เห็นข่าวเกี่ยวกับพระ เณร ในสมัยนี้แล้วก็ได้แต่ปวดใจ ทำไมมีแต่เรื่อง...
ผมเคยบวชเรียนมาแล้ว ที่วัดดังมีชื่อแห่งหนึ่ง หลวงตาให้ความสำคัญเรื่องการสวดมนต์ภาวนามาก ที่วัดจะมีการฉันมื้อเดียว ทำวัตรวันละ 3 รอบ หลวงตาจะให้พระบวชใหม่ให้ความสำคัญกับการทำวัตรมาก ไม่อยากให้ขาดถ้าไม่จำเป็น
สมัยที่บวช ไม่ค่อยมีเวลาว่าง ตื่นนอนตี 5 เพื่อเตรียมตัวออกบิณฑบาตร ตอน 6 โมงเช้า 7 โมงกลับมาที่วัดเพื่อฉัน เสร็จประมาณ 8 โมงครึ่งก็กลับมาล้างบาตร เตรียมตัวทำวัตรเช้าประมาณ 10 โมง เลิกประมาณ 11 โมงครึ่ง มีเวลาพักผ่อนนิดหน่อย ตอนบ่าย 2 โมง ก็ต้องขึ้นทำวัตรบ่าย เลิกประมาณ 4 โมงเย็น และตอน 2 ทุ่ม ก็ทำวัตรค่ำ กว่าจะเลิกก็เกือบ ๆ 4 ทุ่ม เสร็จก็กลับกุฏิเพื่อจำวัด เป็นอย่างนี้ทุกวัน ทุกคืน
ที่วัดส่วนใหญ่ จะไม่รับหนังสือพิมพ์ กุฏิส่วนใหญ่ไม่มีโทรทัศน์ จริง ๆ ที่วัดไม่ได้ห้าม แต่ก็น้อยมากที่พระจะมีโทรทัศน์อยู่ในกุฏิ เวลาว่างส่วนใหญ่ถ้าไม่นั่งคุยกัน ก็จำวัด เครื่องคอมพิวเตอร์นี่ลืมได้เลย มีอยู่ที่ส่วนกลางเครื่องเดียว เก่า ๆ ทำอะไรไม่ได้นอกจากพิมพ์เวิร์ด เอ็กเซล และเพาเวอร์พอยท์
กุฎิหลวงตา จะมีญาติโยมเข้ามาไม่ขาดสาย ทั้งพูดคุยสนทนาธรรม หรือมีเรื่องมีราวขอความช่วยเหลือ หลวงตาไม่ค่อยปฏิเสธที่จะคุยกับใคร แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้ลงไปช่วยเหลือใครในแง่วัตถุ ส่วนใหญ่จะแนะแนวทาง หรือให้คำแนะนำ หรือหาทางออกให้มากกว่า
เคยมีพ่อแม่เด็กมาปรึกษาหลวงตา บอกว่าลูกชายมีแนวโน้มที่จะเบี่ยงเบนทางเพศ อยากให้มาบวชกับหลวงตา เพื่อให้หลวงตาช่วยเหลือให้ลูกชายกลับไปเป็นชาย ซึ่งหลวงตาก็ได้แต่บอกให้พ่อกับแม่ทำใจ ว่าลูกเกิดมาเป็นลูกเราแล้ว ไม่ว่าเค้าจะเป็นเพศอะไรก็เป็นลูกของเรา ให้รัก และเลี้ยงดูเค้าให้ดี แต่หลวงตาไม่เห็นด้วยที่จะให้มาบวช
บางทีหลวงตาทำธุระส่วนตัวอยู่ในกุฏิ ก็จะมีโยมสีกา ทั้งสาวและไม่สาว ถือวิสาสะเดินเข้ามาหาหลวงตาถึงในกุฏิ แม้ว่ากุฏิจะใหญ่โตและมีเณรและพระอยู่กันเยอะ แต่หลวงตาไม่เคยรับสีกาในกุฏิ จะชวนกันออกมาคุยที่ศาลาหน้ากุฏิทุกครั้ง และไม่เคยนั่งคุยกันสองต่อสอง ถ้าไม่มีญาติโยมนั่งอยู่ด้วย ถ้าสีกามาเพียงคนเดียว หลวงตาจะไปตามพระหรือเณรแถวนั้นมานั่งคุยเด้วยเสมอ
