นี่เป็นการเขียน กระทู้ครั้งนะคะ ต้องขอออกตัวก่อนเลยนะคะ แต่อยากแชร์ประสบการณ์ อะคะ
เป็นคนสายตาสั้นมาตั้งแต่ อายุ 7 ขวบ แล้วก็ใส่แว่นสายตามาโดยตลอด ( สาเหตุ ที่สายตาสั้นก็เพราะการดูทีวี ใกล้ๆ เพราะที่บ้านรีโมทเสีย เราเลย ยืนกดเปลี่ยนช่องอยุ่หน้าทีวี เพราะขี้เกียจลุกมาเปลี่ยนช่อง เลยทำให้ สายตาสั้น TT ) แล้วมาเริ่มใส่คอนแทคเลนส์ ครั้งแรก ตอน ม.3 เป็นการซื้อใส่ที่ร้านขายแว่นทั่วไป (เพราะไม่อยากโดนเพื่อนล้อ ว่าไอ้แว่น ) และก็ใส่มาโดยตลอด จนช่วงเรียนอยู่มหาวิทยาลัย ก็เริ่มมีอาการจากโรคตาแดง ตาติดเชื้อ ตาแห้ง กระจกอักเสบ ฯลฯ ต่างๆ มากมาย แต่ก็ไม่วาย พอเวลา ตาหายดี ก็ใส่คอนแทคเลน อยู่แบบนี้ ตลอด เป็นระยะเวลากว่า 14 ปี
จนกระทั่งจุดเปลี่ยนในชีวิต ก็คือ เราเริ่มรู้สึกว่า คอนแทคเลน ที่เราใส่ เริ่มมองไม่ชัด แสงกระจายตัว เหมือน สายตาที่ใส่ไม่ตรงกับค่าสายตาจริง และก็ยังเป็นโรคตาแดง อยู่ เรื่อยๆ แล้วเบื่อ เวลาที่ซื้อคอนแทคเลนส์มันไม่ดี คือ คอนแทตเลนเหมือนมีน้ำเกาะติดที่เลนส์ ทำให้เวลาใส่ แล้วตามัวๆ เราก็ต้องซื้อคอนแทคเลนส์ กล่องใหม่อยู่ตลอด สายตาเรา คือ 850 ทั้ง2 ข้างค่ะ เราต้องจ่ายค่า ต่อเดือน 450 - 1,200 ในการหาคอนแทคเลนส์ ที่ใส่แล้วสบายตา และต้องคอยลุ้นว่า กล่องที่เราได้มา มันจะใส่ได้มั้ย
เราเลยเริ่ม ศึกษา เรื่องการทำเลสิค จากเวปต่างๆ คุณภาพ ขั้นตอนการรักษา ผลกระทบ ต่างๆ เพราะเบื่อเต็มที่ กับการมองไม่เห็นในเวลากลางคืน เดินชนขอบเตียง ไปไหนมาที่มองไม่เห็น ต้องคอยคว้าแว่นมาใส่ทุกครั้งที่ลืมตา อยากสวยก็ต้องใส่คอนแทคเลนส์ เฮ้อออออ
เข้าเรื่องกันเลยนะคะ ( แอบบ่น พรึมพรำ เซงเศร้า กับการใส่แว่น และ CL)
หลังจากศึกษาเกี่ยวกับการรักษา เลสิค อย่างเป็นจริงจัง ทั้งโทรหา เข้าไปปรึกษา เข้าเวปต่างๆ ดูรีวิว ฯลฯ เราเลยตัดสินใจรักษากับ ร้านขายแว่นชื่อดัง ย่านแจ้งวัฒนะ โดยเลือกคุณหมอ ตุลยา เพราะเห็นจากรีวิว ของหลายๆท่าน ที่ได้รักษากับคุณหมอตุลย์ เพราะชื่อเสียงนั่นเอง เลยมั่นใจ (คุณหมอรักษาอยู่หลายที่คะ) และคุ้นกับเส้นทาง และใกล้บ้าน ด้วย ( บ้านอยู่รัชดา ใกล้ตรงไหนเนี่ย) และราคา ไม่แพง รวมทั้งมีโปรโมชั่น อีกด้วย
เราเลยเตรียมตัวโดย ตามคำแนะนำ เบื้องต้นของเจ้าหน้าที่ โดยถอดคอนแทคเลน์ อย่างน้อย 5 วัน เพื่อเข้าไปตรวจสภาพตา ว่าสามารถทำเลสิค ได้หรือไม่ ถ้าได้ ก็สามารถทำได้เลย แล้วกลับบ้านเย็นนั้นเลย เราก็ไปปฎิบัติตาม ( การใส่แว่นติดกัน ถึง5 วัน มันทรมาน มากเลย เพราะเราดูเหมือน ป้าแก่ๆ เวลาไปไหนมาไหน เวลาเหงื่ออก มันจะไหลลงมาตรงปลายจมูก กับ โดนแว่นกดทับ บริเวณดั้งอันน้อยนิด แถมขาแว่นบีบข้างหูปวดมาก เห้อออออออ) และแล้วก็ได้เวลา
วันที่ 1 เวลานัด 9.00 เราไปถึง 8.40 มาก่อนเวลา ( แต่ก็มีคนมาก่อนเราอีกอะคะ วันนั้นมี5คนคะ เรามาถึงคนสุดท้าย) ทาง พนง ก็ต้อนรับเราเป็นอย่างดี กรอกประวัติ ส่วนตัว และพาขึ้นไป ขั้น 2 ชั้น2 เป็นห้องตรวจต่างๆ และ แผนกทำเลสิค โดยเริ่มจาก
