อยากรู้ว่ามีใครเคยถือหุ้นในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจที่ผ่านๆมา ไม่ขาย ไม่คัทบ้างคะ

อยากรู้ว่าวิกฤติเศรษฐกิจที่ผ่านๆมา เคยมีใครถือหุ้นผ่านช่วงนั้นมาบ้าง
ไม่ขาย ไม่คัท แล้วผลที่ได้เป็นยังไงกันบ้างคะ
สภาพจิตใจเป็นยังไง
เล่าให้เม่าน้องใหม่ฟังเอาบุญด้วยเถอะค่ะ
ตอนนี้ดอยเอเวอร์เรสสูงมาก จะได้มีกำลังใจบ้างค่ะ
เม่าจอแดงเม่าจอแดง2เม่าติดดอยเม่าฝึกจิต

คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 14
วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์เหรอครับ ผมเคยติดอยู่ 3 ตัว THAI UMS SVI ลงไปประมาณ 1.8 ล้านกว่าๆ ตอนตกต่ำสุดๆ มูลค่าพอร์ตเหลือต่ำสุด 4 แสนนิดๆ แดงเถือก -80% เพราะนอกจากจะถัวหุ้นแม่แล้วยังอัดตัววอร์ของ UMS กับ SVI ด้วย พอมันลงจริงๆราคาพวกวอร์เหลือเป็นเศษสตางค์เลย

ช่วงลงก็ปลงๆครับ เพราะบริษัทที่เป็นเจ้าของอยู่ก็ต้องปิดไปเพราะการออกกฎหมายซ้ำๆมั่วๆของสนช.สมัยหลังปฏิวัติก็เลยไม่ต้องทำงานด้วย หุ้นก็ตกไปเรื่อยๆ ตอนนั้นก็เครียดๆม๊อบเสื้อเหลืองรอบสองอีกต่างหาก แต่ผมก็พยายามไม่แสดงออกนะ แต่แม่คงดูออก ไม่ยอมให้ห่างเลยพาไปช่วยขายของที่กรุงเทพมั่งสิงคโปร์มั่ง สุดท้ายเลยถือโอกาสบวชตอบแทนคุณพ่อแม่ครับ พอหุ้นเริ่มฟื้นแม่ให้ยืมวงเงิน OD ของคุณแม่ล้านนึง ผมใช้ 5 แสนซื้อ PSL ตัวเดียว อาทิตย์นึงได้กำไรมา 8 หมื่นนิดๆก็เลยเริ่มมีกำลังใจ จากนั้น THAI ขึ้นจากเหว 7 บาท ตอนนั้นจำได้แม่น รมต.คมนาคมมาออกข่าวทุบหุ้นเองเลย มันบอกการบินไทยอาจจะล้มละลาย ก็เลยเอาเงินไปเข้าการบินไทย 14 บาท แล้วขายทิ้งไปตอน 22.7 บาทครับ กำไรเหลือ 5 หมื่น ตอนนั้นรีบขายเลยเพราะหลุดแล้วดีใจมาก ก็เอาเงินไปคืนคุณแม่ครับ เสียดอกเบี้ยไป 3 - 4 พันจำไม่ได้ แม่ออกให้ ยิ้ม

อีก 2 ตัวไม่ขึ้นตามตลาดเลยครับ ทั้งๆที่ผลประกอบการดีมาก กำลังจะทำใจเสียเงินวอร์เป็น 0 แล้วก็พอดีโชคดีครับ คุณพงษ์ศักดิ์ผู้บริหาร SVI รวบรวมเงินกู้ได้มาซื้อหุ้นครับ ทำ Tender 1.4 บาท แล้วก็โชคดีซ้ำสองครับ TTA ทำ Tender UMS แต่ราคาแค่ 24 ผมติดสูงกว่านั้นแต่ก็ยังดี ขายทิ้งไปทั้ง 2 ตัวครับ SVI ขาดทุนทั้งแม่ทั้งลูกไป 5 หมื่น UMS ขาดทุนทั้งแม่ทั้งลูก 1.1 แสนครับ สิริรวมการติดดอยเป็นปีเงินหายไป 1.1 แสน แต่ก็ตอนนั้นไม่ค่อยสนใจแล้วครับ เพราะมีกำไรสะสมมาก่อนตลาดตก 3 แสน คิดกลับไปถ้า TTA ไม่ Tender UMS ผมคงขาดทุนเยอะมากๆเกินครึ่งล้านแน่ๆนับว่าผมโชคดีจริงๆ

