้สัมภาษณ์เลยแหละ
ระหว่างกรอกฟอร์ม DS-160 ก็ควรจะหมั่นกด SAVE บ่อย ๆ นะคะ
สำหรับรูปถ่ายที่หลายคนกังวลกันจั้งงงงง จนเอาไปล้อเลียนกันเป็นที่สนุกสนานมากมาย ก็ขอบอกว่าไม่ต้องกังวลมากค่ะ
แค่ถ่ายรูปให้เห็นหน้าตรงชัดเจน เว้นระยะพอดี ไม่สว่างเว่อหรือมืดเกิน ถ้าใส่แว่นก็อย่าให้มีเงาสะท้อนบนแว่น เท่านั้นเองค่ะ
ดูตัวอย่างภาพที่
“พอดี” ได้ที่นี่นะคะ ซ้ายคือไม่ผ่าน ขวาคือผ่านค่ะ
http://travel.state.gov/visa/visaphotoreq/photoexamples/photoexamples_5331.html
ถึงจะแนบรูปไปในฟอร์ม DS-160 ผ่านแล้ว ยังไงวันที่สัมภาษณ์ก็ขอให้แนบรูปแบบเป็นใบ ๆ ไปด้วยนะคะ
รูปถึงจะไม่ยิ้ม ก็ควรจะมีชีวิตชีวานี๊ีดดดดด นึง.. ของว่านนี่รูปถ่ายแบบหน้าสดเลย เยินมาก สีหน้าเรียบเฉยสุด ๆ 555
รูปแนบแบบฟอร์มทางคอมพ์ไปผ่านค่ะ แต่ไปตกม้าตายตอนตรวจเอกสาร น้องจนท.เค้าทำหน้ายุ่งแล้วถามว่ามีรูปอื่นไหมคะ
( คงเว้นไว้ในใจว่าหน้าพี่สดเกินนะคะ..รูปนี้ ยังกะ mugshot ก็ไม่ปาน (^^’ ) )
ยังดีที่พกรูปอื่นที่เป็นใบ ๆ ไปด้วยตามคำแนะนำ เลยรอดค่ะ
อ้อ สำหรับคนที่ทำสีผมใหม่ หรือกว่าจะนัดสัมภาษณ์ได้ก็รอจนหนวดเครางอก ( อุย.. )
อาจจะสงสัยว่ายังงี้ต้องเปลี่ยนรูปใหม่ไหม ขอบอกว่าไม่ต้องค่ะ
จะต้องแนบรูปใหม่ในกรณีที่หน้าตาต่างไปจากเดิมมาก เช่น ศัลยกรรมแบบหน้าตาต่างไปจากเดิมเลย
หรือประสบอุบัติเหตุ ( ขออย่าให้เกิดกับใครเลยนะคะ ) หรือไปสัก/ลบรอยสัก เจาะขนาดใหญ่บนหน้ามา
หรือลดน้ำหนักฮวบ ๆ หรือน้ำหนักพุ่งพรวด ๆ หรือแปลงเพศ ถ้ากรณีเหล่านี้ควรต้องแนบรูปใหม่ค่ะ
2. นัด
ซื้อ PIN เพื่อนัดหมายเวลาสัมภาษณ์
พอได้เลข Application ID แล้วก็อย่ารอช้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีบัตรเครดิตในมือ ซื้อ PIN เพื่อจองเวลาสัมภาษณ์กันเล้ย..
