http://gm.gnavi.co.jp/shop/0120130111/
วันนี้จะขอรีวิวร้านซูชิที่ญี่ปุ่น 1 ร้านที่เรามีโอกาสไปทานมานะคะ ส่วนมากทุกคนน่าจะรู้จัก Jiro มากกว่า ตอนเราดูสารคดีเราก็อยากทานร้าน Jiro มากๆๆๆๆค่ะ แต่เคยอ่าน review ว่าจองยุ่งยาก ประกอบกับไม่มีประสบการณ์ในการทานร้านซูชิติดดาว (จริงๆก็ไม่เคยทานร้านติดดาวใดๆมาก่อนเลย) และรุ่นน้องคนนึงมาโพส Clip อันนี้ ขอให้ลองดูค่ะ เราดูจบแล้วตัดสินใจทันที ชั้นจะไปทานร้านนี้!!!
ตอนที่ดู Clip ก็ไม่ทราบว่าร้านติดดาวค่ะ แต่ลอง search หาร้านจากชื่อ chef หาไปมาได้ความว่าเป็น 1 star และจาก web
http://www.luxeat.com/blog/30-sushi-restaurants-tabelog-users/ ได้อันดับที่ 17 ในขณะที่ Jiro ได้อันดับที่ 48 เท่านั้น ...เอาล่ะสิ น่าทานขึ้นมาอีกเยอะเลยเชียว
หลังจากที่จองตั๋วเครื่องบิน เราก็จัดการเลือกวัน และให้น้องชายที่เพิ่งไปเรียนญี่ปุ่นได้ไม่ถึง 2 เดือนโทรไปจองให้ค่ะ เราโทรจองล่วงหน้าประมาณ 1 เดือนเต็มๆ แต่จริงๆก็ไม่ทราบว่าจำเป็นว่าจะต้องจองนานขนาดนี้หรือไม่ โทรไปไม่ยุ่งยากเลยค่ะ ถามแค่ว่ากี่คน วันไหน เวลาอะไร จบ น้องชายยังตื่นเต้นว่า Chef มารับสายเองเพราะเค้าพูดว่า “Nakamura des”
พอถึงวัน ไม่มีการ confirm อะไรทั้งสิ้น พวกเรา (แม่ เรา น้องชาย) แบบว่ากลัวหลงทางมากกกกก เลยรีบไปโดยไปตาม google map ร้านหาไม่ยาก แต่หน้าร้าน modest มากค่ะ
ไปถึงก่อนเวลานัดครึ่งชม. ร้านปิด มีเด็กหนุ่มเลิกลักวิ่งมาหาเรา บอกว่าให้มาทุ่มนึง เราเลยไปเดินซื้อของรอ พอกลับไปที่ร้าน มีคนมาแล้ว 2 คน เราเป็นคนที่ 3,4 และ 5 เด็กหนุ่มคนที่วิ่งมาบอกเราว่าให้มาทุ่มนึงคือลูกมือเชฟหน้าเคาเตอร์นั่นเอง
บรรยากาศร้านดูเป็นกันเองไม่เครียดนะคะ น้องถามพนง. ผู้หญิงที่เสิร์ฟน้ำว่าถ่ายรูป ได้หรือไม่ เค้าก็ว่าได้ พวกเราก็ถ่ายรูปกันทันที เชฟผู้ช่วยก็น่ารักมาก น้องสั่งสาเกเย็น แต่เราไม่อยากได้เยอะ เค้ารีบแว้บเข้าไปเอาเหยือกสาเกมาให้ดูว่า เล็กแค่นี้เอง (เบ็ดเสร็จดื่มกันไป 2 เหยือก) ร้านก็คือร้านในคลิปค่ะ มี 10 ที่นั่งเท่านั้นเอง
เราอธิบายรสชาติอาหารไม่เก่งนะคะ ดูรูปเพลินๆแล้วกันค่ะ
จานแรกที่มาวางคือขิงดองค่ะ...ซึ่งเราไม่ได้ถ่ายรูปไว้ TT จะหั่นใหม่ให้แต่ละคนทุกครั้ง ไม่มีการหั่นค้างไว้ เติมให้ตลอดค่ะ เครื่องเคียงอีก 2 อย่างคือแตงกวาดองกับไชเท้าดอง ไชเท้าอร่อยมากพิเศษค่ะ
