แถลงการณ์เรื่อง อรหันต์โปรโมชั่นแปลงร่างเป็นอรหอย ใครเป็นผู้ทำให้เกิดอรหันต์เณรคำ

เป็นบทแถลงการณ์ของหลวงปู่พุทธะอิสระ ที่ถ่ายทอดแก่สื่อมวลชน ในวันที่ 30 มิถุนายน 2556 เวลา 13.00 น.



เรื่อง อรหันต์โปรโมชั่นแปลงร่างเป็นอรหอย ใครเป็นผู้ทำให้เกิดอรหันต์เณรคำ

ต่อไปนี้เป็นคำพูดจากปากอรหอยที่พิมพ์จากหนังสือ เพชรน้ำหนึ่ง หน้าที่ 402 ความว่า

      “เราได้ทำให้แจ้งแล้วซึ่งความหลุดพ้น ได้ทำให้แจ้งแล้วซึ่งนิพพาน สงบจากกิเลสแล้ว สงบจากวิบากกรรมอันนี้แล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว ชาติภูมิการเวียนว่ายตายเกิดในเราไม่มีอีกต่อไป ชาติปัจจุบันนี้เป็นชาติสุดท้ายที่พอเพียงต่อการเวียนว่ายตายเกิด ภพชาติการเกิดจึงยุติแต่เพียงเท่านี้ “(จากหนังสือเพชรน้ำหนึ่ง หน้า 402)



      “และจากการปฏิบัติธรรมกรรมฐาน ปรารถนาความเพียรอย่างหนักหน่วงตลอด 7 วัน 7 คืน นับจากวันที่ 25 ธันวาคม จนถึงวันสุดท้ายได้เกิดดวงตาเห็นธรรมอันพ้นโลกตามคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในคืนวันที่ 31 ธันวาคม เวลาตี 2 เป็นคืนที่อัศจรรย์ยิ่งนัก ที่ผลแห่งการสร้างสมบุญบารมีมาหลายภพหลายชาติ มาในครั้งนี้ การทำความเพียรเกิดภาวะที่ได้ทำให้แจ้งแล้วซึ่งนิพพาน สงบจากกิเลสแล้ว สงบจากวิบากกรรมอันนี้แล้ว พรหมจรรย์ของเราอยู่จบแล้ว ชาติภูมิการเวียนว่ายตายเกิดในเราไม่มีอีกต่อไป ชาติปัจจุบันนี้ เป็นชาติสุดท้ายที่พอเพียงต่อการเวียนว่ายตายเกิด ภพชาติการเกิดจึงยุติแต่เพียงเท่านี้”



      “ค่ำคืนนั้นเป็นพระมหากรุณาธิคุณ อันสูงยิ่งแห่งบรมพระศาสดาพร้อมเหล่าอรหันตสาวกจำนวนมากมายได้เสด็จมาทางอากาศ ในนิมิตที่สามเณรวิรพลได้เห็นภาพท่านได้เสด็จมาบิณฑบาตเป็นทิวแถวยาว พระพุทธองค์เสด็จนำหน้า พระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร และเหล่าอรหันต์มากมายตลอดจนคณะธรรมสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ที่ดับขันธ์เข้าพระนิพพานไปแล้ว ต่างได้มาปรากฏ เดินมาในขบวนสามเณรวิรพลจึงได้ยกมือไหว้ พระพุทธองค์ท่านมีเมตตาแย้มโอษฐ์ที่มุมปากเล็กน้อย “นี่เธอ ขึ้นมาสะพายบาตรของเธอซิ จงมาเดินเข้าแถวต่อท้ายเราแล้วไปบิณฑบาตด้วยกัน” (ถอดมาจากหนังสือเพชรน้ำหนึ่ง หน้าที่ 103 – 104 บรรยายโดยอรหอย)

     