หลวงตาบอกเสมอว่าไม่อยากให้พระถือเงิน เคยเดินบิณฑบาตรแล้วมีญาติโยมเอาเงินใส่ซองให้หลวงตา หลวงตาจะรับไว้แล้วหยิบซองเงินให้กลับคืนไป บอกว่าถ้าอยากถวายปัจจัย ให้ไปถวายที่ส่วนกลาง เค้าจะมีให้ถวายเงินวัดอยู่ เวลาวัดอยากได้ปัจจัยมาซ่อมแซม หรือจ่ายค่าใช้จ่ายต่าง ๆ
พระในความควบคุมของหลวงตา อย่าหวังจะได้ออกไปไหนง่าย ๆ หากมีเรื่องที่จำเป็น เช่น ต้องการของอะไรเป็นพิเศษ จะมีญาติโยมที่คอยหามาให้ เคยมีพระมาขอหลวงตาไปพันทิปเพื่อหาอะไหล่มาซ่อมคอมพิวเตอร์ หลวงตาบอกว่าไม่ควรไป แล้วก็ตามเด็กวัด (ที่พอมีความรู้เรื่องคอมฯ) มาจดว่าพระอยากได้อะไรบ้าง แล้วก็ให้เด็กวัดไปเบิกเงินมาซื้อ
ผมบวชเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ เนื่องด้วยความจำเป็นทางหน้าที่การงาน แต่ช่วงเวลาที่บวช กลับเป็นช่วงเวลาที่สงบ สุข และไม่เคยรู้สึกว่า การเป็นพระจะต้องมีรถหรู ๆ มีกระเป๋าแบรนด์เนม หรือต้องมีกิจนิมนต์ไปต่างประเทศ ใส่แว่นตากันแดด แม้แต่โทรศัพท์มือถือ หลวงตายังไม่อยากให้พกด้วยซ้ำ หลวงตาบอกว่า พระไม่ใช่นักธุรกิจ พระอยู่ที่วัด ใครอยากจะคุยด้วยก็ให้มาคุยที่วัด
ผมเองก็ไม่เข้าใจพระสมัยนี้ และไม่เข้าใจญาติโยมด้วย ทำไมต้องถวายรถหรู ๆ ถวายเฮลิคอปเตอร์ ถวายเครื่องบินเจ็ท หรือพาไปเที่ยวต่างประเทศ อย่าบอกว่าพระปฏิเสธญาติโยมไม่ได้ หลวงตาทำมาแล้ว อะไรที่ไม่สมควร หลวงตาก็ไม่เคยรับ
หลวงตาไม่เคยปลุกเสกพระ หรือเครื่องรางของขลัง แต่หลวงตาเหมือนมีวาจาสิทธิ์เวลาใครมาขอพรอะไร เคยมีพ่อแม่พาเด็กมาขอพรหลวงตา บอกว่าจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย ถ้าหลวงตาบอกว่าขอให้ประสบความสำเร็จ ก็มักไม่เคยพลาด แต่ถ้าหลวงตาบอกให้พยายาม สักวันจะประสบความสำเร็จ ก็เตรียมตัวไปสอบปีหน้าได้เลย
หลายคนท้อเวลานั่งสมาธิหรือทำวัตร หลวงตาจะคอยบอกให้รู้ตัว ถ้าล้าหรือเหนื่อยก็ให้พัก หลวงตาเคยเรียกพระองค์หนึ่งไปคุยด้วย บอกว่าถ้ายังไม่พร้อมก็ให้สึกไปก่อน เมื่อพร้อมจะอยู่ในศีลค่อยมาบวชใหม่ และมารู้ทีหลังว่าพระองค์นี้แอบกินมาม่าตอนดึก ๆ ในกุฏิ ซึ่งก็นอนอยู่คนเดียว และไม่รู้ว่าหลวงตารู้ได้ยังไง