จากนั้นผมก็ไปศึกษา Technical Analysis เพิ่มเติมเพราะไม่อยากติดหุ้นตัวไหนอีกแล้วครับ อยากจะบอกว่ามีคนเคยบอกว่าราคาหุ้นไม่ใช่ทุกอย่าง หุ้นตกแต่กิจการยังดำเนินต่อไปเรื่อยๆ จริงครับ ผมไม่เถียง แต่ราคาหุ้นและสภาพตลาดก็ส่งผลกระทบไม่น้อยนะครับสำหรับหุ้น ราคาลดลงเยอะ เค้าจะไม่จ่ายปันผลให้คุณมากเท่าที่เคยจะจ่ายได้นะ เพราะเมื่อเพิ่มทุนไม่ได้เค้าก็อยากจะเก็บเงินสดไว้ จ่ายออกมาให้เหมาะสมกับราคาหุ้น งบการเงินก็จะทำแบบระมัดระวัง รักษาเงินสด จ่ายภาษีให้น้อย ไม่ได้ทำให้กำไรเฟ้อเพื่อให้ราคาหุ้นพุ่งๆแบบตลาดปัจจุบัน เดี๋ยวนี้แค่คนจ่ายเงินจองนิดเดียวก็บันทึกกำไรขายเรียบร้อยทั้งก้อน บางทียังสร้างไม่เสร็จด้วยซ้ำ เว่อร์มากๆ ผมเลยขอบอกลาแนว VI เลยเพราะคนไทยเป็นคนที่พลิกแพลงอะไรได้เก่งมากๆผมว่าอันดับต้นๆของโลก ถ้าไม่ดังจริง ไม่เส้นใหญ่แบบไปคุยกับผู้บริหารได้นี่ ผมว่ามีสิทธิ์โดนมากกว่ารวย ทุกวันนี้ผมดูงบขอแค่รายได้เพิ่ม มีกำไร และจ่ายปันผล แค่นี้พอใจละครับ จากนั้นก็ใช้ Technical มาจับจังหวะ

ช่วงนี้เงิน QE กำลังจะโดนถอนออกไป อยากให้ตะหนักและระวังกันให้มากๆเลยนะครับ เพราะหุ้นเรากลับขึ้นมาจาก 384 จุดก็เพราะ QE1 จากนั้นก็อยู่ได้ด้วยความหวัง QE ที่จะมีต่อๆมาเรื่อยๆ แต่นี่ QE3 Fed บอกแล้วว่าจะเป็นหนสุดท้าย จะทำจนกว่าจะฟื้น เราก็ต้องสมมติฐานไว้ก่อนว่ามันอาจจะร้ายแรงจริง เงิน QE เข้ามาในตลาดหุ้น พอถอนหุ้นก็ตก แต่เงินส่วนใหญ่จริงๆจาก QE มันเข้ามาให้บอนด์นะครับ คนไทยขายบอนด์ให้ฝรั่งได้ก็เอาเงินมาฝากแบงค์ แบงค์ก็เอาไปปล่อยกู้ คนได้เงินกู้ก็ใช้จ่ายๆ เศรษฐกิจบ้านเรามันเลยดูดี พอฝรั่งมันขาย คนไทยซื้อก็ถอนเงินจากแบงค์ไปซื้อ บางทีแบงค์ซื้อไว้เอง สุดท้ายเงินที่จะเอามาปล่อยก็น้อยลง คนก็ไม่มีเงินใช้จ่าย คนไทยไม่มีทางหาเงินจากต่างประเทศได้เยอะๆหรอกครับ ข้าวเรา จานละเท่าไหร่ ขายข้าวได้ตันนึงเท่าไหร่ ไม่ใช่เกาหลีนะครับ ที่ทำโทรศัพท์เครื่องละหมื่นๆขายทั่วโลก ฝรั่งดองมันบินมาเที่ยวบ้านเรา เดี๋ยวนี้มันพักห้องละ 300 - 400 บาท กินข้าวจานละ 30 บาท เช่ารถเครื่องวันละ 150 บาท เงินของเราเพิ่มขึ้นไม่ทันที่มันถอนจากบอนด์และหุ้นหรอกครับ ตลาดเรากำลังจะเจอกับอาการสภาพคล่องหาย สังเกตุได้ว่าตอนนี้ตลาดหลักทรัพย์จัดอบรม TFEX เยอะเพื่อหาเงินจากรายใหม่มาป้อนให้พวกคุมตลาด TFEX สูบ อีกส่วนหนึ่งก็จัดสัมมนาผู้จัดการกองทุนเพื่อหาเงินรายย่อยใหม่ๆเข้ามาเติมให้กองทุนเราที่ติดดอยอยู่แถวๆ SET > 1500 จุด แล้วกองทุนใหม่ๆขายไม่ออก นี่เป็นอาการสภาพคล่องหายไปจากตลาดนะครับ