จริง ๆ แล้วควรจะกรอกฟอร์ม DS-160 ให้เสร็จก่อน แต่ถ้าใครมั่นใจว่ากรอกได้ครบถ้วน ไม่มีปัญหา จะซื้อ PIN เลยก็ได้ค่ะ
ว่านเองก็ซื้อ PIN ก่อนกรอกเสร็จ แหะแหะ แอบสารภาพว่าอ่านไม่ละเอียดว่าควรกรอกฟอร์มให้เสร็จก่อนซื้อ PIN (^^’ )
ซื้อ PIN เพื่อจองเวลาสัมภาษณ์ได้ 3 วิธีค่ะ
(1) โทรสั่งทาง Call Center
(2) ซื้อที่ที่ทำการไปรษณีย์ โดย PIN นั้นจะใช้ได้เวลาบ่ายโมงของวันทำการถัดไป
(3) ซื้อออนไลน์ทางเว็บไซต์โดยใช้บัตรเครดิต
ว่านว่าถ้ามีบัตรเครดิต ซื้ออนไลน์ (3) สะดวกสุดค่ะ ซื้อแล้วใช้ได้เลยด้วย ไม่ต้องรอ XD
ทั้งซื้อ PIN ออนไลน์ ทั้งจองเวลาสัมภาษณ์ ก็ทำได้ที่เว็บเดียวกันเลยค่ะ
https://thailand.us-visaservices.com/Forms/DetermineTCN.aspx
กด Yes จากนั้นก็ Next เลย ถ้ากดไปแล้วรู้สึกว่ามันแปลก ๆ หรือแสดงผลไม่ครบยังไง ลองเปลี่ยนบราวเซอร์ดูนะคะ
ตอนนั้นว่านใช้ Chrome แล้วต๊อง ๆ แต่ใช้ Firefox แล้วฉลุยแฮะ ยังดีไม่ต้องถึงขนาดขุด IE ขึ้นมา (-”- )
จากนั้นจะมาหน้านี้ กรอกรายละเอียดส่วนบนให้ครบ -> Submit แล้วก็จะมีหน้าให้เราซื้อ PIN โดยตัดบัตรออนไลน์ได้เลยค่ะ
เรื่องนัดเวลาสัมภาษณ์นี่ก็แล้วแต่ดวงใครดวงมันนะคะ (^^’ ) ว่านจองตอนต้นปี.. เขียวขจีสว่างไสว เลือกจิ้มได้ดังใจนึกเลยค่ะ
อย่าลืมนะคะว่าเราต้องไปถึงสถานทูตก่อนเวลาสัมภาษณ์ครึ่งชั่วโมงเป็นอย่างน้อย กะ+เผื่อเวลาไว้ด้วยเน้อ
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเรื่องการนัดสัมภาษณ์ได้ที่ Youtube ของทางสถานทูตเลยค่ะ
หลังจากนัดสัมภาษณ์แล้ว ก็ได้เวลาจ่ายค่าธรรมเนียมยื่นขอวีซ่าซะที ( ปาดน้ำตา )
ค่าขอวีซ่าท่องเที่ยว B-2 อยู่ที่ US $160 ถ้วน ซึ่งสามารถไปจ่ายได้ที่ที่ทำการไปรษณีย์เท่านั้น ตัดบัตรออนไลน์ไม่ได้ (>_< )
สามารถเช็คอัตราเป็นเงินบาทได้ที่ไฟล์.pdf ในลิ้งค์นี้ค่ะ ตอนว่านขอ อยู่ที่ 5,120 บาท ตอนนี้ปรับลงมาเป็น 4,800 บาทแล้ว (>>_<< )
http://www.thailandpost.com/service-detail.php?sid=45&service=174
ในวันที่ไปจ่าย แนะนำว่าควรพกสำเนาพาสปอร์ตไปด้วยค่ะ จะถ่ายรูปเก็บไว้ในมือถือก็ได้
อันนี้ในเว็บไซต์ของสถานทูตหรือปณ.ไทยก็ไม่มีบอกไว้ แต่ว่านไปเจอคุณน้องหน้าแฉล้มที่เคาน์เตอร์ปณ.ไทยร้องขอ เล่นเอาเหวอไปเลย
เดาว่าอาจเคยมีกรณีการสะกดชื่อภาษาอังกฤษผิด แล้วโบ้ยกันไปมา เลยยึดถือเอาตามสำเนาพาสปอร์ตซะเลย ชัวร์ดี
ยังดีที่ว่านถ่ายรูปพาสปอร์ตติดมือถือไว้ด้วย เลยรอดไป.. บางปณ.อาจจะไม่ถามหานะคะ ก็เผื่อ ๆ ไว้ก็แล้วกัน
3. สัมภาษณ์
สัมภาษณ์ที่สถานทูตสหรัฐอเมริกา ถนนวิทยุ
โดยเตรียมกาย ใจ และเอกสารให้ครบถ้วนดังนี้
(1) ไปถึงสถานทูตก่อนเวลาสัมภาษณ์ครึ่งชั่วโมงเป็นอย่างน้อย
(2) เตรียมอุปกรณ์กระดาษเพื่อสร้างความบันเทิงและผ่อนคลายให้กับตนเองและบุตรหลาน( หากมี ) หรือเรียกง่าย ๆ ว่า”หนังสือ” (^^ )
เพราะเมื่อผ่านรั้วสถานทูตแล้ว จะไม่อนุญาตให้นำอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ใด ๆ รวมถึงกระเป๋า เป้ รถเข็นใด ๆ ติดตัวเข้าไปค่ะ
(3) เตรียมเอกสารที่จำเป็นในการขอวีซ่า
- พาสปอร์ตที่มีอายุมากกว่า 6 เดือน โดยนับอายุจากวันที่คาดว่าจะเดินทางกลับจากอเมริกา ถ้ามีเล่มเก่า ควรนำมาด้วย
- รูปถ่าย ดังที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นนั่นแล..
