>>เรื่องจริงจากชีวิตจริง<< แม่ฉันเป็นมะเร็ง

คิดอยู่นาน ว่าจะลงเรื่องนี้ดีไหม ขออนุญาติใช้คำแทนตัวเองว่า เรา นะคะ (ปกติจะพิมกระจิดริด แต่มันยาว) เป็น ความฝันอันเลวร้ายมี่สุดของครอบครัวเรา ภายในระยะเวลาเพียง 1 ปี (2553-2554) ทุกอย่างเปลี่ยนแแปลงไปหมด เรื่องอาจจะยาวนิดนึงนะคะ

บ้านที่เราอาศัยอยู่แทบจะบอกว่าใจกลางกรุงเทพมหานครเนื่ยแหละก็ว่าได้กัน เราอยู่กัน 4 คน มีพ่อ แม่ เรา และยาย  

แม่ทำงานที่มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง แม่มีพี่น้อง 3 คน แม่เป็นคนกลาง   แม่เป็นทุกอย่างของเรา และทุกคนในบ้าน    

พ่อทำงานรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่ง มีพี่น้อง 10 กว่าคน นั่นแหละอ่านไม่ผิดหรอก 10 ปลายๆด้วย เป็นครอบครัวคนจีน ก๋งเราข้ามน้ำข้ามทะเลมาจากจีนเพื่อมาแต่งานกับย่าเราเลยแหละ

เราลูกคนเดียว

ยาย คือ บรรพบุรุษคนเดียวที่เราเห็นตั้งแต่จำความได้ (ยกเว้นพี่น้องยาย)

ถ้าถามถึงเรื่องสุขภาพแล้ว พูดได้อย่างเต็มปากเลยว่า แม่เรา เป็นคนที่แข็งแรงพอๆ กับพ่อเลย อาจจะดูแข็งแรงกว่าพ่อด้วยซ้ำ อาจเป็นเพราะสถานที่ที่แม่ทำงานอยู่ นั่นคือหน่วยงาน ทางการแพทย์ แต่แม่เราจะอยู่แผนกทันตะ แต่แม่ไม่ใช่แค่รักษาเกี่ยวกับโรคทางช่องปากได้อย่างเดียว โรคอะไรมาถามแม่ แม่ก็ตอบได้หมดว่ากินยาอะไรยังไง แม่เป็นหมอของคนไข้ เป็นหมอของคนในบ้าน และยังเป็นอาจารย์ของนักศึษาอีกด้วย เวลาไปไหน จะชอบมีคนแซวว่า นั่นไง เรือยามาจอดแล้ว แม่เราไปไหนจะต้องพกยา มีถุงยาหิ้วไปด้วยตลอด ใครเจ็บป่วยอะไรตรงไหนบอกแม่เราคำเดียว ยื่นยาให้เลย  เวลาไปต่างจังหวัดงี้ ก็จะหอบยากระบุงใหญ่ไปฝากญาติพี่น้อง  ดังนั้นทุกคนก็จะรู้กันว่า ถ้าวันไหนแม่เราไปหา แน่นอน ต้องมียาไปแจกแน่นอน


ชีวิตเราตั้งแต่เกิดมา เราก็เห็นแม่อยู่ในหน้าที่แบบนี้มาตลอด ไปเรียนตั้งแต่ อนุบาลจนจบมอหก ก็ไปกับแม่ตลอด หลังจากที่เราสอบติด มหาวิทยาลัยเดียวกันที่แม่ทำงานอยู่ แม่ก็ตัดสินใจจองหอพักของบุคลคลากร เพื่ออยู่กับเรา ด้วยเหตุผลง่ายๆว่า บ้านที่เราอยู่ มันอยู่ตรงกลางระหว่าง ท่าพระจันทร์ กับรังสิต ไม่ได้ใกล้อันไหนเลย ถึงจะอยู่ในเมืองก็เถอะ เดินทางก็ลำบาก และพ่อก็ซื้อทุกอย่างที่เป็นเครื่องอำนวยความสะดวกให้ใช้ที่หอ

เรียกได้ว่าแทบจะเหมือนย้ายบ้านใหม่ได้เลย ที่บ้านมีอะไร ที่หอก็มีแบบนั้น ไม่ว่าจะเป็น ทีวี ตู้เย็น เครื่องซักผ้า ไมโครเวฟ ฯลฯ เแล้วเราก็ตกลงกันว่าเสาร์อาทิตย์ ก็จะกลับไปอยู่บ้าน พอถึงวันเย็นวันศุกร์ พ่อก็จะมารับกลับบ้าน เช้าวันจันทร์ก็จะมาส่ง เป็นอย่างงี้มาเรื่อยๆ