ตลาดหุ้นขาลงนี่เล่นยากมาก ช่วงแรกๆเราจะรู้สึกว่าเราต้องขายหุ้นทิ้งนะ แต่มันไม่ลงอย่างเดียวมันมีเด้ง เด้งทีอย่างแรง ทำให้เราแทนที่จะขายดันไปซื้อเพิ่ม ซื้อๆๆจนเงินหมด จะ Short ก็ไม่กล้า เด้งแรงๆทีเดียวหมดตัวเลย แล้วมันลงต่อ ตอนวิกฤตครั้งนั้นมันลงไปครึ่งนึงแล้วก็หยุดลง Sideway อยู่ 2 เดือนแล้วก็มีอาการประมาณว่าตอนแรกก็ไม่ลงนะ แต่พอลงแล้ว ลงพรวดไปเลย เละครับ ติดกันแทบทุกคน เพราะทุกคนคิดว่ามันลงเยอะไม่น่าที่มันจะลงได้อีกแล้ว ตลาดบางวันเหลือวอลุ่ม 4 พันล้าน ห้องสินธรเงียบฉี่ มีวันนึงกระทู้พี่ Roadtrip อยู่หน้าเดียวกันได้อ่ะครับ คิดดูละกัน นักวิเคราะห์เชียร์ซื้อทุกวัน เชียร์ซื้อตลอดตั้งแต่เริ่มขาลงจนลงไปเละโน่นล่ะครับถึงจะหยุด แล้วบอกให้ขายหุ้นที่เหลือแล้วเก็บเงินสดอยู่นิ่งๆเถอะแถวๆก้นเหวพอดี

สรุปว่าอันนี้ประสบการณ์ตรงนะครับ มาแบ่งปัน มองในแง่ดี ตลาดรอบนี้อาจจะไม่ลงลึกขนาดวิกฤตนั้นก็ได้ แต่ถ้ามันลงจริงผมว่าคนเล่นหุ้นเสียหายเยอะกว่าเพราะตอนนั้นยังไม่มีการไล่ราคาหุ้นขึ้นมาขนาดนี้ อยากให้ลองเปิดกราฟดูนะครับ หุ้นมากกว่าครึ่งในตลาด อยู่นิ่งๆมาเป็นปีๆ แล้วก็โดนเอามาเล่นกัน ขึ้นเป็น 200% - 300% แล้วคนทำราคาขึ้นก็ทิ้งลงมาผมว่ารายย่อยโดนกันเยอะแน่ๆครับ ถ้าใครเผลอซื้อไปแล้ว ถ้าตลาดเด้งกลับพอมันวกลงขายแล้วเก็บเงินสดเลยครับ ตั้งราคาไว้สมมติแต่ก่อนมันเล่นกันที่ 5 บาท ไล่ราคาขึ้นมาเราเผลอซื้อมาตอน 20 บาท มันลงเราขายทิ้งที่ 9 บาท พอมันกลับไป 5 บาทเราซื้อคืนได้หุ้นเพิ่มมาเกือบ 2 เท่า ถ้ามันไม่ลงเรากลับมาซื้อตอน 10 บาทเราก็ขาดทุนแค่บาทเดียว เพื่อนคนไหนติดหุ้นต้องเริ่มวางแผนแล้วครับ เขียนไว้เลย แล้วลองทำดูครับ เผื่อตลาดมันลงไปหนักจริงๆจะได้ไม่ต้องติดดอยแบบที่ผมเคยโดน รายย่อยด้วยกันผมว่าไม่มีใครอยากแช่งใครไซโคให้ขายหุ้นถูกๆให้เค้าเก็บหรอกครับ ใครจะไปรู้ว่าคุณถือหุ้นอะไร พอร์ตขนาดเท่าไหร่