- ใบคอนเฟิร์มแบบฟอร์ม DS-160 ปริ้นต์ให้เห็นบาร์โค้ดชัดเจนนะคะ ใบแรกใบเดียวพอค่ะ เว้นแต่อยากจะปริ้นต์ทั้งหมดไว้อ่านด้วย
- หลักฐานการชำระค่าขอวีซ่า ทั้งสองใบเลยนะคะ ใบรับเงินกับใบชมพู
- หากเคยเปลี่ยนชื่อ-สกุล ให้นำใบเปลี่ยนชื่อ-สกุลไปด้วย
- หากขอวีซ่าพร้อมคนในครอบครัวใกล้ชิด ( สามี/ภรรยา พ่อ/แม่/ลูก พี่/น้อง เท่านั้น ) ให้นำหลักฐานแสดงความเกี่ยวข้องไปด้วย
- อื่น ๆ
.. คำเดียวสั้น ๆ แต่ความหมายช่างกว้างขวาง.. (-_-’ ) คำเดียวนี่แหละ ที่ช่างเป็นที่น่าพรั่นพรึงสำหรับชาวฟรีแลนซ์..
ถ้าเป็นพนง. บริษัทก็ง้ายง่าย.. หนังสือรับรองการทำงาน + สมุดบัญชีใส ๆ
แต่เดี๋ยวก่อน!!! แม้แต่ในเว็บของสถานทูต ก็ไม่ได้ระบุไว้เป็นที่ชัดเจนว่า “Additional Documentation May Be Required” นั้น
http://travel.state.gov/visa/temp/types/types_1262.html#documentation
แท้จริงแล้วสถานทูตต้องการเอกสารอะไรบ้าง..
ข้อความที่มีก็ค่อนข้างคลุมเครือ เช่นอาจต้องการเอกสารที่แสดงว่า..
ไปทำอะไร / ไปแล้วจะกลับไหม / ไป-กลับเมื่อไหร่ / จ่ายไหวไหม
ตอนว่านจะไปขอ ก็เพียรอ่านอยู่หลายเว็บ ก็ไม่ได้มีอะไรชี้ชัดว่าแล้วหมู่เฮาชาวฟรีแลนซ์ควรใช้หลักฐานอะไร..
ก็เลยหอบไปหมดบ้านเลยค่ะ อะไรที่นึกได้ว่าเป็นหลักฐานการงาน รายได้ ความผูกพันกับประเทศไทย.. ขนไปโหม๊ดดดด
หนังสือรับรองการทำงาน.. ไม่มีแน่นอน เลยหอบเอาหนังสือรับรองการเสียภาษีและหักภาษี ณ ที่จ่ายไปแทน
เพื่อเป็นหลักฐานว่าฉันมีรายได้ แถมเสียภาษีถูกต้องด้วยนะ แฮ่ม..
ประกอบกับสมุดบัญชี ทำสำเนาเรียบร้อย มีเงินเข้าเงินออกตลอด
เขียนจดหมายชี้แจงการทำงานและที่มาของรายได้เหมือนที่ไปขอวีซ่าญี่ปุ่น ทั้งผลงานที่เคยทำมา ทั้งงานเขียน ทั้งงานแปล ทั้งบล็อก
บล็อกก็เลือกปริ้นต์หน้าที่มีคุณแม่ด้วย เพื่อแสดงว่าฉันมีครอบครัว มีความผูกพันอยู่ที่ไทยแลนด์แดนสยามนี่นะจ๊ะ
กลัวว่าจะแสดงความผูกพันต่อประเทศไทยไม่พอ
เลยเอาหนังสือรับรองชำระเงินกู้ พร้อมสำเนาหนังสือกรรมสิทธิ์คอนโดไปด้วย เพื่อแสดงว่ามีภาระผูกพันอยู่
หอบไปแม้กระทั่งสัญญาเงินกู้คอนโด และหนังสือรับรองคุณวุฒิ ( ชักเยอะละ ) ราวกับจะไปชั่งกิโลขาย เลยพอเหอะ..
อ้อ มีแผนการเที่ยวคร่าว ๆ ด้วยค่ะ แต่ไม่ได้มีหลักฐานการจองตั๋วเครื่องบิน จองโรงแรมที่พักแต่อย่างใด
ในเว็บสถานทูตบอกย้ำว่ายังไม่ต้องจ่ายเงินตั๋วเครื่องบิน+โรงแรมใด ๆ ทั้งนั้น จนกว่าจะได้วีซ่า
บอกเล่าคร่าว ๆ เพิ่มเติม.. เพราะแต่ละคนก็มีภูมิหลังต่าง ๆ กันไป..