- ห้องวัดสายตาจากการอ่านตัวอักษรบนกำแพงโดยตาเปล่า > ใช้เครื่องดิจิตอลวัดค่าสายตา>วัดความดันตา ทั้งหมดในห้องเดียวกัน แล้วก็ออกไปนั่งรอ
- ย้ายไปอีกห้อง เป็นการวัดสายตา เหมือนเราไปตัดแว่นอะคะ ใส่แว่น แล้วก็เอาเลนส์ ใส่ แล้วถามว่าชัดมั้ย อันนี้ชัดกว่ามั้ย แล้วให้เรามองไปที่ไฟเพดาน แล้วถามว่า เห็นแสงกระจายมั้ย เราบอกว่า เห็นคะ ภาวะแสงกระจายคนบนโลกนี้เห็นเหมือนกัน เราไม่ได้ผิดปรกติ แต่ถ้าหลังทำเลสิค จะเห็นเหมือนเดิมอาจมากกว่าเดิมนะ ขึ้นอยู่รูม่านตาของแต่ละคน จะทำให้เห็นมากเห็นน้อย
- ไปห้องวิเคราะห์กระจก อยุ่ติดกับห้องทำเลสิค โดยใช้เครื่อง เป้นแท่งไฟสีฟ้า หมุนไปหมุนมา เราก็จ้องๆ ไป
- ย้ายไปอีกห้อง เข้าไปหยอดตาขยายม่านตา และยาอะไรอีกไม่รู้ รู้แค่เย็นๆ
- ไปวัดประสาทจอตา จะให้เรานอนบนเตียงจะมีคุณหมอ จะชี้นิ้วไปในทิศต่างให้เรามอง และคุณหมอจะส่องไฟเพื่อดูตาเรา
- ไปห้องวัดระดับน้ำตา โดยเอากระดาษไขมา เสียบตาล่างไว้จะเคืองๆ ทั้ง 2 ข้าง สักพัก ก็วัดความหนากระจกตา โดยมีเครื่องมือ เหมือนเข็มเล่นแผ่นเสียงสม้ยก่อน มาจิ้มที่ตาเราข้างละ 5 ที ไม่เจ็บคะ
เราเห็นมี คนมาทำเลสิค ก่อนหน้าเรา ได้ไปตรวจเลือด แต่พอเรา พยาบาลมาบอกให้ไปทานข้าว เราเลยถามว่า ทำไมเราไม่ได้ตรวจเลือด เพราะอะไร เค้าบอกว่า คือตอนนี้ กระจกตาเรามีความหนาไม่พอ อาจทำเลสิคไม่ได้ ต้องรอคุณมาหมอมาวินิจฉัยก่อน ว่าทำได้หรือไม่ เพราะกระจกตาหนาแค่ 500 กับ อีกข้าง 560
เราเลย อึ้งๆ ที่หวังว่าจะได้ทำ อดหรือนี่ เดินมากินข้าวแล้วเซงๆ คิดตลอดว่าเลสิคใครๆก็ทำได้ กลับทำไม่ได้หรือนี่ อ่าวววววว แบบนี้ก็ต้องใส่แว่น กับคอนเลนส์ ไปอีกตลอดชีวิตหรือนี่ เศร้ามาก พอทานข้าวเที่ยวเสร็จ ก็มารอหน้าห้องเลสิค เพื่อพบคุณหมอตุลยา เราสังเกตุเห็น มีคนมาทำเลสิคจำนวน 4คน ทุกคนนั่งรอหมอ และหยอดยาขยายม่านตา รวมทั้งเราที่พึ่งมาถึง ก็ถูกหยอดยาเหมือนกัน ซักพัก คุณหมอ ก็เรียกเข้าพบ ทีละคน ๆ เรารออยู่นานมาก เกือบ ชม เราก็คิดว่า ในเมื่อเราทำไม่ได้ ทำไมไม่ให้เรารีบพบคุณหมอ แล้วกลับบ้านละ ในใจก็คิดๆๆๆ ซักพัก มี จนท มาบอกว่า คือ กระจกของคุณหนาไม่พอนะคะ ทำเลสิคไม่ได้ (ตอกย้ำซะดังเชียว) แต่ไม่ต้องเสียใจนะคะ เรามีโปรแกรม การรักษาคือการฝังเลนส์ ประมาณ 120,000 บาท ลองอ่านดูนะคะ ถ้าสนใจ ก็ยังทำไม่ได้ ต้องรอสั่งเลนส์จากตปท เราก็อึ้งๆ แล้วแบบ โอ๋ยยยย แพงไปมั้ย ยังไม่ได้หาข้อมูลมาเลย เซรงๆ นอยๆ นั่งต่อไป อีกเกือบ 1 ชม ทำก็ทำไม่ได้ ให้นั่งรออะไรเนี่ยยยยยย เริ่มหงุดหงิด เสียใจ งง และ อยากกลับบ้าน ซักพัก คุณหมอเรียก เราแล้ว เราใส่หน้ากาก เข้าไปพบคุณหมอ
แวบแรกเจอคุณหมอ ก็สวัสดีคะ หมอจะทำ PRK ให้นะ เราก็เดินไปนั่งเก้าอี้ที่มีกล้องส่องตา ถ้าอยากทำก็ต้องทำ PRK เหลือกระจกตา ตามทฤษฎีเปะเลย หมอไม่พูดไรมาก
เรา - เราถามไปว่า PRKคืออะไร