จานแรกซุปกะลูกชิ้นหมูเด้ง... คล้ายๆค่ะ แต่ซุปรสออกทะเลๆค่ะ
หอยลายค่ะ
ต่อด้วยปลาหมึกหั่นชิ้นค่ะ
(คาดว่า)เป็นหอยกับซอสงาและโชยุค่ะ อันนี้อร่อยพิเศษ เนื้อหอยดึ๋งๆ ซอสอร่อย วาซาบิที่แตะมากำลังดี เป็นจานที่อร่อยมากๆแต่ดันลืมชื่อ ใครทราบช่วยบอกทีนะคะ ที่ Mugendai มีเมนูเต้าหู้ ราดซอคล้ายๆแบบนี้ อร่อยใช้ได้เลยค่ะ
ปลาย่างถ่าน ด้านบนเป็นไชเท้าขูด จะขูดใหม่ๆตลอดสำหรับแต่ละจานค่ะ ถ้าดูใน vdo จะเห็นวิธีย่าง อันนี้เชฟผู้ช่วยเอาไปย่างข้างในค่ะ กลิ่นหอมถ่านมากกกกก มากที่สุดที่เคยกินของย่างมาก แตะจมุกฟุ้งเลยทีเดียว
หลังอาหารชุดนี้ผ่านไป เชฟก็เตรียมข้าวค่ะ ถ้าดูใน vdo จะเห็นว่าเค้าพิ๔ีพิถันเรื่องข้าวมาก ซึ่งก็น่าจะเหมือนกับเชฟซูชิทุกคน พอเค้าเตรียมเสร็จ เหมือนจะเอาไปเก็บข้างใน แต่จะแบ่งมาใช้ครั้งละนิดเดียวเท่านั้น วาซาบิก็ขูดทีละนิดๆค่ะ หมดทีขูดที ขอบอกว่าเรานั่งดูการเคลื่อนไหวของเชฟเพลินมาก เพลินเหมือนกับที่ดูใน clip เลยค่ะ เค้าจะลำดับแม่นมาก ใครมาก่อนมาหลัง ใครต้องเสิร์ฟอะไรก่อน การเคลื่อนไหวลื่นมากค่ะ ไม่มีหยุดคิดเลย
จานนี้ไม่แน่ใจเรื่องชื่อค่ะ
abalone เชฟมาวาง แล้วบอกให้ทานกับเหล้าค่ะ
สาหร่ายวากาเมะ เฉยๆค่ะ
พนง. เอาผ้าเช็ดมือวางเป็นหลังคาเล็กๆ ดูแล้วรู้เลยว่าต่อไปจะเป็นซูชิแล้วจ้า ใช้มือหยิบนะจ๊ะ ประมาณนั้น
คำแรกคือ Aji ค่ะ ขอบอกว่ามันอร่อยมากๆๆๆจริงๆ ข้าวนี่สุดยอดเลยค่ะ อร่อยเป็นพิเศษกว่าที่เคยกินมา เชฟผู้ช่วยจะเป็นคนแล่หนังออก แต่เชฟจะเป็นคนบั้งปลาเองค่ะ รอยบั้งมันทำให้อร่อยเข้าเนื้อมากๆ ชิ้นนี้น้องเราให้อันดับ 1 เลยค่ะ วันต่อมาเราไปกิน Sushi Midori ที่ชาวพันทิปน่าจะเคยอ่านรีวิวกัน เราไปกินเพื่อย้ำว่า เออ ข้าวมันอร่อยต่างกันจริงๆ
ปลาไท
หอย akagai
ปลาหมึก
กุ้ง kuruma ebi
ปลามากุโร่หมักซีอิ๊ว maguro zuke
ไข่หอยเม่น uni อันนี้เราขอบอกว่า อร่อยตายไปเลยค่ะ ร้านแพงๆในฮอกไกโดเราก็ไปทานมา อันนี้มันสุดยอดจริงๆ เชฟจะเอาไข่หอยเม่นมาเรียงๆกันก่อน แล้วค่อยป้ันข้าว แล้วโปะอันนี้อีกทีค่ะ
(อันนี้ยังไม่แน่ใจเรื่องชื่อค่ะ)
ซุปมิโสะหมูเด้ง (เราเรียกกันเอง)
โอโทโร่ อันนี้ถ้าไม่นับเรื่องข้าวที่อร่อยมากๆแล้ว เราว่าไม่ต่างจากร้านดีๆในเมืองไทยค่ะ