พยายามเล่นตามฝรั่งก่อนครับ ที่ผมเคยเจอมาฝรั่งมันเป็นเผ่าพันธ์ที่โง่จริงๆเหมือนที่เพื่อนในห้องนี้โพสฝรั่งซื่อบื้อตกรถแล้วบ่อยๆ เรื่องง่ายๆมันทำไม่เป็นหรอกครับ สู้คนไทยไม่ได้เลย แต่ถ้าเป็นเรื่องเงิน ผมบอกได้เลยว่ามันรวยมาก รวยพอที่จะจ้างคนที่เก่งที่สุดในโลกมาทำงานให้ รวยพอที่จะซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ดีๆโปรแกรมคำนวณแพงๆมาใช้วิเคราะห์การซื้อขายของมัน เรารายย่อยพยายามตามมันไปเป็นหลักจะดีที่สุด ตั้งแต่ผมเข้าตลาดมาผมก็เห็นกระทู้พี่ Roadtrip ทุกวันสรุปยอดต่างชาติซื้อหรือขาย มันต้องสำคัญใช่มั้ยครับพี่เค้าถึงสละเวลามาสรุปให้พวกเราทุกวัน

แล้วที่สำคัญ เกือบลืม ช่วงวิกฤตที่ผมโดน ฝรั่งขายเปิด แต่กองทุนเราขายปิดครับ เพราะเงินกองทุนก็คือเงินรายย่อย เศรษฐกิจเริ่มไม่ดีเค้าก็เริ่มถอนหน่วยลงทุนไปใช้จ่าย ผลตอบแทนกองทุนไม่ดีเค้าก็ถอนไปฝากประจำ กองทุนเราต้องขายหุ้นออกมาแบบราคาสุดถูก คนเห็นนี่น้ำลายไหลเลยอยากได้เลยแต่ไม่มีใครกล้าซื้อตัว UMS ผมก็โดนกอง MAI ขายออกมาแหละครับ แล้วกองนี่ขายโหดกว่าฝรั่งเยอะ ฝรั่งมันจะรินขายแบบเลี้ยงไข้ แต่พี่กองนี่ทุบกันไม่เลี้ยง โงหัวนิดนึงเจอโยนใส่โครมๆ ยิ่งตัวที่สถาพคล่องน้อยๆนี่หมดหวังฟื้นเลย

สู้ๆนะครับ วางแผน และพยายามมีสติ หุ้นถล่มทั้งตลาดสามัญสำนึกเราจะบอกให้เรารีบขายทิ้งโดยด่วน แต่ยุคข้อมูลรุมเร้ามันจะทำให้เรามัวไปสนใจว่าเฮ้ยมันลงทำไม ข่าวงี่เง่านี่หว่า ตกใจทำไม จะขายกันทำไม นั่นไงมีคนบอกตลาดจะขึ้น กว่าจะกลับมารู้ตัวก็สายไปแล้วครับ มันลงไปแล้ว ขายไม่ทันแล้ว เล่นหุ้นมันไม่เหมือนขายหมูปิ้งหรือไก่ทอดที่ยิ่งสู้ยิ่งรวยนะครับ มันขึ้นอยู่กับตลาดตลาดดีเราก็ได้เยอะ ตลาดแย่อาจจะไม่มีใครได้อะไรเลยก็ได้ วางแผนดีๆ สู้ๆ ขอให้โชคดีกันทุกคน หวังว่าตลาดเราจะกลับมาดีในเร็ววัน อย่าเพิ่งหมดหวังนะครับ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 15
ผมจะเล่าเรื่องการลงทุนในหุ้นของผมให้ฟังนะครับ