หมอ - คือการขาดเปิดกระจกตา โดยการขูดออก เหมาะกับคนกระจกหนาบาง
เรา - แล้วจะมีผลอะไรมั้ยคะ
หมอ - กระจกตาของคุณ เนี่ย จะสามารถทำ PRK ได้เพียงครั้งเดียว และไม่สามารถ มายิงเลเซอร์ เพิ่มได้อีก ถ้าสั้นอีก หรือ ยาว วิธีแก้ ก็ คือ ใส่วแว่นหรือ คอนแทคเลนส์
เรา - PRK ก็ไม่ดี สิคะ
หมอ - คนปรกติ ที่กระจกตาบาง ทำPRK ได้ แล้วสามารถมา เติมเลเซอร์ เพื่อรักษาสายตาสั้นได้อีก แต่กรณีของคุณไม่ได้ เพราะ กระจกตาจะไม่เหลือ ให้ทำ PRK ครั้งที่2 (อันนี้เราเข้าใจว่าแบบนี้นะคะ) แล้วจะทำหรือ ไม่ทำ ก็ลองคุยก็ จนท ละกัน แล้วค่อยให้คำตอบ
เรา - ทำคะ ไม่ต้องคิดเลย
หมอ - คิดก่อนก็ได้นะ แต่ถ้าจะทำแบบฝังเลนส์ ทำได้นะ แล้ว ถ้าสายตาเปลี่ยน ก็มาถอดเลนส์ แล้วเปลี่ยนเลนส์ ตามค่าสายตาได้อีก
เราตัดสินใจทำ PRK คะ แล้วไปตรวจเลือด ( เอดส์ ) แล้วก็มา ไปจ่ายเงิน รับยา
เอายา ที่ได้มา ไปให้ จนท และ รอหน้าห้อง เราเป็นคนสุดท้ายที่ได้ผ่าตัด ครั้งนี้ พอถึงตาเรา
จนท ( รุ้สึกจะชื่อพี่อุ้ม) ก็พาเราเข้าห้องทำเลสิค และ ให้เราล้างหน้า ด้วยสบู่ สวมชุดผ่าตัด และกินยาคลายเครียด ยาพารา และหยอดยาชา ยาแก้อักเสบ ตาแก้ติดเชื้อ หยอดอยู่ 6-7 รอบได้ แล้ว ก็มาอธิบาย วิธีทำ PRK คร่าวให้ฟังเพื่อเตรียมใจว่าจะโดนอะไรบ้าง
คุณหมอจะเอาเครื่องมือ วางไวบนตาดำ อันเล็กๆ วงกลม หลังจากนั้นเราต้องจ้องไปที่จุดสีแดง บนเพดาน ห้ามหันไปไหน ต้องนิงที่สุด หลังจากนั้น ก็จะมีเครื่องมือ เหมือนแปรงมาขูดกระจกออก ใช้เวลา ไม่ถึง 1 นาที และทำการโปรยเลเซอร์ ประมาณ 1 นาที ก็ให้เรามองไปที่ จุดแดงเหมือนเดิม จะมีกลิ่นไหม้ๆ และเสียงเดืนเครื่อง ไม่ต้องตกใจให้นิ่งๆ ใช้เวลาทั้งหมด ไม่ถึง 5 นาที ต่อ 1 ข้าง
พอถึงสถานการณ์จริง เราเข้าไปนอนบนเตียง ห้องหนาวมาก หนาวสุดๆ ก็เป็นไปตามขั้นตอนต่างๆ พี่ทุกคนในห้องผ่าตัดเป็นกำลังใจ และพูดดีมาก โดยเฉพาะพี่อุ้ม คนที่เตรียมตัวให้เราก่อนเข้าห้องผ่าตัด
คุณหมอตุล ก็เข้ามาไม่พูดอะไรมากบอกไม่ต้องกลัวนะ แล้วเอาเครื่องมือมาถ่างตาเราเอาไว้ แล้วก็เอาอุปกรณ์มาวางบนตาดำ อันเล็กๆ กลมๆ แล้วให้เราจ้องไปที่ไฟแดงๆ แล้วตาเราก็เริ่มมั่วๆ คุณหมอก็เอาแปรงมาเกลี่ยๆ กระจกตาจนหมดใช้เวลาไม่ถึง 2 นาที แล้วก็ เอาน้ำเย็นๆ มาหยอดสบายตามากเลยคะ แล้วก็เอาเลเซอร์มายิง จะมีคนนับ 20% 40% - 100% เรียบร้อย แล้วคุณหมอก็ทำ อีกข้าง แบบเดียวกัน หลังจากนั้น ก็นั้น ใส่คอนแทคเลนส์ที่ไม่มีค่าสายตาให้เรา ทั้ง 2 ข้าง พอทำเสร็จ รวมกัน ไม่ถึง10 นาทีเลยในห้องผ่าตัด เราก็ไปพบคุณหมอ อีกห้อง เพื่อดูสภาพตาแล้วก็กลับบ้าน พร้อมทั้งนัดเรามาเจอ อีก 4 วันข้างหน้า แล้วใส่ที่ครอบตาเหมือนไอ้มดแดง กลับบ้าน
คืนแรก ที่กลับบ้าน เราให้เพื่อนมารับ เราปวดหัวคิ้ว แถวๆหน้าผาก ไม่ไหวเลย แบบว่ายาชาหมดฤทธิ์ ชีวิตก็เปลี่ยน เราต้องรีบกินยาแก้ปวด+ยาคลายเครียด(ยานอนหลับ) เวลานอน ต้องใส่ที่ครอบตาไว้คะ ส่วนยาที่ได้รับกลับ คือยาหยอดแก้อักเสบ กับ ติดเชื้อ และ น้ำตาเทียมคะ ต้องหยอด ห่างกัน 5 นาที จนครบ ทั้ง 3 ตัว และ ต้องคอยหยอดน้ำตาเทียมทุกๆ 1 ชม หรือ 30 นาที