ปลาไหล anago อันนี้เป็นอีกอันที่เน้นว่าอร่อยเลิศเป็นพิเศษไม่เหมือนที่ทานที่อื่นค่ะ เหมือนปลาไหลละลายกระจายในปากเลยค่ะ
ไข่หวาน tamakoyagi เนื้อประมาณชีสเค้กเนียนๆเลยค่ะ อร่อยจริงๆ
เสร็จแล้วเชฟมาถามว่าอิ่มมั้ย พวกเราไม่ถึงกับอิ่มตึง แต่รู้สึกกำลังดี ก็ได้ข้าวห่อสาหร่ายมาอีก 4 ชิ้น แล้วเราก็เผ่นกันดีกว่า เกลียดคู่ที่นั่งข้างๆด้วย เมาพูดจาเสียงดังตลอดเวลา แล้วพูดกับคนอื่นว่ารำคาญพวกเราที่เสียงดัง ?!? ทั้งๆที่พวกเราเงียบมาก เพราะมัวแต่นั่งดูเชฟ เลยแอบคิดว่าเค้าจะรำคาญเสียงชัตเตอร์รึเปล่า แต่ก็ขี้เกียจจะใส่ใจไปกว่านั้นแล้วค่ะ เชฟเค้าให้ถ่ายนิ
สรุปของที่ทุกคนน่าจะอยากทราบค่ะ ค่าเสียหาย 3 คน สาเก 2 เหยือกเล็ก 55,700 เยนค่ะ คิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 17,000 บาท+ ค่ะ รับบัตรเครดิตค่ะ คุ้มทุกบาททุกสตางค์ค่ะ ขอบอกว่าเราเคยกินอาหารญี่ปุ่นที่เมืองไทยต่อหัวแพงกว่านี้มาแล้วค่ะ อันนี้คุ้มกว่าค่ะ
อ่างล้างมือ...ไมใช่อ่าง แต่สวยมากค่ะ
โดยสรุปนะคะ การไปทานซูชิ Michelin star นี่เป็นประสบการณ์ที่น่าลองมากค่ะ ถ้าใครกลัวลุงจิโร่ ขอให้เริ่มจาก Nakamura แบบเราก็ได้ค่ะ ตอนแรกเราก็เกร็ง กลัวทำไรบ้าๆบอๆ แอบซ้อมกับน้องว่ามันต้องใช้มือหยิบนะ บลาๆ ปรากฏว่าผู้หญิงที่มากับผู้ชายเมาใช้ตะเกียบคีบ เราคาดว่าเค้าทำเล็บมาเลยไม่อยากหยิบค่ะ แต่บรรยากาศของร้าน friendly มากๆ พนักงานน่ารักทุกคน นี่ผ่านมา 2 วันแล้วเรายังพูดถึงอาหารมื้อนี้กันอยู่เลย ตกลงกันว่าคราวหน้า จะไปลอง Sushi Saito สักที แล้วถ้าปีกกล้าขาแข็ง จะตะลุย Jiro ต่อค่ะ
ปิดด้วยรูปหน้าร้านค่ะ ไม่เคยรีวิวจัดเต็มขนาดนี้ ถ้าข้อมูลอันไหนผิดก็รบกวนแก้ไขด้วยนะคะ
[CR] [CR] Sushi Nakamura at Roppongi (1-star Michelin)
วันนี้จะขอรีวิวร้านซูชิที่ญี่ปุ่น 1 ร้านที่เรามีโอกาสไปทานมานะคะ ส่วนมากทุกคนน่าจะรู้จัก Jiro มากกว่า ตอนเราดูสารคดีเราก็อยากทานร้าน Jiro มากๆๆๆๆค่ะ แต่เคยอ่าน review ว่าจองยุ่งยาก ประกอบกับไม่มีประสบการณ์ในการทานร้านซูชิติดดาว (จริงๆก็ไม่เคยทานร้านติดดาวใดๆมาก่อนเลย) และรุ่นน้องคนนึงมาโพส Clip อันนี้ ขอให้ลองดูค่ะ เราดูจบแล้วตัดสินใจทันที ชั้นจะไปทานร้านนี้!!!