สมัยผมเริ่มมาลงทุนในหุ้นน่าจะราวๆปี 2530กว่าๆ จำไม่ได้แน่นอน

ตอนนั้นเล่นหุ้นก็สะเปะสะปะ กำไรหลักพัน ขาดทุนหลักหมื่น (สมัยนั้น ออกรถเก๋งป้ายแดง มาสด้า 323 คันละสามแสนกว่าบาทเอง)

เจอเหตุการณ์เลวร้ายที่มีผลกระทบตลาดหุ้นมาตลอด ตั้งแต่ รสช ซัดดัมบุกคูเวต ก็ทนกับมันมาตลอด แต่ วิธีการเลือกหุ้นกืยังมวยวัดเหมือนเดิม

หุ้น ธนาคารทหารไทยที่เดี๋ยวนี้ ต่ำสิบ แต่ก่อน ผมเคยซื้อตั้งแต่ 40กว่าบาท ไล่ไปจนถึงเกือบร้อยบาท  ธนาคารกรุงไทย ก็ พอๆกัน

ใบหุ้นที่ กลายเป็นกระดาษชำระ อย่าง หุ้นกลุ่มเอก ของ ปิ่น จักกะพาก หรือ หุ้นขวัญใจนักปั่น อย่าง รัตนการเคหะ (RR) หรือหุ้นที่รอเข้าตลาดแล้ว

แย่งกันซื้อตอนไอพีโอ ยังกับแจกฟรี อย่าง โรงแรมอโนมา ก็พอมีอยู่

เงินหามาได้อย่างยากเย็น ละลายหายไปกับ ตลาดหุ้น  ขายหุ้นได้กำไร ไม่เคย เก็บขึ้น ซื้อ ต่อ เอาเงินเติม งานการไม่ทำ วันๆ นั่งเฝ้ากระดาน

(สมัยนั้น ยัง เอาปากกาไวท์บอร์ด เคาะกระดานหุ้นกันอยู่เลย เป็นที่มาของคำว่า  เคาะซื้อ เคาะขาย)

แต่เนื่องจากผม ไม่ได้ร่ำรวยอะไร เงินทองที่สามารถเอามาลงทุนในตลาดหุ้น ก็มีแค่หลักแสนเท่านั้น

ราวๆปี 2536  พี่เทพ (ปตทสผ) เข้า ตลาด ราคากระจุ๋มกระจิ๋ม หุ้นพาร์ 10 ราคาซื้อขายกันที่ 40กว่่าบาท เล่นตัวนี้ ไม่มีเจ๊ง มีแต่กำไรมากหรือน้อย

ผมก้ซื้อมาขายไปอยู่นั่น แต่ บังเอิญ กิจการประสพอัคคีภัย เลย ต้องขายหุ้นที่มีอยู่ทิ้งไปเกือบหมด เหลือ ปตทสผ ไว้แค่ 500 หุ้น กับธนาคารกรุง

ไทย ไว้อีก 5000 หุ้น (ตอนนั้น ปตทสผ ราคาน่าจะประมาณ 70-80 บาท(พาร์10)  เคทีบี อยู่ที่ เกือบร้อย)  ทหารไทยอีก4000หุ้น (ตอนนั้น มูลค่า

เป็นแสนนะครับ ไม่ใช่เหมือนเดี๋ยวนี้) กับพวก หุ้น อื่นๆอีกนิดหน่อย

ต่อมา มี ผู้ที่ผมนับถือ เป็นชาวต่างชาติ มาบอกให้ผมซื้อหุ้น สหพัฒน์ (เอสพีไอ) ซึ่งตอนนั้นราคาพาร์ 10บาท ที่ราคา 40 กว่าบาท ความที่ขัดสน