พอเช้าวันรุ่งขึ้น ตื่นขึ้นมา เราตาใสมาก เห็นทุกอย่างแบบสดใส ชัดเจน ไม่ต้องพึ่งแว่นอีกต่อไป หยอดยา ตามแพทย์บอก เวลานอนก็ใส่ที่ครอบตา ไม่ว่าจะนอนระหว่างวัน ก็ต้องใส่ และแล้ว พอตกเย็น ก็เริ่มปวดหัวตาเหมือนเดิม ต้องกินยาและ นอน
เช้าวันที่ 2 ตื่นมา ตามัวๆ ความชัดหายไปไหนหมดอะ แต่ก็เห็นลางๆ ก็เป็นไปตามที่แพทย์บอก ภายใน 1 อาทิตย์ สายตาจะค่อยๆปรับให้ชัดเจน และตาเราก็ค่อยๆ สร้างกระจกตา
เช้าวันที่ 4 ไปพบคุณหมอ เอาคอนแทคเลนส์ออก สายตาก็มองได้ปรกติ มัวๆบางนิดหน่อย ต้องใส่แว่นกันแดด เวลาไปไหนมาไหน เพราะปวดตา คุณหมอบอกว่าตาปรกติดีมาก ไม่มีปัญหาอะไร พูดคุยไม่เยอะ เลยขอคุณหมอถ่ายรูปคู่ เพื่อจะลงให้เพื่อนๆ และได้ยามาหยอด เป็นยาสเตอรอย อ่อนๆ เพื่อลดฝ้าของกระจกตาที่สร้างใหม่
จนถึงวันนี้ เกือบครบ 20วัน ที่ถอดคอนแทคเลนส์มา ดีขึ้นทุกวัน แต่ก็ยังมีปัญหาเรื่องแสงกระจายในตอนกลางคืน เวลาเดินห้างก็จะเห็นแสงไฟกระจาย บางทีก็เพลียมาก เหมือนใช้ตามากเกินไป เราสามารถขับรถได้ ต้งแต่ ถอดคอนแทคเลนส์ ประมาณ 2 อาทิตย์ คะ (แต่กลางคืนยังไม่ได้คะ ) อย่างที่คุณหมอตุลบอกค่ะ ว่าความชัดของตาจะดีขึ้นทุกวัน และจะคงที่ตอน ครบ 1 เดือน
อยากบอกว่า การทำ PRK ของเราครั้งนี้ ดีจริงอะไรจริง เหมือนชีวิตเกิดใหม่ ไม่ต้องวุ่นวายกะน้ำยา และ CL และแว่น อีกต่อไป เหมือนที่หลายๆคนพูดว่า รู้แบบนี้ ไปทำนานแล้ว เป็นเหมือนคำพูด ยอดฮิต ของคนที่ผ่านการทำเลสิคหรือการPRK หรือใส่เลนส์ คะ
ซึ่งการ ทำ PRK กับ Lasik ต่างกันตรงที่วิธีการเปิดกระจกตาคะ
ถ้า lasik คือ การเปิดกระจกด้วยใบมืด หรือ เลเซอร์ แล้วแต่เครื่องมือของแต่ละที่ เพื่อเปิดกระจก และยิงเลเซอร์แก้ไขค่าสายตา คะ
PRK คือ การขูดกระจก ออก และ ยิงเลเซอร์เพื่อแก้ไขค่าสายค่ะ
ซึ่ง การรักษา คุณหมอจะเป็นผู้ตัดสินใจคะ ว่าเราเหมาะกับการรักษาแบบไหน ซึ่ง PRK และ เลสิค แต่ได้ผลเหมือนกัน
ถามว่า PRK or Lasik อันไหนดีกว่ากัน ก็คงต้องเป็นเลสิค เพราะ ระยะพักฟื้นน้อยมาก 3 วันเอง ส่วน prk เป็นอาทิตย์
ถามว่า รักษาที่ไหนดี - เอกชน รัฐบาล การดูแลก็ต่างกัน เครื่องมือคล้ายๆกัน ต่างกันที่รุ่นบ้าง เวอร์ชั่นบ้าง ทุกที่ดีหมดคะแล้วแต่ชอบ
ส่วนคุณหมอ จะรักษาท่านไหนดี - ทุกท่านมีประสบการณ์และ เป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะอยู่แล้วคะ ที่เราเลือกหมอตุลย์ เพราะชอบส่วนตัว
หวังว่าเพื่อนๆ คงได้รับประโยชน์ นะคะ ข้อมูลทั้งหมดเป็นเหตุการที่เราจำได้ อาจไม่ถูกต้อง 100% และหากผิดพลาดประการใต ต้องขออภัย ด้วยนะคะ ทั้งหมดเป็นแค่อยากแชร์ประสบการณ์ของเรา คะ
แล้วจะเอารูปมาลงอีกทีนะคะ พยายามเอาลง แต่File มันใหญ่ หาวิธี ย่อ File อยู่ค
