เณรคำอ่วม!โดน8ข้อหา-ถอนพาสปอร์ต

09 กรกฎาคม 2556 เวลา 12:38 น.



ดีเอสไอแจ้ง 8 ข้อหาเณรคำ ส่งหนังสือพ.ศถอนพาสสปอร์ตหวังฝรั่งเศสผลักดันออกนอกประเทศ ให้นิติวิทย์ตรวจดีเอ็นเอลูกชาย-พ่อแม่เณรคำพรุ่งนี้

นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) เปิดเผยภายหลังการประชุมร่วม 5 หน่วยงาน ประกอบด้วย สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ปปส. ปปง. พศ. ว่า การประชุมครั้งนี้เพื่อวางแนวทางการสอบสวนและปฏิบัติงานร่วมกันในการตรวจสอบเส้นทางการเงินต้องสงสัยและการประพฤติไม่เหมาะสมของหลวงปู่เณรคำว่า เมื่อดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษตามข้อเสนอของผบ.สำนักคดีความมั่นคง  โดยผลจากการประชุมร่วม 5 หน่วยงานมีประเด็นที่พบว่าเข้าข่ายเป็นความผิดต้องถูกดำเนินคดีรวม 8 ฐานความผิด คือ

1.การใช้สื่อสารสนเทศลงโฆษณาอันเป็นเท็จ ซึ่งน่าจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อสาธารณชน เบื้องต้นถือเป็นความผิดตามพรบ.คอมพิวเตอร์มาตรา 14 เนื่องจากมีการอ้างว่าได้เข้าเฝ้าพระอินทร์ซึ่งพระอินทร์สั่งให้สร้างพระแก้วมรกตองค์ใหญ่ ดีเอสไอวิเคราะห์แล้วเห็นว่าความผิดสำเร็จแล้ว

2.กรณีการกระทำชำเราเด็กหญิงและพรากผู้เยาว์ซึ่งเป็นความผิดอาญา มาตรา 277 และ 317 วรรค 3

3.กรณีที่หลวงปู่เณรคำกับพวกมีพฤติกรรมหลบเลี่ยงภาษีรถหรู ซึ่งเบื้องต้นพบรถต้องสงสัย 9 คัน ทั้ง บีเอ็มดับเบิ้ลยู มินิคูเปอร์ นิสสันซิโซโร่ ซึ่งน่าจะมีการนำออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน และรถเบนซ์อีกจำนวนหนึ่งที่ซื้อใน จ.อุบลราชธานี

4.กรณีเสพยาเสพติดให้โทษ

5.การแสดงและใช้วุฒิการศึกษาเท็จว่าจบด็อกเตอร์จากมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก เข้าข่ายความผิดตามพ.ร.บ.การอุดมศึกษาเอกชน

6.คดีฆ่าคนตายโดยประมาทจากการขับรถชนคนตาย

7.ความผิดฐานฟอกเงินกรณีการเบียดบังเงินบริจาคไปซื้อทรัพย์สินและการนำเงินไปฝากในต่างประเทศ

8.การอวดอุตริ อภินิหาร หลังรับเป็นคดีพิเศษดีเอสไอจะประสานให้กองปราบฯส่งสำนวนที่ได้รวบรวมไว้มาให้ดีเอสไอ

นายธาริต กล่าวอีกว่า หลังพบพฤติการณ์ความผิดค่อนข้างชัดเจน ในวันนี้จะทำหนังสือถึง นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผู้อำนวยการสำนักพระพุทธศาสนา ในฐานะเลขานุการมหาเถรสมาคม เพื่อขอให้ดำเนินการให้เณรคำพ้นจากความเป็นสงฆ์ ซึ่งจะเริ่มกระบวนการทันที นอกจากนี้ดีเอสไอจะขอให้ พศ.ถอนพาสปอร์ตจากกระทรวงต่างประเทศทันที ซึ่งจะส่งผลให้การอยู่ในประเทศฝรั่งเศสของหลวงปู่เณรคำเป็นการพำนักอยู่โดยไม่มีหนังสือเดินทาง โดยจะต้องผลักดันออกนอกประเทศฝรั่งเศส  และในวันที่ 10 ก.ค. ดีเอสไอและสถาบันนิติวิทยาศาสตร์จะลงพื้นที่จ.อุบลราชธานีและศรีสะเกษเพื่อตรวจดีเอ็นเอเด็กชายวัน 11 ปี ซึ่งมารดาอ้างว่าเป็นบุตรของหลวงปู่เณรคำ รวมทั้งตรวจดีเอ็นเปรียบเทียบกับพ่อแม่ของเณรคำ เนื่องจากหลวงปู่เณรคำไม่สามารถเดินทางมาตรวจดีเอ็นเอได้ ทั้งนี้ผลการตรวจดีเอ็นเอพ่อแม่ซึ่งเป็นญาติสายตรงลำดับรองจะได้ผลที่เชื่อถือได้ 99% และจะทราบผลความเป็นพ่อแม่ลูกได้ภายใน 24 ช.ม.