อยากบอกกับทุกคนนะครับว่า พระไม่จำเป็นต้องมีรถหรู ๆ ของใช้แพง ๆ พระไม่จำเป็นต้องมีความสะดวกสบายมากเกินความจำเป็น ไม่จำเป็นต้องถวายข้าวของเครื่องใช้เพื่อให้พระสะดวกสบายเลย ไม่จำเป็นต้องใช้เงินเยอะ ๆ เพื่อซื้อบุญ ใครที่บอกว่า จ่ายเงินเยอะแล้วจะได้บุญเยอะ ให้รู้ไว้เลยว่า "โกหก"
"บุญ" เกิดจาก ทาน-ศีล-ภาวนา ไม่จำเป็นต้องสร้างพระองค์ใหญ่ที่สุดในโลก แค่คุณทำทาน ถือศีล และสวดมนต์ภาวนา นั่งสมาธิ คุณก็จะได้บุญ บารมี ไม่รู้เท่าไหร่แล้ว
วันนี้หลวงตาผมไม่อยู่แล้ว ผมดีใจที่หลวงตาไม่ทันเห็นความเสื่อมของคนที่ห่มผ้าเหลืองสมัยนี้ ทั้งเรื่องพระเณรเพศที่สาม เรื่องพระผู้ใหญ่ที่พ่ายแพ้ต่ออิสตรี หรือคนที่ห่มผ้าเหลือง แต่แหกศีลแทบจะทุกข้อเลยอย่างหลวงปู่ที่มีข่าวอยู่
ศาสนาพุทธไม่มีวันเสื่อม แต่ที่เสื่อม...คือคนที่นับถือศาสนาพุทธต่างหาก คิดได้ยังไง ถวายรถหรู ๆ ราคาหลายล้านให้พระนั่ง...
เห็นข่าวเกี่ยวกับพระ เณร สมัยนี้แล้ว....ปวดใจ
ผมเคยบวชเรียนมาแล้ว ที่วัดดังมีชื่อแห่งหนึ่ง หลวงตาให้ความสำคัญเรื่องการสวดมนต์ภาวนามาก ที่วัดจะมีการฉันมื้อเดียว ทำวัตรวันละ 3 รอบ หลวงตาจะให้พระบวชใหม่ให้ความสำคัญกับการทำวัตรมาก ไม่อยากให้ขาดถ้าไม่จำเป็น
สมัยที่บวช ไม่ค่อยมีเวลาว่าง ตื่นนอนตี 5 เพื่อเตรียมตัวออกบิณฑบาตร ตอน 6 โมงเช้า 7 โมงกลับมาที่วัดเพื่อฉัน เสร็จประมาณ 8 โมงครึ่งก็กลับมาล้างบาตร เตรียมตัวทำวัตรเช้าประมาณ 10 โมง เลิกประมาณ 11 โมงครึ่ง มีเวลาพักผ่อนนิดหน่อย ตอนบ่าย 2 โมง ก็ต้องขึ้นทำวัตรบ่าย เลิกประมาณ 4 โมงเย็น และตอน 2 ทุ่ม ก็ทำวัตรค่ำ กว่าจะเลิกก็เกือบ ๆ 4 ทุ่ม เสร็จก็กลับกุฏิเพื่อจำวัด เป็นอย่างนี้ทุกวัน ทุกคืน
ที่วัดส่วนใหญ่ จะไม่รับหนังสือพิมพ์ กุฏิส่วนใหญ่ไม่มีโทรทัศน์ จริง ๆ ที่วัดไม่ได้ห้าม แต่ก็น้อยมากที่พระจะมีโทรทัศน์อยู่ในกุฏิ เวลาว่างส่วนใหญ่ถ้าไม่นั่งคุยกัน ก็จำวัด เครื่องคอมพิวเตอร์นี่ลืมได้เลย มีอยู่ที่ส่วนกลางเครื่องเดียว เก่า ๆ ทำอะไรไม่ได้นอกจากพิมพ์เวิร์ด เอ็กเซล และเพาเวอร์พอยท์