ว่านเคยไปเรียนที่อเมริกา แต่นั่นก็นานนนนนนนนนนน มากแล้วค่ะ
แต่ก็ทำให้สื่อสารภาษาอังกฤษได้ค่อนข้างดี ไม่มีปัญหา..
ไปอเมริกาครั้งสุดท้าย ปี 2010 ..อยู่ 2 วัน คือวีซ่า 10 ปีตอนนั้นจะหมด ก็เลยไปใช้ซะให้คุ้ม ( เรอะ )
ตอนนั้นก็หวั่น ๆ อยู่เหมือนกันค่ะ เพราะเข้าประเทศก่อนวีซ่าจะหมดอายุแค่ 2 วัน
แต่พี่อิมฯ ( ตม. ) ก็ปั้มให้อยู่ได้ 3 เดือนแน่ะ
ว่านมีนัดกับเพื่อนไปเที่ยวญี่ปุ่นต่อ เลยอยู่ได้แค่ 2 วัน 555
ทำยังกะไปเที่ยวญี่ปุ่น แล้วทรานสิทอเมริกายังไงยังงั้น (-”- )
เดี๋ยวเรื่องนี้ว่าง ๆ ต้องเขียนเล่าเป็นบล็อกเหมือนกันค่ะ มีเรื่องลุ้นเยอะดี 2 วัน อิน อเมริกา.. 555
ถึงจะเคยไปอเมริกา แต่ครั้งสุดท้ายที่ขอวีซ่า ตอนนั้นสถานะเป็นนักศึกษาค่ะ
ครั้งนี้เป็นผู้ทำงานชนิดไร้หลักแหล่ง แถมยังโสด
เลยค่อนข้างหวั่นเล็กน้อย
ถึงจะคิดว่าตัวเองเครดิตทางการเดินทางค่อนข้างดีอย่างที่บอกก็เหอะ (>_< )
และแล้ว.. ก็ถึงวันสัมภาษณ์
(>>_<< )
:+: ว่านน้ำเล่าเรื่องขอวีซ่าสหรัฐอเมริกาในฐานะฟรีแลนซ์ และไขความจริง”เขาว่ากันว่า”ในการขอวีซ่าอเมริกา :+:
จนเมื่อ 1 กรกฎาที่ผ่านมา คนไทยที่ไปเที่ยวญี่ปุ่นไม่เกิน 15 วัน ได้รับการผ่อนผันไม่ต้องขอวีซ่าแล้ว ( กระซิก )
คราวนี้ว่านก็จะมาเล่าเรื่องขอวีซ่าสหรัฐอเมริกาในฐานะที่ไม่ได้เป็นมนุษย์เงินเดือน a.k.a. ฟรีแลนซ์นั่นเอง.. บ้างนะคะ
แถมท้ายด้วยการไขความจริง“เขาว่ากันว่า”ในการขอวีซ่าอเมริกาด้วยค่ะ
เขาว่างั้น เขาว่างี้.. จริงหรือไม่จริง เดี๋ยวได้รู้กันค่ะ =)
อันว่าวีซ่าสหรัฐอเมริกา หรือต่อจากนี้ขอเรียกสั้น ๆ ว่าอเมริกานี้ มักเป็นที่หวั่นเกรงของผู้ขอมาก ไม่แพ้วีซ่าเชงเก้นหรือทางยุโรปแต่อย่างใด
ด้วยเป็นที่เลื่องลือว่าโหด บ หิน!!! ไหนจะสัมภาษณ์ภาษาอังกฤษ ไหนจะต้องจ่ายตังค่าขอวีซ่าก่อน
ถ้าขอวีซ่าก็ไม่ผ่าน ก็เท่ากับเงินกว่าครึ่งหมื่นหายวับไปกับตา.. กรี๊ดดดด
เล่นเอามนุษย์ฟรีแลนซ์อย่างว่านคิดหนักอยู่ไม่น้อย ถึงจะค่อนข้างมั่นใจว่าเครดิตทางการเดินทางของตัวเองค่อนข้างดี ไม่เคยมีอะไรด่างพร้อย
แต่ถ้าไปขอแล้วเงินหลายพันปลิวหายไปกับสายลมอเมริกาก็คงต้องไปนั่งทำใจหลายวันอยู่เหมือนกัน
แต่.. ถ้ามัวแต่หวั่น ชาตินี้ก็คงไม่ได้ไปไหนกันพอดี จริงไหม =)
เอาเข้าจริงแล้วการขอวีซ่าอเมริกา ไม่ได้ยากเว่อร์เลยค่ะ แถมขอที ก็( มักจะ )ได้10ปีด้วย
ไม่ต้องไปขอทุกครั้ง อยากไปเมื่อไหร่ก็ได้ใน 10 ปี.. เลิศเนอะ
ว่าแล้วก็มาเริ่มปฏิบัติการการขอวีซ่าท่องเที่ยวกันเลยค่ะ
วิธีต่อไปนี้ไม่เฉพาะผู้ที่เป็นฟรีแลนซ์นะคะ จะฟรีฯ ไม่ฟรีฯ ถ้าเป็นวีซ่าท่องเที่ยว ก็ใช้วิธีเดียวกันหมด (^^ )