จนกระทั่ง จะเราขึ้นปี 2 เทอม 2 แม่เริ่มมีอาการปวดเมื่อยตามร่างกายของแม่ดูเหมือนจะเป็นปกติ ของคนอายุ 49 ปี ปวดแขนปวดขาเป็นธรรมดา ไหนจะต้องนั่งรถไปรังสิตท่าพระจันทร์ กลับท่าพระจันทร์รังสิต อยู่เกือบทุกวัน (วันไหนที่แม่เราไม่มีสอน ก็จะไปอยู๋ที่ท่าพระจันทร์) ทุกครั้งที่แม่ปวดก็จะบอกให้เราไปนวดให้ แต่นานไปๆ อาการปวดเมื่อยตามร่างกายมันยิ่ง ถี่ขึ้นๆ จนกระทั่ง แทบจะเดินไม่ไหว

แม่จึงตัดสินใจไปหาหมอ(ที่โรงพยาบาลศิริราช )ให้หมอที่รู้จักกันตรวจ จากฟิล์มเอกซเรย์ กระดูกก็ไม่มีอะไร  เค้าก็บอกแม่ว่ามันน่าจะเป็นการที่เข้าสู่วัยทอง เลยปวดเมื่อยเป็นธรรมดา หมอสั่งยาให้แม่ และส่งตัวไปให้ทำกายภาพ บำบัด อาทิตย์ละสามวันเพื่อลดอาการปวด

ระหว่างนั้น เรากับพ่อทำทุกวิถีทาง  พยายามซื้ออาหารเสริมให้แม่กิน แม่บอกนอนไม่สบาย พ่อก็สั่งซื้อที่นอนใหม่ให้เป็นยางพาราอย่างดี หรือแม้กระทั้ง การไปดูดวง ทำบุญ สะเดาะห์เคราะห์ ต่างๆนานา มากมาย  จากคนที่เคยแข็งแรงทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้ ตั้งแต่เราเกิดมา เราเห็นแม่ป่วยมากที่สุดคือเป็นหวัดแค่นั้นจริงๆ

อาการที่ควรจะดีขึ้น กลับททรุดลงเรื่อยๆ จนถึงขั้นขนาดเดินเซ นอนตอนกลางคืนไม่ได้ ต้องปลุกเรามานวดให้ตลอด เราก็จะพยายามอยู่เป็นเพื่อนแม่ การที่แม่นอนไม่ได้ และลุกแทบจะไม่ไหว ทำให้แม่ไปทำงานไม่ไหวนอนอยู่ที่หอ ประมาณสองวัน เราเป็นคนดูแล แม่ ซื้อข้าวให้แม่กินสารพัด แต่แม่บอกไม่อยากกิน ขอกินโจ๊กอ่อนๆ ดีกว่า อาหารที่ซื้อมามันเหม็นมาก

เราก็โอเค บอกแม่นอนรอก่อนนะ เราจะออกไปเซเว่นซื้อโจ๊กมาให้ แต่ เด็วเราจะเอากุญแจไป ล็อคไว้แต่ลูกบิด แม่จะได้ไม่ต้องลุกมาเปิด  หอเรากับเซเว่นไม่ไกลกันมาก ประมาณ 15 นาที เราขึ้นมาพร้อมกับโจ็ก เปิดประตูเข้ามา เห็นแม่นอนหลับอยู่  ใจเราไม่อยากจะปลุกเลย เห็นว่าไม่ได้นอน แต่เรากลัวสิ่งที่เราคิดจะเป็นจริง เราเลยตัดสินใจ พูดเสียงดังๆว่าโจ๊กมาแล้วว

แต่แม่ก็ยังไม่ตื่น เราก็เรียก แม่ แม่ แม่ หลายครั้งมาก  ตอนนั้นในหัวมันมีอะไรตีกันเต็มไปหมด น้ำตาก็จะไหล คิดอยู่อย่างเดียวว่า ต้องปลุกให้ตื่น เราเริ่ม เขย่าแม่เบาๆ แม่ไม่เคยเป็นแบบนี้ (ปกติแม่เราเป็นที่หลับยากอยู่แล้ว อะไรมาปลุกนิดเดียวก็ตื่น) ตอนนั้น มีอะไรบางอย่างเด้งเข้ามาในหัวว่า ดูสิวว่าแม่ยังหายใจอยู่รึป่าว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่