กุฎิหลวงตา จะมีญาติโยมเข้ามาไม่ขาดสาย ทั้งพูดคุยสนทนาธรรม หรือมีเรื่องมีราวขอความช่วยเหลือ หลวงตาไม่ค่อยปฏิเสธที่จะคุยกับใคร แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้ลงไปช่วยเหลือใครในแง่วัตถุ ส่วนใหญ่จะแนะแนวทาง หรือให้คำแนะนำ หรือหาทางออกให้มากกว่า
เคยมีพ่อแม่เด็กมาปรึกษาหลวงตา บอกว่าลูกชายมีแนวโน้มที่จะเบี่ยงเบนทางเพศ อยากให้มาบวชกับหลวงตา เพื่อให้หลวงตาช่วยเหลือให้ลูกชายกลับไปเป็นชาย ซึ่งหลวงตาก็ได้แต่บอกให้พ่อกับแม่ทำใจ ว่าลูกเกิดมาเป็นลูกเราแล้ว ไม่ว่าเค้าจะเป็นเพศอะไรก็เป็นลูกของเรา ให้รัก และเลี้ยงดูเค้าให้ดี แต่หลวงตาไม่เห็นด้วยที่จะให้มาบวช
บางทีหลวงตาทำธุระส่วนตัวอยู่ในกุฏิ ก็จะมีโยมสีกา ทั้งสาวและไม่สาว ถือวิสาสะเดินเข้ามาหาหลวงตาถึงในกุฏิ แม้ว่ากุฏิจะใหญ่โตและมีเณรและพระอยู่กันเยอะ แต่หลวงตาไม่เคยรับสีกาในกุฏิ จะชวนกันออกมาคุยที่ศาลาหน้ากุฏิทุกครั้ง และไม่เคยนั่งคุยกันสองต่อสอง ถ้าไม่มีญาติโยมนั่งอยู่ด้วย ถ้าสีกามาเพียงคนเดียว หลวงตาจะไปตามพระหรือเณรแถวนั้นมานั่งคุยเด้วยเสมอ
หลวงตาบอกเสมอว่าไม่อยากให้พระถือเงิน เคยเดินบิณฑบาตรแล้วมีญาติโยมเอาเงินใส่ซองให้หลวงตา หลวงตาจะรับไว้แล้วหยิบซองเงินให้กลับคืนไป บอกว่าถ้าอยากถวายปัจจัย ให้ไปถวายที่ส่วนกลาง เค้าจะมีให้ถวายเงินวัดอยู่ เวลาวัดอยากได้ปัจจัยมาซ่อมแซม หรือจ่ายค่าใช้จ่ายต่าง ๆ
พระในความควบคุมของหลวงตา อย่าหวังจะได้ออกไปไหนง่าย ๆ หากมีเรื่องที่จำเป็น เช่น ต้องการของอะไรเป็นพิเศษ จะมีญาติโยมที่คอยหามาให้ เคยมีพระมาขอหลวงตาไปพันทิปเพื่อหาอะไหล่มาซ่อมคอมพิวเตอร์ หลวงตาบอกว่าไม่ควรไป แล้วก็ตามเด็กวัด (ที่พอมีความรู้เรื่องคอมฯ) มาจดว่าพระอยากได้อะไรบ้าง แล้วก็ให้เด็กวัดไปเบิกเงินมาซื้อ
ผมบวชเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ เนื่องด้วยความจำเป็นทางหน้าที่การงาน แต่ช่วงเวลาที่บวช กลับเป็นช่วงเวลาที่สงบ สุข และไม่เคยรู้สึกว่า การเป็นพระจะต้องมีรถหรู ๆ มีกระเป๋าแบรนด์เนม หรือต้องมีกิจนิมนต์ไปต่างประเทศ ใส่แว่นตากันแดด แม้แต่โทรศัพท์มือถือ หลวงตายังไม่อยากให้พกด้วยซ้ำ หลวงตาบอกว่า พระไม่ใช่นักธุรกิจ พระอยู่ที่วัด ใครอยากจะคุยด้วยก็ให้มาคุยที่วัด