มีหลายเว็บที่อธิบายวิธีขอวีซ่าอเมริกาอย่างละเอียดอยู่แล้ว ว่านคงไม่เจาะลึกมากนะคะ เอาแค่ตอนง่าย ๆ เพียง 1-2-3
1. สมัคร
กรอกแบบฟอร์ม DS-160 ได้ที่ https://ceac.state.gov/genniv/
สำหรับผู้ที่ไม่ถนัดภาษาปะกิต เปิดมาแล้วเกิดอาการตื่นตะลึงกับภาษาอังกฤษเป็นหน้า ๆ ยังผลให้เกิดอาการวิงเวียนศีรษะ ใจสั่น ไปต่อไม่ถูก..
ขอแนะนำให้เลือก Tooltip Language มุมขวาบนของหน้าเป็นภาษาไทย (1)
แล้วเวลาท่านนำเม้าส์ไปจ่อที่ไหน ตรงนั้นจะขึ้นภาษาไทยแปลกำกับให้จ้า..
หลังจากเลือก Tooltip Language เป็นภาษาไทยแล้ว ให้เริ่มตรง Get Started นั่นแหละค่ะ (2)
เลือกThailand ส่วนจะบางกอก หรือเจียงใหม่ อันนี้ก็แล้วแต่ว่าจะไปยื่นขอวีซ่าที่ไหนนะคะ
หลังจากนั้นก็เริ่มกรอกกันได้เลย (3)
พอกดไป ก็จะได้หน้านี้ค่ะ จดเลข Application ID ( ลูกศรชี้ )ไว้ให้ดี ๆ นะคะ เพราะเราต้องใช้เลขนี้ไปจนกว่าจะได้สัมภาษณ์เลยแหละ
ระหว่างกรอกฟอร์ม DS-160 ก็ควรจะหมั่นกด SAVE บ่อย ๆ นะคะ
สำหรับรูปถ่ายที่หลายคนกังวลกันจั้งงงงง จนเอาไปล้อเลียนกันเป็นที่สนุกสนานมากมาย ก็ขอบอกว่าไม่ต้องกังวลมากค่ะ
แค่ถ่ายรูปให้เห็นหน้าตรงชัดเจน เว้นระยะพอดี ไม่สว่างเว่อหรือมืดเกิน ถ้าใส่แว่นก็อย่าให้มีเงาสะท้อนบนแว่น เท่านั้นเองค่ะ
ดูตัวอย่างภาพที่“พอดี” ได้ที่นี่นะคะ ซ้ายคือไม่ผ่าน ขวาคือผ่านค่ะ
http://travel.state.gov/visa/visaphotoreq/photoexamples/photoexamples_5331.html
ถึงจะแนบรูปไปในฟอร์ม DS-160 ผ่านแล้ว ยังไงวันที่สัมภาษณ์ก็ขอให้แนบรูปแบบเป็นใบ ๆ ไปด้วยนะคะ
รูปถึงจะไม่ยิ้ม ก็ควรจะมีชีวิตชีวานี๊ีดดดดด นึง.. ของว่านนี่รูปถ่ายแบบหน้าสดเลย เยินมาก สีหน้าเรียบเฉยสุด ๆ 555
รูปแนบแบบฟอร์มทางคอมพ์ไปผ่านค่ะ แต่ไปตกม้าตายตอนตรวจเอกสาร น้องจนท.เค้าทำหน้ายุ่งแล้วถามว่ามีรูปอื่นไหมคะ
( คงเว้นไว้ในใจว่าหน้าพี่สดเกินนะคะ..รูปนี้ ยังกะ mugshot ก็ไม่ปาน (^^’ ) )
ยังดีที่พกรูปอื่นที่เป็นใบ ๆ ไปด้วยตามคำแนะนำ เลยรอดค่ะ
อ้อ สำหรับคนที่ทำสีผมใหม่ หรือกว่าจะนัดสัมภาษณ์ได้ก็รอจนหนวดเครางอก ( อุย.. )
อาจจะสงสัยว่ายังงี้ต้องเปลี่ยนรูปใหม่ไหม ขอบอกว่าไม่ต้องค่ะ
จะต้องแนบรูปใหม่ในกรณีที่หน้าตาต่างไปจากเดิมมาก เช่น ศัลยกรรมแบบหน้าตาต่างไปจากเดิมเลย
หรือประสบอุบัติเหตุ ( ขออย่าให้เกิดกับใครเลยนะคะ ) หรือไปสัก/ลบรอยสัก เจาะขนาดใหญ่บนหน้ามา
หรือลดน้ำหนักฮวบ ๆ หรือน้ำหนักพุ่งพรวด ๆ หรือแปลงเพศ ถ้ากรณีเหล่านี้ควรต้องแนบรูปใหม่ค่ะ
2. นัด
ซื้อ PIN เพื่อนัดหมายเวลาสัมภาษณ์
พอได้เลข Application ID แล้วก็อย่ารอช้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีบัตรเครดิตในมือ ซื้อ PIN เพื่อจองเวลาสัมภาษณ์กันเล้ย..