ตอนที่ดู Clip ก็ไม่ทราบว่าร้านติดดาวค่ะ แต่ลอง search หาร้านจากชื่อ chef หาไปมาได้ความว่าเป็น 1 star และจาก web http://www.luxeat.com/blog/30-sushi-restaurants-tabelog-users/ ได้อันดับที่ 17 ในขณะที่ Jiro ได้อันดับที่ 48 เท่านั้น ...เอาล่ะสิ น่าทานขึ้นมาอีกเยอะเลยเชียว
หลังจากที่จองตั๋วเครื่องบิน เราก็จัดการเลือกวัน และให้น้องชายที่เพิ่งไปเรียนญี่ปุ่นได้ไม่ถึง 2 เดือนโทรไปจองให้ค่ะ เราโทรจองล่วงหน้าประมาณ 1 เดือนเต็มๆ แต่จริงๆก็ไม่ทราบว่าจำเป็นว่าจะต้องจองนานขนาดนี้หรือไม่ โทรไปไม่ยุ่งยากเลยค่ะ ถามแค่ว่ากี่คน วันไหน เวลาอะไร จบ น้องชายยังตื่นเต้นว่า Chef มารับสายเองเพราะเค้าพูดว่า “Nakamura des”
พอถึงวัน ไม่มีการ confirm อะไรทั้งสิ้น พวกเรา (แม่ เรา น้องชาย) แบบว่ากลัวหลงทางมากกกกก เลยรีบไปโดยไปตาม google map ร้านหาไม่ยาก แต่หน้าร้าน modest มากค่ะ
ไปถึงก่อนเวลานัดครึ่งชม. ร้านปิด มีเด็กหนุ่มเลิกลักวิ่งมาหาเรา บอกว่าให้มาทุ่มนึง เราเลยไปเดินซื้อของรอ พอกลับไปที่ร้าน มีคนมาแล้ว 2 คน เราเป็นคนที่ 3,4 และ 5 เด็กหนุ่มคนที่วิ่งมาบอกเราว่าให้มาทุ่มนึงคือลูกมือเชฟหน้าเคาเตอร์นั่นเอง
บรรยากาศร้านดูเป็นกันเองไม่เครียดนะคะ น้องถามพนง. ผู้หญิงที่เสิร์ฟน้ำว่าถ่ายรูป ได้หรือไม่ เค้าก็ว่าได้ พวกเราก็ถ่ายรูปกันทันที เชฟผู้ช่วยก็น่ารักมาก น้องสั่งสาเกเย็น แต่เราไม่อยากได้เยอะ เค้ารีบแว้บเข้าไปเอาเหยือกสาเกมาให้ดูว่า เล็กแค่นี้เอง (เบ็ดเสร็จดื่มกันไป 2 เหยือก) ร้านก็คือร้านในคลิปค่ะ มี 10 ที่นั่งเท่านั้นเอง
เราอธิบายรสชาติอาหารไม่เก่งนะคะ ดูรูปเพลินๆแล้วกันค่ะ
จานแรกที่มาวางคือขิงดองค่ะ...ซึ่งเราไม่ได้ถ่ายรูปไว้ TT จะหั่นใหม่ให้แต่ละคนทุกครั้ง ไม่มีการหั่นค้างไว้ เติมให้ตลอดค่ะ เครื่องเคียงอีก 2 อย่างคือแตงกวาดองกับไชเท้าดอง ไชเท้าอร่อยมากพิเศษค่ะ
จานแรกซุปกะลูกชิ้นหมูเด้ง... คล้ายๆค่ะ แต่ซุปรสออกทะเลๆค่ะ
หอยลายค่ะ