ผมเองก็ไม่เข้าใจพระสมัยนี้ และไม่เข้าใจญาติโยมด้วย ทำไมต้องถวายรถหรู ๆ ถวายเฮลิคอปเตอร์ ถวายเครื่องบินเจ็ท หรือพาไปเที่ยวต่างประเทศ อย่าบอกว่าพระปฏิเสธญาติโยมไม่ได้ หลวงตาทำมาแล้ว อะไรที่ไม่สมควร หลวงตาก็ไม่เคยรับ
หลวงตาไม่เคยปลุกเสกพระ หรือเครื่องรางของขลัง แต่หลวงตาเหมือนมีวาจาสิทธิ์เวลาใครมาขอพรอะไร เคยมีพ่อแม่พาเด็กมาขอพรหลวงตา บอกว่าจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย ถ้าหลวงตาบอกว่าขอให้ประสบความสำเร็จ ก็มักไม่เคยพลาด แต่ถ้าหลวงตาบอกให้พยายาม สักวันจะประสบความสำเร็จ ก็เตรียมตัวไปสอบปีหน้าได้เลย
หลายคนท้อเวลานั่งสมาธิหรือทำวัตร หลวงตาจะคอยบอกให้รู้ตัว ถ้าล้าหรือเหนื่อยก็ให้พัก หลวงตาเคยเรียกพระองค์หนึ่งไปคุยด้วย บอกว่าถ้ายังไม่พร้อมก็ให้สึกไปก่อน เมื่อพร้อมจะอยู่ในศีลค่อยมาบวชใหม่ และมารู้ทีหลังว่าพระองค์นี้แอบกินมาม่าตอนดึก ๆ ในกุฏิ ซึ่งก็นอนอยู่คนเดียว และไม่รู้ว่าหลวงตารู้ได้ยังไง
อยากบอกกับทุกคนนะครับว่า พระไม่จำเป็นต้องมีรถหรู ๆ ของใช้แพง ๆ พระไม่จำเป็นต้องมีความสะดวกสบายมากเกินความจำเป็น ไม่จำเป็นต้องถวายข้าวของเครื่องใช้เพื่อให้พระสะดวกสบายเลย ไม่จำเป็นต้องใช้เงินเยอะ ๆ เพื่อซื้อบุญ ใครที่บอกว่า จ่ายเงินเยอะแล้วจะได้บุญเยอะ ให้รู้ไว้เลยว่า "โกหก"
"บุญ" เกิดจาก ทาน-ศีล-ภาวนา ไม่จำเป็นต้องสร้างพระองค์ใหญ่ที่สุดในโลก แค่คุณทำทาน ถือศีล และสวดมนต์ภาวนา นั่งสมาธิ คุณก็จะได้บุญ บารมี ไม่รู้เท่าไหร่แล้ว
วันนี้หลวงตาผมไม่อยู่แล้ว ผมดีใจที่หลวงตาไม่ทันเห็นความเสื่อมของคนที่ห่มผ้าเหลืองสมัยนี้ ทั้งเรื่องพระเณรเพศที่สาม เรื่องพระผู้ใหญ่ที่พ่ายแพ้ต่ออิสตรี หรือคนที่ห่มผ้าเหลือง แต่แหกศีลแทบจะทุกข้อเลยอย่างหลวงปู่ที่มีข่าวอยู่
ศาสนาพุทธไม่มีวันเสื่อม แต่ที่เสื่อม...คือคนที่นับถือศาสนาพุทธต่างหาก คิดได้ยังไง ถวายรถหรู ๆ ราคาหลายล้านให้พระนั่ง...