[CR] PRK ครั้งแรก แบบไม่ตั้งตัว ลาก่อน lasik
นี่เป็นการเขียน กระทู้ครั้งนะคะ ต้องขอออกตัวก่อนเลยนะคะ แต่อยากแชร์ประสบการณ์ อะคะ
เป็นคนสายตาสั้นมาตั้งแต่ อายุ 7 ขวบ แล้วก็ใส่แว่นสายตามาโดยตลอด ( สาเหตุ ที่สายตาสั้นก็เพราะการดูทีวี ใกล้ๆ เพราะที่บ้านรีโมทเสีย เราเลย ยืนกดเปลี่ยนช่องอยุ่หน้าทีวี เพราะขี้เกียจลุกมาเปลี่ยนช่อง เลยทำให้ สายตาสั้น TT ) แล้วมาเริ่มใส่คอนแทคเลนส์ ครั้งแรก ตอน ม.3 เป็นการซื้อใส่ที่ร้านขายแว่นทั่วไป (เพราะไม่อยากโดนเพื่อนล้อ ว่าไอ้แว่น ) และก็ใส่มาโดยตลอด จนช่วงเรียนอยู่มหาวิทยาลัย ก็เริ่มมีอาการจากโรคตาแดง ตาติดเชื้อ ตาแห้ง กระจกอักเสบ ฯลฯ ต่างๆ มากมาย แต่ก็ไม่วาย พอเวลา ตาหายดี ก็ใส่คอนแทคเลน อยู่แบบนี้ ตลอด เป็นระยะเวลากว่า 14 ปี
จนกระทั่งจุดเปลี่ยนในชีวิต ก็คือ เราเริ่มรู้สึกว่า คอนแทคเลน ที่เราใส่ เริ่มมองไม่ชัด แสงกระจายตัว เหมือน สายตาที่ใส่ไม่ตรงกับค่าสายตาจริง และก็ยังเป็นโรคตาแดง อยู่ เรื่อยๆ แล้วเบื่อ เวลาที่ซื้อคอนแทคเลนส์มันไม่ดี คือ คอนแทตเลนเหมือนมีน้ำเกาะติดที่เลนส์ ทำให้เวลาใส่ แล้วตามัวๆ เราก็ต้องซื้อคอนแทคเลนส์ กล่องใหม่อยู่ตลอด สายตาเรา คือ 850 ทั้ง2 ข้างค่ะ เราต้องจ่ายค่า ต่อเดือน 450 - 1,200 ในการหาคอนแทคเลนส์ ที่ใส่แล้วสบายตา และต้องคอยลุ้นว่า กล่องที่เราได้มา มันจะใส่ได้มั้ย
เราเลยเริ่ม ศึกษา เรื่องการทำเลสิค จากเวปต่างๆ คุณภาพ ขั้นตอนการรักษา ผลกระทบ ต่างๆ เพราะเบื่อเต็มที่ กับการมองไม่เห็นในเวลากลางคืน เดินชนขอบเตียง ไปไหนมาที่มองไม่เห็น ต้องคอยคว้าแว่นมาใส่ทุกครั้งที่ลืมตา อยากสวยก็ต้องใส่คอนแทคเลนส์ เฮ้อออออ
เข้าเรื่องกันเลยนะคะ ( แอบบ่น พรึมพรำ เซงเศร้า กับการใส่แว่น และ CL)
หลังจากศึกษาเกี่ยวกับการรักษา เลสิค อย่างเป็นจริงจัง ทั้งโทรหา เข้าไปปรึกษา เข้าเวปต่างๆ ดูรีวิว ฯลฯ เราเลยตัดสินใจรักษากับ ร้านขายแว่นชื่อดัง ย่านแจ้งวัฒนะ โดยเลือกคุณหมอ ตุลยา เพราะเห็นจากรีวิว ของหลายๆท่าน ที่ได้รักษากับคุณหมอตุลย์ เพราะชื่อเสียงนั่นเอง เลยมั่นใจ (คุณหมอรักษาอยู่หลายที่คะ) และคุ้นกับเส้นทาง และใกล้บ้าน ด้วย ( บ้านอยู่รัชดา ใกล้ตรงไหนเนี่ย) และราคา ไม่แพง รวมทั้งมีโปรโมชั่น อีกด้วย
เราเลยเตรียมตัวโดย ตามคำแนะนำ เบื้องต้นของเจ้าหน้าที่ โดยถอดคอนแทคเลน์ อย่างน้อย 5 วัน เพื่อเข้าไปตรวจสภาพตา ว่าสามารถทำเลสิค ได้หรือไม่ ถ้าได้ ก็สามารถทำได้เลย แล้วกลับบ้านเย็นนั้นเลย เราก็ไปปฎิบัติตาม ( การใส่แว่นติดกัน ถึง5 วัน มันทรมาน มากเลย เพราะเราดูเหมือน ป้าแก่ๆ เวลาไปไหนมาไหน เวลาเหงื่ออก มันจะไหลลงมาตรงปลายจมูก กับ โดนแว่นกดทับ บริเวณดั้งอันน้อยนิด แถมขาแว่นบีบข้างหูปวดมาก เห้อออออออ) และแล้วก็ได้เวลา
วันที่ 1 เวลานัด 9.00 เราไปถึง 8.40 มาก่อนเวลา ( แต่ก็มีคนมาก่อนเราอีกอะคะ วันนั้นมี5คนคะ เรามาถึงคนสุดท้าย) ทาง พนง ก็ต้อนรับเราเป็นอย่างดี กรอกประวัติ ส่วนตัว และพาขึ้นไป ขั้น 2 ชั้น2 เป็นห้องตรวจต่างๆ และ แผนกทำเลสิค โดยเริ่มจาก