ต่อด้วยปลาหมึกหั่นชิ้นค่ะ
(คาดว่า)เป็นหอยกับซอสงาและโชยุค่ะ อันนี้อร่อยพิเศษ เนื้อหอยดึ๋งๆ ซอสอร่อย วาซาบิที่แตะมากำลังดี เป็นจานที่อร่อยมากๆแต่ดันลืมชื่อ ใครทราบช่วยบอกทีนะคะ ที่ Mugendai มีเมนูเต้าหู้ ราดซอคล้ายๆแบบนี้ อร่อยใช้ได้เลยค่ะ
ปลาย่างถ่าน ด้านบนเป็นไชเท้าขูด จะขูดใหม่ๆตลอดสำหรับแต่ละจานค่ะ ถ้าดูใน vdo จะเห็นวิธีย่าง อันนี้เชฟผู้ช่วยเอาไปย่างข้างในค่ะ กลิ่นหอมถ่านมากกกกก มากที่สุดที่เคยกินของย่างมาก แตะจมุกฟุ้งเลยทีเดียว
หลังอาหารชุดนี้ผ่านไป เชฟก็เตรียมข้าวค่ะ ถ้าดูใน vdo จะเห็นว่าเค้าพิ๔ีพิถันเรื่องข้าวมาก ซึ่งก็น่าจะเหมือนกับเชฟซูชิทุกคน พอเค้าเตรียมเสร็จ เหมือนจะเอาไปเก็บข้างใน แต่จะแบ่งมาใช้ครั้งละนิดเดียวเท่านั้น วาซาบิก็ขูดทีละนิดๆค่ะ หมดทีขูดที ขอบอกว่าเรานั่งดูการเคลื่อนไหวของเชฟเพลินมาก เพลินเหมือนกับที่ดูใน clip เลยค่ะ เค้าจะลำดับแม่นมาก ใครมาก่อนมาหลัง ใครต้องเสิร์ฟอะไรก่อน การเคลื่อนไหวลื่นมากค่ะ ไม่มีหยุดคิดเลย
จานนี้ไม่แน่ใจเรื่องชื่อค่ะ
abalone เชฟมาวาง แล้วบอกให้ทานกับเหล้าค่ะ
สาหร่ายวากาเมะ เฉยๆค่ะ
พนง. เอาผ้าเช็ดมือวางเป็นหลังคาเล็กๆ ดูแล้วรู้เลยว่าต่อไปจะเป็นซูชิแล้วจ้า ใช้มือหยิบนะจ๊ะ ประมาณนั้น
คำแรกคือ Aji ค่ะ ขอบอกว่ามันอร่อยมากๆๆๆจริงๆ ข้าวนี่สุดยอดเลยค่ะ อร่อยเป็นพิเศษกว่าที่เคยกินมา เชฟผู้ช่วยจะเป็นคนแล่หนังออก แต่เชฟจะเป็นคนบั้งปลาเองค่ะ รอยบั้งมันทำให้อร่อยเข้าเนื้อมากๆ ชิ้นนี้น้องเราให้อันดับ 1 เลยค่ะ วันต่อมาเราไปกิน Sushi Midori ที่ชาวพันทิปน่าจะเคยอ่านรีวิวกัน เราไปกินเพื่อย้ำว่า เออ ข้าวมันอร่อยต่างกันจริงๆ
ปลาไท
หอย akagai
ปลาหมึก
กุ้ง kuruma ebi
ปลามากุโร่หมักซีอิ๊ว maguro zuke
ไข่หอยเม่น uni อันนี้เราขอบอกว่า อร่อยตายไปเลยค่ะ ร้านแพงๆในฮอกไกโดเราก็ไปทานมา อันนี้มันสุดยอดจริงๆ เชฟจะเอาไข่หอยเม่นมาเรียงๆกันก่อน แล้วค่อยป้ันข้าว แล้วโปะอันนี้อีกทีค่ะ