จริง ๆ แล้วควรจะกรอกฟอร์ม DS-160 ให้เสร็จก่อน แต่ถ้าใครมั่นใจว่ากรอกได้ครบถ้วน ไม่มีปัญหา จะซื้อ PIN เลยก็ได้ค่ะ
ว่านเองก็ซื้อ PIN ก่อนกรอกเสร็จ แหะแหะ แอบสารภาพว่าอ่านไม่ละเอียดว่าควรกรอกฟอร์มให้เสร็จก่อนซื้อ PIN (^^’ )
ซื้อ PIN เพื่อจองเวลาสัมภาษณ์ได้ 3 วิธีค่ะ
(1) โทรสั่งทาง Call Center
(2) ซื้อที่ที่ทำการไปรษณีย์ โดย PIN นั้นจะใช้ได้เวลาบ่ายโมงของวันทำการถัดไป
(3) ซื้อออนไลน์ทางเว็บไซต์โดยใช้บัตรเครดิต
ว่านว่าถ้ามีบัตรเครดิต ซื้ออนไลน์ (3) สะดวกสุดค่ะ ซื้อแล้วใช้ได้เลยด้วย ไม่ต้องรอ XD
ทั้งซื้อ PIN ออนไลน์ ทั้งจองเวลาสัมภาษณ์ ก็ทำได้ที่เว็บเดียวกันเลยค่ะ https://thailand.us-visaservices.com/Forms/DetermineTCN.aspx
กด Yes จากนั้นก็ Next เลย ถ้ากดไปแล้วรู้สึกว่ามันแปลก ๆ หรือแสดงผลไม่ครบยังไง ลองเปลี่ยนบราวเซอร์ดูนะคะ
ตอนนั้นว่านใช้ Chrome แล้วต๊อง ๆ แต่ใช้ Firefox แล้วฉลุยแฮะ ยังดีไม่ต้องถึงขนาดขุด IE ขึ้นมา (-”- )
จากนั้นจะมาหน้านี้ กรอกรายละเอียดส่วนบนให้ครบ -> Submit แล้วก็จะมีหน้าให้เราซื้อ PIN โดยตัดบัตรออนไลน์ได้เลยค่ะ
เรื่องนัดเวลาสัมภาษณ์นี่ก็แล้วแต่ดวงใครดวงมันนะคะ (^^’ ) ว่านจองตอนต้นปี.. เขียวขจีสว่างไสว เลือกจิ้มได้ดังใจนึกเลยค่ะ
อย่าลืมนะคะว่าเราต้องไปถึงสถานทูตก่อนเวลาสัมภาษณ์ครึ่งชั่วโมงเป็นอย่างน้อย กะ+เผื่อเวลาไว้ด้วยเน้อ
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเรื่องการนัดสัมภาษณ์ได้ที่ Youtube ของทางสถานทูตเลยค่ะ
หลังจากนัดสัมภาษณ์แล้ว ก็ได้เวลาจ่ายค่าธรรมเนียมยื่นขอวีซ่าซะที ( ปาดน้ำตา )
ค่าขอวีซ่าท่องเที่ยว B-2 อยู่ที่ US $160 ถ้วน ซึ่งสามารถไปจ่ายได้ที่ที่ทำการไปรษณีย์เท่านั้น ตัดบัตรออนไลน์ไม่ได้ (>_< )
สามารถเช็คอัตราเป็นเงินบาทได้ที่ไฟล์.pdf ในลิ้งค์นี้ค่ะ ตอนว่านขอ อยู่ที่ 5,120 บาท ตอนนี้ปรับลงมาเป็น 4,800 บาทแล้ว (>>_<< )
http://www.thailandpost.com/service-detail.php?sid=45&service=174
ในวันที่ไปจ่าย แนะนำว่าควรพกสำเนาพาสปอร์ตไปด้วยค่ะ จะถ่ายรูปเก็บไว้ในมือถือก็ได้