เหลือเกิน อยากจะซื้อมากๆ ก็ ซื้อได้แค่ 5000 หุ้น

แล้วก้ได้ซื้อหุ้นขวัญใจนักปั่นไว้บ้าง อย่างที่บอกไว้ด้านบน

สมัยนั้น การติดตามราคาหุ้น หากไม่นั่งที่ห้องค้า ก้ไม่มีทางทราบราคาได้ อินเตอร์เนท เป็นอย่างไร ไม่มีใครรู้จัก ขนาดจะส่งแฟก 1 แผ่น ไป

โตเกียว ยัง ต้องให้ ประธานบริษัท เซ็นอนุมัติ  ยังจำได้ สมัยนั้นจะติดต่อกับ เมืองนอก มีแต่ โทรทางไกลซึ่งแพงมาก กับ พิมพ์ เทเล็กซ์

ปรุกระดาษเป็นม้วนๆ แล้ว เอาไปใส่เครื่องอ่าน ส่งที่ ไปรษณีย์ ตรงบางรัก

เหตุการณ์สำคัญที่ทำให้ผมทิ้งตลาดไปเลย คือ วิกฤต ปี 2540   คนที่เคยเจอ วิกฤตนั้น และนั่งดูอยู่ และทนได้ ผมว่า หากมาเทียบกับ ทุกวิกฤต

ที่ผ่านมาหลังจากนั้น มัน เล็กน้อยมาก   เพราะ ในเวลาอื่น หุ้นตกยังไง มันก็ยังมีมูลค่า แต่ ปี 2540 บริษัทหลายแห่ง ปิดกิจการ หรือ ไม่ปิดก็ถุก

delist    หุ้นหลายตัวจากที่มีราคากลายเป็น ขยะ หุ้นที่ยังเหลืออยู่ เปิดราคา ฟลอร์ทุกวัน แล้วก้ไม่มีคนซื้อ

โบรคเกอร์ที่ผมเปิดบัญชีอยู่ (จริงๆไม่ใช่โบรคเกอร์ เป็น ซับโบรคเกอร์ เพราะสมัยก่อนนั้น ใบอนุญาต โบรคเกอร์ ประมูลกัน ใบละ 3-400 ล้าน)

ต้องปิดกิจการ หุ้นทั้งหมดทีมีอยู่ ผมได้รับเป็นใบหุ้นมา บางใบ ก็เป็นเศษกระดาษดีดีนี่เอง

หลังจากนั้น ผม หันหลังให้ตลาดหุ้นอย่างเด็ดขาด ไม่สนใจจะกลับมาดูอีกเลย

จนเมื่อเริ่มมีการใช้ อินเตอร์เนท แพร่หลาย และมีเวป settrade ผมก้เลยลองเอาหุ้นที่มีอยู่ ไปลอง ตั้งเป็น พอร์ทลงทุนจำลอง

(หุ้น 2 ตัว หลักๆที่มี มีการแตกพาร์ จาก10บาทเป็น 1 บาท จำนวนหุ้น ก็ต้องมีมากขึ้นเป็น10เท่า อันนี้เข้าใจกันนะครับ)

ปรากฏว่า หุ้น หลักๆ 2 ตัวนั้น จากเงินลงทุน จริงๆ ไม่น่าจะเกิน 5 แสนบาท และ เมื่อตอนปี 2540 ราคา ตลาด มัน ตกลงไป มากมาย

(มากจนผมไม่ตามราคามันเลย เรียกว่าหันหลังให้มันเชียวแหละ)

จากเงินลงทุนนั้น ราคาเมื่อเริ่มกลับมาดู น่าจะเกือบ8แสนบาท  แต่ผมก็ ยังไม่สนใจจะทำอะไรกับมัน