(อันนี้ยังไม่แน่ใจเรื่องชื่อค่ะ)
ซุปมิโสะหมูเด้ง (เราเรียกกันเอง)
โอโทโร่ อันนี้ถ้าไม่นับเรื่องข้าวที่อร่อยมากๆแล้ว เราว่าไม่ต่างจากร้านดีๆในเมืองไทยค่ะ
ปลาไหล anago อันนี้เป็นอีกอันที่เน้นว่าอร่อยเลิศเป็นพิเศษไม่เหมือนที่ทานที่อื่นค่ะ เหมือนปลาไหลละลายกระจายในปากเลยค่ะ
ไข่หวาน tamakoyagi เนื้อประมาณชีสเค้กเนียนๆเลยค่ะ อร่อยจริงๆ
เสร็จแล้วเชฟมาถามว่าอิ่มมั้ย พวกเราไม่ถึงกับอิ่มตึง แต่รู้สึกกำลังดี ก็ได้ข้าวห่อสาหร่ายมาอีก 4 ชิ้น แล้วเราก็เผ่นกันดีกว่า เกลียดคู่ที่นั่งข้างๆด้วย เมาพูดจาเสียงดังตลอดเวลา แล้วพูดกับคนอื่นว่ารำคาญพวกเราที่เสียงดัง ?!? ทั้งๆที่พวกเราเงียบมาก เพราะมัวแต่นั่งดูเชฟ เลยแอบคิดว่าเค้าจะรำคาญเสียงชัตเตอร์รึเปล่า แต่ก็ขี้เกียจจะใส่ใจไปกว่านั้นแล้วค่ะ เชฟเค้าให้ถ่ายนิ
สรุปของที่ทุกคนน่าจะอยากทราบค่ะ ค่าเสียหาย 3 คน สาเก 2 เหยือกเล็ก 55,700 เยนค่ะ คิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 17,000 บาท+ ค่ะ รับบัตรเครดิตค่ะ คุ้มทุกบาททุกสตางค์ค่ะ ขอบอกว่าเราเคยกินอาหารญี่ปุ่นที่เมืองไทยต่อหัวแพงกว่านี้มาแล้วค่ะ อันนี้คุ้มกว่าค่ะ
อ่างล้างมือ...ไมใช่อ่าง แต่สวยมากค่ะ
โดยสรุปนะคะ การไปทานซูชิ Michelin star นี่เป็นประสบการณ์ที่น่าลองมากค่ะ ถ้าใครกลัวลุงจิโร่ ขอให้เริ่มจาก Nakamura แบบเราก็ได้ค่ะ ตอนแรกเราก็เกร็ง กลัวทำไรบ้าๆบอๆ แอบซ้อมกับน้องว่ามันต้องใช้มือหยิบนะ บลาๆ ปรากฏว่าผู้หญิงที่มากับผู้ชายเมาใช้ตะเกียบคีบ เราคาดว่าเค้าทำเล็บมาเลยไม่อยากหยิบค่ะ แต่บรรยากาศของร้าน friendly มากๆ พนักงานน่ารักทุกคน นี่ผ่านมา 2 วันแล้วเรายังพูดถึงอาหารมื้อนี้กันอยู่เลย ตกลงกันว่าคราวหน้า จะไปลอง Sushi Saito สักที แล้วถ้าปีกกล้าขาแข็ง จะตะลุย Jiro ต่อค่ะ
ปิดด้วยรูปหน้าร้านค่ะ ไม่เคยรีวิวจัดเต็มขนาดนี้ ถ้าข้อมูลอันไหนผิดก็รบกวนแก้ไขด้วยนะคะ
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น