- ห้องวัดสายตาจากการอ่านตัวอักษรบนกำแพงโดยตาเปล่า > ใช้เครื่องดิจิตอลวัดค่าสายตา>วัดความดันตา ทั้งหมดในห้องเดียวกัน แล้วก็ออกไปนั่งรอ
- ย้ายไปอีกห้อง เป็นการวัดสายตา เหมือนเราไปตัดแว่นอะคะ ใส่แว่น แล้วก็เอาเลนส์ ใส่ แล้วถามว่าชัดมั้ย อันนี้ชัดกว่ามั้ย แล้วให้เรามองไปที่ไฟเพดาน แล้วถามว่า เห็นแสงกระจายมั้ย เราบอกว่า เห็นคะ ภาวะแสงกระจายคนบนโลกนี้เห็นเหมือนกัน เราไม่ได้ผิดปรกติ แต่ถ้าหลังทำเลสิค จะเห็นเหมือนเดิมอาจมากกว่าเดิมนะ ขึ้นอยู่รูม่านตาของแต่ละคน จะทำให้เห็นมากเห็นน้อย
- ไปห้องวิเคราะห์กระจก อยุ่ติดกับห้องทำเลสิค โดยใช้เครื่อง เป้นแท่งไฟสีฟ้า หมุนไปหมุนมา เราก็จ้องๆ ไป
- ย้ายไปอีกห้อง เข้าไปหยอดตาขยายม่านตา และยาอะไรอีกไม่รู้ รู้แค่เย็นๆ
- ไปวัดประสาทจอตา จะให้เรานอนบนเตียงจะมีคุณหมอ จะชี้นิ้วไปในทิศต่างให้เรามอง และคุณหมอจะส่องไฟเพื่อดูตาเรา
- ไปห้องวัดระดับน้ำตา โดยเอากระดาษไขมา เสียบตาล่างไว้จะเคืองๆ ทั้ง 2 ข้าง สักพัก ก็วัดความหนากระจกตา โดยมีเครื่องมือ เหมือนเข็มเล่นแผ่นเสียงสม้ยก่อน มาจิ้มที่ตาเราข้างละ 5 ที ไม่เจ็บคะ
เราเห็นมี คนมาทำเลสิค ก่อนหน้าเรา ได้ไปตรวจเลือด แต่พอเรา พยาบาลมาบอกให้ไปทานข้าว เราเลยถามว่า ทำไมเราไม่ได้ตรวจเลือด เพราะอะไร เค้าบอกว่า คือตอนนี้ กระจกตาเรามีความหนาไม่พอ อาจทำเลสิคไม่ได้ ต้องรอคุณมาหมอมาวินิจฉัยก่อน ว่าทำได้หรือไม่ เพราะกระจกตาหนาแค่ 500 กับ อีกข้าง 560 เราเลย อึ้งๆ ที่หวังว่าจะได้ทำ อดหรือนี่ เดินมากินข้าวแล้วเซงๆ คิดตลอดว่าเลสิคใครๆก็ทำได้ กลับทำไม่ได้หรือนี่ อ่าวววววว แบบนี้ก็ต้องใส่แว่น กับคอนเลนส์ ไปอีกตลอดชีวิตหรือนี่ เศร้ามาก พอทานข้าวเที่ยวเสร็จ ก็มารอหน้าห้องเลสิค เพื่อพบคุณหมอตุลยา เราสังเกตุเห็น มีคนมาทำเลสิคจำนวน 4คน ทุกคนนั่งรอหมอ และหยอดยาขยายม่านตา รวมทั้งเราที่พึ่งมาถึง ก็ถูกหยอดยาเหมือนกัน ซักพัก คุณหมอ ก็เรียกเข้าพบ ทีละคน ๆ เรารออยู่นานมาก เกือบ ชม เราก็คิดว่า ในเมื่อเราทำไม่ได้ ทำไมไม่ให้เรารีบพบคุณหมอ แล้วกลับบ้านละ ในใจก็คิดๆๆๆ ซักพัก มี จนท มาบอกว่า คือ กระจกของคุณหนาไม่พอนะคะ ทำเลสิคไม่ได้ (ตอกย้ำซะดังเชียว) แต่ไม่ต้องเสียใจนะคะ เรามีโปรแกรม การรักษาคือการฝังเลนส์ ประมาณ 120,000 บาท ลองอ่านดูนะคะ ถ้าสนใจ ก็ยังทำไม่ได้ ต้องรอสั่งเลนส์จากตปท เราก็อึ้งๆ แล้วแบบ โอ๋ยยยย แพงไปมั้ย ยังไม่ได้หาข้อมูลมาเลย เซรงๆ นอยๆ นั่งต่อไป อีกเกือบ 1 ชม ทำก็ทำไม่ได้ ให้นั่งรออะไรเนี่ยยยยยย เริ่มหงุดหงิด เสียใจ งง และ อยากกลับบ้าน ซักพัก คุณหมอเรียก เราแล้ว เราใส่หน้ากาก เข้าไปพบคุณหมอ
แวบแรกเจอคุณหมอ ก็สวัสดีคะ หมอจะทำ PRK ให้นะ เราก็เดินไปนั่งเก้าอี้ที่มีกล้องส่องตา ถ้าอยากทำก็ต้องทำ PRK เหลือกระจกตา ตามทฤษฎีเปะเลย หมอไม่พูดไรมาก