อันนี้ในเว็บไซต์ของสถานทูตหรือปณ.ไทยก็ไม่มีบอกไว้ แต่ว่านไปเจอคุณน้องหน้าแฉล้มที่เคาน์เตอร์ปณ.ไทยร้องขอ เล่นเอาเหวอไปเลย
เดาว่าอาจเคยมีกรณีการสะกดชื่อภาษาอังกฤษผิด แล้วโบ้ยกันไปมา เลยยึดถือเอาตามสำเนาพาสปอร์ตซะเลย ชัวร์ดี
ยังดีที่ว่านถ่ายรูปพาสปอร์ตติดมือถือไว้ด้วย เลยรอดไป.. บางปณ.อาจจะไม่ถามหานะคะ ก็เผื่อ ๆ ไว้ก็แล้วกัน
3. สัมภาษณ์
สัมภาษณ์ที่สถานทูตสหรัฐอเมริกา ถนนวิทยุ
โดยเตรียมกาย ใจ และเอกสารให้ครบถ้วนดังนี้
(1) ไปถึงสถานทูตก่อนเวลาสัมภาษณ์ครึ่งชั่วโมงเป็นอย่างน้อย
(2) เตรียมอุปกรณ์กระดาษเพื่อสร้างความบันเทิงและผ่อนคลายให้กับตนเองและบุตรหลาน( หากมี ) หรือเรียกง่าย ๆ ว่า”หนังสือ” (^^ )
เพราะเมื่อผ่านรั้วสถานทูตแล้ว จะไม่อนุญาตให้นำอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ใด ๆ รวมถึงกระเป๋า เป้ รถเข็นใด ๆ ติดตัวเข้าไปค่ะ
(3) เตรียมเอกสารที่จำเป็นในการขอวีซ่า
- พาสปอร์ตที่มีอายุมากกว่า 6 เดือน โดยนับอายุจากวันที่คาดว่าจะเดินทางกลับจากอเมริกา ถ้ามีเล่มเก่า ควรนำมาด้วย
- รูปถ่าย ดังที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นนั่นแล..
- ใบคอนเฟิร์มแบบฟอร์ม DS-160 ปริ้นต์ให้เห็นบาร์โค้ดชัดเจนนะคะ ใบแรกใบเดียวพอค่ะ เว้นแต่อยากจะปริ้นต์ทั้งหมดไว้อ่านด้วย
- หลักฐานการชำระค่าขอวีซ่า ทั้งสองใบเลยนะคะ ใบรับเงินกับใบชมพู
- หากเคยเปลี่ยนชื่อ-สกุล ให้นำใบเปลี่ยนชื่อ-สกุลไปด้วย
- หากขอวีซ่าพร้อมคนในครอบครัวใกล้ชิด ( สามี/ภรรยา พ่อ/แม่/ลูก พี่/น้อง เท่านั้น ) ให้นำหลักฐานแสดงความเกี่ยวข้องไปด้วย
- อื่น ๆ
.. คำเดียวสั้น ๆ แต่ความหมายช่างกว้างขวาง.. (-_-’ ) คำเดียวนี่แหละ ที่ช่างเป็นที่น่าพรั่นพรึงสำหรับชาวฟรีแลนซ์..
ถ้าเป็นพนง. บริษัทก็ง้ายง่าย.. หนังสือรับรองการทำงาน + สมุดบัญชีใส ๆ
แต่เดี๋ยวก่อน!!! แม้แต่ในเว็บของสถานทูต ก็ไม่ได้ระบุไว้เป็นที่ชัดเจนว่า “Additional Documentation May Be Required” นั้น
http://travel.state.gov/visa/temp/types/types_1262.html#documentation
แท้จริงแล้วสถานทูตต้องการเอกสารอะไรบ้าง..
ข้อความที่มีก็ค่อนข้างคลุมเครือ เช่นอาจต้องการเอกสารที่แสดงว่า..
