เรื่องไม่ดีที่เป็นข่าวโด่งดังในสังคมให้ระคายต่อพระศาสนา ล้วนใช้ความเชื่อของคนเป็นเครื่องมือในการกระทำผิด
ชาวพุทธ"จำนวนไม่น้อย" (ไม่ได้เหมารวมว่าทั้งหมด) ยังไม่เข้าใจความหมายของคำว่า "ศรัทธา"อย่างถูกต้อง
"ศรัทธาในทางพุทธศาสนา คือ ความเชื่อที่มีปัญญาเป็นตัวกำกับ"
แต่ชาวพุทธบางกลุ่มยังเชื่อในลักษณะที่เป็นความงมงาย ทำตามกันเป็นนกแก้วนกขุนทอง ทำบุญหวังในผลที่เป็นกิเลสตัณหา
คหสต.คิดว่า การทำบุญของคนส่วนใหญ่จะจำกัดอยู่เพียงแค่การทำ"ทาน"เท่านั้น คือถวายสิ่งของวัตถุ บริจาคเงิน ใครมีมากให้มาก ใครมีน้อยก็พยายามจะเจียดไปตามกำลังทรัพย์ ซึ่งนี่เป็นสาเหตุสำคัญของการเปิดช่องโหว่ให้คนชั่วมาหากินกับศาสนาได้ง่ายๆ
สิ่งที่จขกท.ต้องการจะสื่อคือ ศรัทธานั้นต้องมาควบคู่กับปัญญา อยากให้พิจารณาให้ดีว่าการบริจาคทานนั้น เราให้กับคนที่สมควรให้หรือไม่ ให้ด้วยใจที่บริสุทธิ์หรือไม่ ไม่ใช่ใครว่าอะไรดีก็ทำไปไม่ลืมหูลืมตา ถ้าเจอคนชั่วๆ บุญที่น่าจะได้จะกลายเป็นบาปไป (แม้เราจะอยากทำบุญจริงๆหรือทำไปด้วยความไม่รู้ แต่ก็เป็นการสนับสนุนคนผิดและบั่นทอนศาสนาทางอ้อม ด้วยความประมาทของตัวเราเอง)
**และที่สำคัญที่สุด อย่าลืมว่าการทำบุญยังมี การรักษาศีล และ เจริญภาวนา ซึ่งเราทำได้ด้วยตัวเอง และได้อานิสงส์กว่าการทำทานมากนัก
หากชาวพุทธรักษาศีลและเจริญสติภาวนาเป็นประจำ ย่อมมีปัญญารู้แจ้ง คิดพิจารณาแยกแยะสิ่งต่างๆได้ตามความเป็นจริง จะไม่ตกเป็นทาสของกิเลสตัณหาและความเชื่องมงาย คนชั่วเหล่านั้นก็ใช้เราเป็นเครื่องมือทำผิดบาปไม่ได้อีก
ที่เขียนมาทั้งหมด จขกท.ไม่ได้ต้องการจะดูถูกหรือว่าใครว่าใครว่างมงายไม่มีเหตุผลนะคะ แต่อยากชวนให้คิดเผื่อบางคนอาจมุ่งไปที่การทำบุญเป็นทานอย่างเดียว โดยละเลยการเจริญสติภาวนา ซึ่งเป็นสาเหตุให้เราตกเป็นเหยื่อของคนชั่วที่มาหากินกับศาสนา อย่าลืมว่าทำบุญนั้นสามารถทำได้ง่ายๆโดยเริ่มที่การปฏิบัติด้วยตัวเอง และการทำบุญนั้นต้องทำให้ครบถ้วนทั้งทาน ศีล ภาวนาอย่างสม่ำเสมอค่ะ
เป็นคหสต.ของจขกท. และสุดท้าย ขออนุโมทนากับคนที่เจริญสติเป็นประจำค่ะ
ดาบสองคมของ "ศรัทธา"
ชาวพุทธ"จำนวนไม่น้อย" (ไม่ได้เหมารวมว่าทั้งหมด) ยังไม่เข้าใจความหมายของคำว่า "ศรัทธา"อย่างถูกต้อง
"ศรัทธาในทางพุทธศาสนา คือ ความเชื่อที่มีปัญญาเป็นตัวกำกับ"
แต่ชาวพุทธบางกลุ่มยังเชื่อในลักษณะที่เป็นความงมงาย ทำตามกันเป็นนกแก้วนกขุนทอง ทำบุญหวังในผลที่เป็นกิเลสตัณหา
คหสต.คิดว่า การทำบุญของคนส่วนใหญ่จะจำกัดอยู่เพียงแค่การทำ"ทาน"เท่านั้น คือถวายสิ่งของวัตถุ บริจาคเงิน ใครมีมากให้มาก ใครมีน้อยก็พยายามจะเจียดไปตามกำลังทรัพย์ ซึ่งนี่เป็นสาเหตุสำคัญของการเปิดช่องโหว่ให้คนชั่วมาหากินกับศาสนาได้ง่ายๆ
สิ่งที่จขกท.ต้องการจะสื่อคือ ศรัทธานั้นต้องมาควบคู่กับปัญญา อยากให้พิจารณาให้ดีว่าการบริจาคทานนั้น เราให้กับคนที่สมควรให้หรือไม่ ให้ด้วยใจที่บริสุทธิ์หรือไม่ ไม่ใช่ใครว่าอะไรดีก็ทำไปไม่ลืมหูลืมตา ถ้าเจอคนชั่วๆ บุญที่น่าจะได้จะกลายเป็นบาปไป (แม้เราจะอยากทำบุญจริงๆหรือทำไปด้วยความไม่รู้ แต่ก็เป็นการสนับสนุนคนผิดและบั่นทอนศาสนาทางอ้อม ด้วยความประมาทของตัวเราเอง)
**และที่สำคัญที่สุด อย่าลืมว่าการทำบุญยังมี การรักษาศีล และ เจริญภาวนา ซึ่งเราทำได้ด้วยตัวเอง และได้อานิสงส์กว่าการทำทานมากนัก
หากชาวพุทธรักษาศีลและเจริญสติภาวนาเป็นประจำ ย่อมมีปัญญารู้แจ้ง คิดพิจารณาแยกแยะสิ่งต่างๆได้ตามความเป็นจริง จะไม่ตกเป็นทาสของกิเลสตัณหาและความเชื่องมงาย คนชั่วเหล่านั้นก็ใช้เราเป็นเครื่องมือทำผิดบาปไม่ได้อีก
ที่เขียนมาทั้งหมด จขกท.ไม่ได้ต้องการจะดูถูกหรือว่าใครว่าใครว่างมงายไม่มีเหตุผลนะคะ แต่อยากชวนให้คิดเผื่อบางคนอาจมุ่งไปที่การทำบุญเป็นทานอย่างเดียว โดยละเลยการเจริญสติภาวนา ซึ่งเป็นสาเหตุให้เราตกเป็นเหยื่อของคนชั่วที่มาหากินกับศาสนา อย่าลืมว่าทำบุญนั้นสามารถทำได้ง่ายๆโดยเริ่มที่การปฏิบัติด้วยตัวเอง และการทำบุญนั้นต้องทำให้ครบถ้วนทั้งทาน ศีล ภาวนาอย่างสม่ำเสมอค่ะ
เป็นคหสต.ของจขกท. และสุดท้าย ขออนุโมทนากับคนที่เจริญสติเป็นประจำค่ะ