เรา - เราถามไปว่า PRKคืออะไร
หมอ - คือการขาดเปิดกระจกตา โดยการขูดออก เหมาะกับคนกระจกหนาบาง
เรา - แล้วจะมีผลอะไรมั้ยคะ
หมอ - กระจกตาของคุณ เนี่ย จะสามารถทำ PRK ได้เพียงครั้งเดียว และไม่สามารถ มายิงเลเซอร์ เพิ่มได้อีก ถ้าสั้นอีก หรือ ยาว วิธีแก้ ก็ คือ ใส่วแว่นหรือ คอนแทคเลนส์
เรา - PRK ก็ไม่ดี สิคะ
หมอ - คนปรกติ ที่กระจกตาบาง ทำPRK ได้ แล้วสามารถมา เติมเลเซอร์ เพื่อรักษาสายตาสั้นได้อีก แต่กรณีของคุณไม่ได้ เพราะ กระจกตาจะไม่เหลือ ให้ทำ PRK ครั้งที่2 (อันนี้เราเข้าใจว่าแบบนี้นะคะ) แล้วจะทำหรือ ไม่ทำ ก็ลองคุยก็ จนท ละกัน แล้วค่อยให้คำตอบ
เรา - ทำคะ ไม่ต้องคิดเลย
หมอ - คิดก่อนก็ได้นะ แต่ถ้าจะทำแบบฝังเลนส์ ทำได้นะ แล้ว ถ้าสายตาเปลี่ยน ก็มาถอดเลนส์ แล้วเปลี่ยนเลนส์ ตามค่าสายตาได้อีก
เราตัดสินใจทำ PRK คะ แล้วไปตรวจเลือด ( เอดส์ ) แล้วก็มา ไปจ่ายเงิน รับยา
เอายา ที่ได้มา ไปให้ จนท และ รอหน้าห้อง เราเป็นคนสุดท้ายที่ได้ผ่าตัด ครั้งนี้ พอถึงตาเรา
จนท ( รุ้สึกจะชื่อพี่อุ้ม) ก็พาเราเข้าห้องทำเลสิค และ ให้เราล้างหน้า ด้วยสบู่ สวมชุดผ่าตัด และกินยาคลายเครียด ยาพารา และหยอดยาชา ยาแก้อักเสบ ตาแก้ติดเชื้อ หยอดอยู่ 6-7 รอบได้ แล้ว ก็มาอธิบาย วิธีทำ PRK คร่าวให้ฟังเพื่อเตรียมใจว่าจะโดนอะไรบ้าง
คุณหมอจะเอาเครื่องมือ วางไวบนตาดำ อันเล็กๆ วงกลม หลังจากนั้นเราต้องจ้องไปที่จุดสีแดง บนเพดาน ห้ามหันไปไหน ต้องนิงที่สุด หลังจากนั้น ก็จะมีเครื่องมือ เหมือนแปรงมาขูดกระจกออก ใช้เวลา ไม่ถึง 1 นาที และทำการโปรยเลเซอร์ ประมาณ 1 นาที ก็ให้เรามองไปที่ จุดแดงเหมือนเดิม จะมีกลิ่นไหม้ๆ และเสียงเดืนเครื่อง ไม่ต้องตกใจให้นิ่งๆ ใช้เวลาทั้งหมด ไม่ถึง 5 นาที ต่อ 1 ข้าง
พอถึงสถานการณ์จริง เราเข้าไปนอนบนเตียง ห้องหนาวมาก หนาวสุดๆ ก็เป็นไปตามขั้นตอนต่างๆ พี่ทุกคนในห้องผ่าตัดเป็นกำลังใจ และพูดดีมาก โดยเฉพาะพี่อุ้ม คนที่เตรียมตัวให้เราก่อนเข้าห้องผ่าตัด
คุณหมอตุล ก็เข้ามาไม่พูดอะไรมากบอกไม่ต้องกลัวนะ แล้วเอาเครื่องมือมาถ่างตาเราเอาไว้ แล้วก็เอาอุปกรณ์มาวางบนตาดำ อันเล็กๆ กลมๆ แล้วให้เราจ้องไปที่ไฟแดงๆ แล้วตาเราก็เริ่มมั่วๆ คุณหมอก็เอาแปรงมาเกลี่ยๆ กระจกตาจนหมดใช้เวลาไม่ถึง 2 นาที แล้วก็ เอาน้ำเย็นๆ มาหยอดสบายตามากเลยคะ แล้วก็เอาเลเซอร์มายิง จะมีคนนับ 20% 40% - 100% เรียบร้อย แล้วคุณหมอก็ทำ อีกข้าง แบบเดียวกัน หลังจากนั้น ก็นั้น ใส่คอนแทคเลนส์ที่ไม่มีค่าสายตาให้เรา ทั้ง 2 ข้าง พอทำเสร็จ รวมกัน ไม่ถึง10 นาทีเลยในห้องผ่าตัด เราก็ไปพบคุณหมอ อีกห้อง เพื่อดูสภาพตาแล้วก็กลับบ้าน พร้อมทั้งนัดเรามาเจอ อีก 4 วันข้างหน้า แล้วใส่ที่ครอบตาเหมือนไอ้มดแดง กลับบ้าน