“ดีเอสไอจะยกกรณีเณรคำเป็น เณรคำโมเดล จัดเวิร์คชอปเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องราวเช่นนี้อีก ซึ่งอาจจะมีการแก้ไขระเบียบและข้อบังคับเกี่ยวกับสงฆ์ให้ชัดเจนขึ้น นอกจากนี้จะทำหนังสือถึงปปง.ขอให้ใช้มาตรการทางแพ่ง อายัดทรัพย์สินทั้งเงินสดในธนาคาร ที่ดิน รถยนต์ ในความครอบครองของหลวงปู่เณรคำโดยเร็ว เนื่องจากดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษแล้ว”นายธาริตกล่าว

ด้านนายนพรัตน์ กล่าวว่า เมื่อเป็นคดีอาญาแล้วจะเข้าข่ายมาตรา 29 ของพ.ร.บ.สงฆ์ฯ ซึ่งพนักงานสอบสวนมีอำนาจทำหนังสือถึงคณะสงฆ์ฝ่ายปกครองให้สละสมณะเพศได้โดยไม่ต้องรอให้หลวงปู่เณรคำเดินทางกลับประเทศไทย โดยจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 2 วัน ส่วนกรณีที่คณะสงฆ์หลายจังหวัดรับมอบรถยนต์และทรัพย์สินจากหลวงปู่เณรคำซึ่งอาจส่งผลให้การตัดสินปราชิกล่าช้านั้น  พระสงฆ์ถือเจ้าพนักงานปกครองเช่นกัน หากพบว่ามีการสมยอม ก็ถือว่ามีความผิดตามมาตรา 157 เช่นกัน อย่างไรก็ตาม การรับหรือมอบสิ่งของทรัพย์สินต้องพิจารณาด้วยว่ามีเจตนาบริสุทธิ์หรือไม่

วันเดียวกัน น.ท.ปิยะ ตรีกาลนนท์  ประธานกรรมการบริหารบริษัท บางกอกเอวิเอชั่น เซ็นเตอร์ จำกัด หรือบีเอซี  อดีตกัปตันที่จัดหาเครื่องบินเจ๊ตเพื่อใช้ในการเดินทางระหว่างจ.อุบลราชธานี-กรุงเทพให้ พระวิรพล สุขผล หรือหลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก วัดป่าขันติธรรม จ.ศรีสะเกษ เข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อให้ปากคำในคดีดังกล่าว โดยระบุว่าตนเองไม่ต้องการเป็นข่าวและมีคนที่ห่วงไม่อยากให้มายุ่งเกี่ยว เพราะการที่คนเราจะออกมาพูดข้อเท็จจริงเป็นเรื่องลำบากและน่าเห็นใจ และอยากขอให้พระที่ตกเป็นข่าวเห็นใจด้วย ตนจะพูดเฉพาะข้อเท็จจริงไม่ขอก้าวล่วงในสิ่งที่ไม่ทราบ ถือเป็นการทำหน้าที่พลเมืองดี  อย่างไรก็ตาม ข้อเท็จจริงทั้งหมดที่เขียนลงในเฟสบุ๊คนั้นตนได้เขียนอย่างรัดกุมแล้ว และขอโทษที่มีการพาดพิงถึงบุคคลที่สาม คือ โรงพยาบาลกรุงเทพ กรณีที่ระบุว่ามีการปิดทั้งชั้นในช่วงที่เณรคำเข้าพัก

น.ท.ปิยะ กล่าวว่า พระวิรพลได้ให้ลูกศิษย์ติดต่อขอเช่าเหมาลำเครื่องบินของบริษัทตนเมื่อ 3 ปีที่แล้วในช่วงเดือนมิถุนายน 2553 โดยเป็นการใช้บริการเดินทางจากจังหวัดอุบลราชธานีมายังกรุงเทพมหานคร และเคยเช่าเหมาลำไปต่างประเทศครั้งหนึ่งมีปลายทางที่มาเลเซีย  ส่วนกรณีที่พระวิรพล นำเงินดอลล่าร์ที่อยู่ในย่ามมาให้ดูนั้นเป็นการอวดครั้งเดียวระหว่างขึ้นเครื่องบินจากจ.อุบลฯส่วนเรื่องเงินที่พระวิรพลนำไปด้วยนั้น ไม่ทราบว่านำไปใช้ที่ใด ส่วนการจ่ายค่าบริการทุกครั้งจะมีลูกศิษย์นำเงินสดใส่ซองมามอบให้ อย่างไรก็ตามหลังจากใช้บริการอยู่ 4 เดือน พระวิรพลก็เปลี่ยนไปใช้บริการสายการบินอื่น

น.ท.ปิยะ ยังกล่าวถึงขั้นตอนการการเช่าเหมาลำเครื่องบินไปต่างประเทศว่า จะต้องผ่านขั้นตอนการตรวจสอบเหมือนไฟล์ทบินปกติเหมือนบุคคลทั่วไป เพียงแต่จะมีช่องทางพิเศษเพื่ออำนวยความสะดวกให้เฉพาะ

Posttoday
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่