(อ้อ ลืมบอกไป ทุกปี ผมได้รับเงินปันผลจาก หุ้นมาตลอก โดยเฉพาะ ปตทสผ นี่ เรียกได้ว่า เฉพาะเงินปันผล มัน เกินทุนไปแล้ว)

และเมื่อปลายปี ที่แล้ว มีคนมา ขอให้ช่วยเหลือเรื่องเงิน  ผมเองก็ขัดสน เพราะเงินทั้งหมดที่มีอยู่ในหุ้นกู้  ตัวเองก็ ไม่ได้ทำงานแล้ว

รายได้ก็มีแต่ดอกเบี้ยจากหุ้นกู้ กับ เงินปันผลจากหุ้นใน ตลท เท่านั้น เลย ต้อง ถ่อสังขาร ไป พิษณุโลกเพื่อเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์

อีกครั้ง (จังหวัดที่ ผม มาอาศัยอยู่หลังจากออกจากงาน ไม่มี สาขา ของโบรคเกอร์ อยู่เลย)

หลังจากเอาใบหุ้นทั้งหมด(เฉพาะหุ้นที่ยังซื้อขายใน ตลท นะครับ) ฝาก ไว้ในบัญชี คำนวณราคาออกมาแล้ว portfolio ของผม มีมูลค่า

ประมาณ 2ล้านเก้าแสนบาท  ผมได้ทำการขายหุ้นออกไปบางส่วน เลือกเฉพาะหุ้นแย่ๆ อย่าง กรุงไทย (ที่เพิ่มทุนมาบ้าง อะไรบ้าง จนหุ้นมีเพิ่ม

มา เป็น หมื่นกว่าหุ้น)  เหมืองบ้านปู   ทหารไทย  ธนชาติ (ตัวนี้ ผมซื้อตอนที่ซื่อย่อมันเป็น NFS ไม่ใช่ TCAP อย่างเดี๋ยวนี้) ฯลฯ ขายทิ้งไปเพื่อ

เอาเงินไปช่วยเหลือคนที่มาขอ   หุ้น กรุงไทย ทหารไทย บ้านปู  ธนชาติ พวกนี้ ผม ขาดทุนตัวเงินนะครับ แม้เวลาจะผ่านมาเกือบ17-18ปี

นอกจากนั้นผมยังได้ ขาย หุ้น เอสพีไอ ออกไปทั้งหมด เพราะ ทนรับเงินปันผล (ตายตัว) ปีละ หมื่นกว่าบาท มา เป็นสิบๆปี ไม่ไหวแล้ว

เปลี่ยนไปซื้อหุ้นตัวอื่นๆ มูลค่าพอร์ทเมื่อตอนดัชนี พันหกร้อยกว่าอยู่ที่ 2ล้านห้าแสนกว่าบาท ตอนนี้ อยู่ที่ ประมาณ 2ล้านสองแสนกว่าบาท

หุ้นบางตัวก็เปลี่ยน เป็นตัวอื่น อย่างที่เขาเรียกว่า "จัดสวน"

แต่ก็โดนมีดบาดเอาบ้างเหมือนกัน



ที่พิมพ์มายืดยาว น่าจะสรุปได้ว่า




หากเลือก"หุ้นดี"  วิกฤต อะไรๆ เราก้จะผ่านมันไปได้ครับ
ความคิดเห็นที่ 8
2008 ข่าวอัปมงคม -60% ไม่ขาย ถือมาขาย กำไร 40%
2009 ปฎิวัติ -30% ไม่ขาย ถือมาขาย กำไร 20%
2011 น้ำท่วม -90% ไม่ขาย ถือมาขาย กำไร 60%
2013 ยังไม่มีข่าว ตอนนี้ -5% คิดว่าถือยาว ไม่กะขาย ยังไม่รู้จะกำไรเท่าไร

ที่ผ่านมา เปลี่ยนตัวเล่น ตามจังหวะ หุ้นแต่ละตัว หุ้นตัวไหน ราคาขึ้นสูงเกินมูลค่า ก็ขายไปหาหุ้น มูลค่าต่ำ ราคาถูกผลตอบแทนดีมาถือแทน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่