คืนแรก ที่กลับบ้าน เราให้เพื่อนมารับ เราปวดหัวคิ้ว แถวๆหน้าผาก ไม่ไหวเลย แบบว่ายาชาหมดฤทธิ์ ชีวิตก็เปลี่ยน เราต้องรีบกินยาแก้ปวด+ยาคลายเครียด(ยานอนหลับ) เวลานอน ต้องใส่ที่ครอบตาไว้คะ ส่วนยาที่ได้รับกลับ คือยาหยอดแก้อักเสบ กับ ติดเชื้อ และ น้ำตาเทียมคะ ต้องหยอด ห่างกัน 5 นาที จนครบ ทั้ง 3 ตัว และ ต้องคอยหยอดน้ำตาเทียมทุกๆ 1 ชม หรือ 30 นาที
พอเช้าวันรุ่งขึ้น ตื่นขึ้นมา เราตาใสมาก เห็นทุกอย่างแบบสดใส ชัดเจน ไม่ต้องพึ่งแว่นอีกต่อไป หยอดยา ตามแพทย์บอก เวลานอนก็ใส่ที่ครอบตา ไม่ว่าจะนอนระหว่างวัน ก็ต้องใส่ และแล้ว พอตกเย็น ก็เริ่มปวดหัวตาเหมือนเดิม ต้องกินยาและ นอน
เช้าวันที่ 2 ตื่นมา ตามัวๆ ความชัดหายไปไหนหมดอะ แต่ก็เห็นลางๆ ก็เป็นไปตามที่แพทย์บอก ภายใน 1 อาทิตย์ สายตาจะค่อยๆปรับให้ชัดเจน และตาเราก็ค่อยๆ สร้างกระจกตา
เช้าวันที่ 4 ไปพบคุณหมอ เอาคอนแทคเลนส์ออก สายตาก็มองได้ปรกติ มัวๆบางนิดหน่อย ต้องใส่แว่นกันแดด เวลาไปไหนมาไหน เพราะปวดตา คุณหมอบอกว่าตาปรกติดีมาก ไม่มีปัญหาอะไร พูดคุยไม่เยอะ เลยขอคุณหมอถ่ายรูปคู่ เพื่อจะลงให้เพื่อนๆ และได้ยามาหยอด เป็นยาสเตอรอย อ่อนๆ เพื่อลดฝ้าของกระจกตาที่สร้างใหม่
จนถึงวันนี้ เกือบครบ 20วัน ที่ถอดคอนแทคเลนส์มา ดีขึ้นทุกวัน แต่ก็ยังมีปัญหาเรื่องแสงกระจายในตอนกลางคืน เวลาเดินห้างก็จะเห็นแสงไฟกระจาย บางทีก็เพลียมาก เหมือนใช้ตามากเกินไป เราสามารถขับรถได้ ต้งแต่ ถอดคอนแทคเลนส์ ประมาณ 2 อาทิตย์ คะ (แต่กลางคืนยังไม่ได้คะ ) อย่างที่คุณหมอตุลบอกค่ะ ว่าความชัดของตาจะดีขึ้นทุกวัน และจะคงที่ตอน ครบ 1 เดือน
อยากบอกว่า การทำ PRK ของเราครั้งนี้ ดีจริงอะไรจริง เหมือนชีวิตเกิดใหม่ ไม่ต้องวุ่นวายกะน้ำยา และ CL และแว่น อีกต่อไป เหมือนที่หลายๆคนพูดว่า รู้แบบนี้ ไปทำนานแล้ว เป็นเหมือนคำพูด ยอดฮิต ของคนที่ผ่านการทำเลสิคหรือการPRK หรือใส่เลนส์ คะ
ซึ่งการ ทำ PRK กับ Lasik ต่างกันตรงที่วิธีการเปิดกระจกตาคะ
ถ้า lasik คือ การเปิดกระจกด้วยใบมืด หรือ เลเซอร์ แล้วแต่เครื่องมือของแต่ละที่ เพื่อเปิดกระจก และยิงเลเซอร์แก้ไขค่าสายตา คะ
PRK คือ การขูดกระจก ออก และ ยิงเลเซอร์เพื่อแก้ไขค่าสายค่ะ
ซึ่ง การรักษา คุณหมอจะเป็นผู้ตัดสินใจคะ ว่าเราเหมาะกับการรักษาแบบไหน ซึ่ง PRK และ เลสิค แต่ได้ผลเหมือนกัน
ถามว่า PRK or Lasik อันไหนดีกว่ากัน ก็คงต้องเป็นเลสิค เพราะ ระยะพักฟื้นน้อยมาก 3 วันเอง ส่วน prk เป็นอาทิตย์
ถามว่า รักษาที่ไหนดี - เอกชน รัฐบาล การดูแลก็ต่างกัน เครื่องมือคล้ายๆกัน ต่างกันที่รุ่นบ้าง เวอร์ชั่นบ้าง ทุกที่ดีหมดคะแล้วแต่ชอบ
ส่วนคุณหมอ จะรักษาท่านไหนดี - ทุกท่านมีประสบการณ์และ เป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะอยู่แล้วคะ ที่เราเลือกหมอตุลย์ เพราะชอบส่วนตัว
หวังว่าเพื่อนๆ คงได้รับประโยชน์ นะคะ ข้อมูลทั้งหมดเป็นเหตุการที่เราจำได้ อาจไม่ถูกต้อง 100% และหากผิดพลาดประการใต ต้องขออภัย ด้วยนะคะ ทั้งหมดเป็นแค่อยากแชร์ประสบการณ์ของเรา คะ
แล้วจะเอารูปมาลงอีกทีนะคะ พยายามเอาลง แต่File มันใหญ่ หาวิธี ย่อ File อยู่ค