ไปทำอะไร / ไปแล้วจะกลับไหม / ไป-กลับเมื่อไหร่ / จ่ายไหวไหม
ตอนว่านจะไปขอ ก็เพียรอ่านอยู่หลายเว็บ ก็ไม่ได้มีอะไรชี้ชัดว่าแล้วหมู่เฮาชาวฟรีแลนซ์ควรใช้หลักฐานอะไร..
ก็เลยหอบไปหมดบ้านเลยค่ะ อะไรที่นึกได้ว่าเป็นหลักฐานการงาน รายได้ ความผูกพันกับประเทศไทย.. ขนไปโหม๊ดดดด
หนังสือรับรองการทำงาน.. ไม่มีแน่นอน เลยหอบเอาหนังสือรับรองการเสียภาษีและหักภาษี ณ ที่จ่ายไปแทน
เพื่อเป็นหลักฐานว่าฉันมีรายได้ แถมเสียภาษีถูกต้องด้วยนะ แฮ่ม..
ประกอบกับสมุดบัญชี ทำสำเนาเรียบร้อย มีเงินเข้าเงินออกตลอด
เขียนจดหมายชี้แจงการทำงานและที่มาของรายได้เหมือนที่ไปขอวีซ่าญี่ปุ่น ทั้งผลงานที่เคยทำมา ทั้งงานเขียน ทั้งงานแปล ทั้งบล็อก
บล็อกก็เลือกปริ้นต์หน้าที่มีคุณแม่ด้วย เพื่อแสดงว่าฉันมีครอบครัว มีความผูกพันอยู่ที่ไทยแลนด์แดนสยามนี่นะจ๊ะ
กลัวว่าจะแสดงความผูกพันต่อประเทศไทยไม่พอ
เลยเอาหนังสือรับรองชำระเงินกู้ พร้อมสำเนาหนังสือกรรมสิทธิ์คอนโดไปด้วย เพื่อแสดงว่ามีภาระผูกพันอยู่
หอบไปแม้กระทั่งสัญญาเงินกู้คอนโด และหนังสือรับรองคุณวุฒิ ( ชักเยอะละ ) ราวกับจะไปชั่งกิโลขาย เลยพอเหอะ..
อ้อ มีแผนการเที่ยวคร่าว ๆ ด้วยค่ะ แต่ไม่ได้มีหลักฐานการจองตั๋วเครื่องบิน จองโรงแรมที่พักแต่อย่างใด
ในเว็บสถานทูตบอกย้ำว่ายังไม่ต้องจ่ายเงินตั๋วเครื่องบิน+โรงแรมใด ๆ ทั้งนั้น จนกว่าจะได้วีซ่า
บอกเล่าคร่าว ๆ เพิ่มเติม.. เพราะแต่ละคนก็มีภูมิหลังต่าง ๆ กันไป..
ว่านเคยไปเรียนที่อเมริกา แต่นั่นก็นานนนนนนนนนนน มากแล้วค่ะ
แต่ก็ทำให้สื่อสารภาษาอังกฤษได้ค่อนข้างดี ไม่มีปัญหา..
ไปอเมริกาครั้งสุดท้าย ปี 2010 ..อยู่ 2 วัน คือวีซ่า 10 ปีตอนนั้นจะหมด ก็เลยไปใช้ซะให้คุ้ม ( เรอะ )
ตอนนั้นก็หวั่น ๆ อยู่เหมือนกันค่ะ เพราะเข้าประเทศก่อนวีซ่าจะหมดอายุแค่ 2 วัน
แต่พี่อิมฯ ( ตม. ) ก็ปั้มให้อยู่ได้ 3 เดือนแน่ะ
ว่านมีนัดกับเพื่อนไปเที่ยวญี่ปุ่นต่อ เลยอยู่ได้แค่ 2 วัน 555
ทำยังกะไปเที่ยวญี่ปุ่น แล้วทรานสิทอเมริกายังไงยังงั้น (-”- )
เดี๋ยวเรื่องนี้ว่าง ๆ ต้องเขียนเล่าเป็นบล็อกเหมือนกันค่ะ มีเรื่องลุ้นเยอะดี 2 วัน อิน อเมริกา.. 555
ถึงจะเคยไปอเมริกา แต่ครั้งสุดท้ายที่ขอวีซ่า ตอนนั้นสถานะเป็นนักศึกษาค่ะ
ครั้งนี้เป็นผู้ทำงานชนิดไร้หลักแหล่ง แถมยังโสด เลยค่อนข้างหวั่นเล็กน้อย
ถึงจะคิดว่าตัวเองเครดิตทางการเดินทางค่อนข้างดีอย่างที่บอกก็เหอะ (>_< )
และแล้ว.. ก็ถึงวันสัมภาษณ์
(>>_<< )