   เมื่อหลุดพ้นวิเศษศักสิทธิ์เห็นปานนี้ ขนาดอ้างว่าพระพุทธเจ้ามาชวนเดินบิณฑบาตร่วมแถวด้วย แล้วก็ยังมีคำสำรากอวดอุตริมนุสสธรรมที่ไม่มีในตนออกมารดหูชาวบ้านในที่ต่างๆเป็นระยะเวลายาวนานมาเป็น 10 ปี จนเป็นเหตุให้ชาวบ้านหลงเชื่อ อย่างงมงายจนไม่ลืมหูลืมตา แล้วทำไมจึงได้กระทำตนต่ำทราม ตรงกันข้ามกับที่พูดอย่างชนิดหน้ามือเป็นหลังตีน อย่างที่พฤติกรรมปรากฏออกมามากมาย และยังมีที่ไม่ปรากฏอีก เช่น การขี่สกู๊ตเตอร์ ดำน้ำงมหอย เป็นต้น จนทำให้บังเกิดความเสียหายต่อสถานะของพระอรหันต์ ซึ่งเป็นสถานะที่สูงสุดของพระพุทธศาสนา และพระธรรมคำสั่งสอนของพระศาสดา จนเป็นที่คลางแคลงสงสัยเสื่อมศรัทธาของผู้ใหม่ ผู้มีปัญญาอ่อนด้อย และผู้ไม่มีประสบการณ์ทางวิญญาณในการเข้าถึงพุทธธรรม อีกทั้งยังจะเป็นที่ดูถูกเหยียดหยามของคนนอกศาสนา ตัวอย่างเช่น การ์ตูนล้อเลียนพระสงฆ์ไทยที่ถูกเผยแพร่ออกไปทั่วโลก หลังจากมีกรณีพฤติกรรมอื้อฉาวของอรหอยปรากฏในโลกออนไลน์อย่างเสียๆหายๆ ไม่ทราบว่าพวกเจ้าคณะปกครองและมหาเถรได้มีความรู้สึกอะไรบ้างหรือเปล่า หรือพวกท่านบรรลุกันหมดแล้ว



  ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันจะไม่เกิดขึ้นเลยถ้าหากไม่มีขบวนการปั่นอรหันต์ ที่กระทำโดย ดร.สนอง วรอุไร และพวก ซึ่งพวกเขามีจุดเริ่มต้นจากการแสร้งเข้ามาพยายามช่วยเหลือกิจกรรมพระศาสนาด้วยการเผยแผ่บรรยายธรรมแก่บุคคลทั่วไปในสถานที่ต่างๆ เริ่มต้นจากเขาไปตีสนิทกับพระดังๆผู้มีชื่อเสียง ให้เป็นที่รู้จักคุ้นเคยของศิษย์ยานุศิษย์ของพระดังนั้น แล้วก็ผันตัวเองมาเป็นผู้รู้ธรรม จนเป็นที่ยอมรับของบุคคลรอบข้างพระดังองค์นั้นๆ แม้แต่ฉันเองเขาก็เคยเทียวไปเทียวมาอยู่หลายครั้ง เมื่อสร้างความคุ้นเคยเชื่อมั่นได้แล้ว ก็พยายามพูดอวดตนว่าเป็นพระอริยเจ้าระดับโสดาบัน คนผู้นี้ไม่ว่าจะไปพูดที่ไหน ก็จะพยายามพูดกรอกหูผู้อื่นว่า ตนเป็นผู้บรรลุธรรม เป็นพระโสดาบัน เป็นผู้มีญาณทัสสนวิสุทธิ เมื่อเห็นว่ามีผู้ศรัทธาได้ที่ ก็พยายามยกบุคคลผู้หนึ่งขึ้นมาเป็นผู้วิเศษ หมดกิเลส เป็นอรหันต์ คนนั้นก็คือหลวงปู่เณรคำ พูดบ่อยๆจนผู้คนกระสันอยากพบเจออรหันต์ผู้วิเศษดั่งคำโปรโมทของพระโสดาบัน และแล้วก็ถึงเวลานำตัวละครสำคัญออกมาเปิดตัว พร้อมกับเป็นโต้โผนำอรหันต์ไปโปรโมทออกเดินสายสร้างความหลงเชื่อในจังหวัดต่างๆ แล้ว ดร.สนองกับพวกจะได้อะไรช่วงนั้นก็ไม่อาจคาดเดา แต่รู้แน่นอนว่าตอนจบจะได้ขึ้นศาล



หลวงปู่เณรคำต้องอาบัติอะไร



ปาราชิก เพราะ อวดอุตริมนุสสธรรมที่ไม่มีในตน (ปาราชิกกัณฑ์ ที่ 4)

ปาจิตตีย์ เพราะ โกหก (มุสาวาทวรรค วรรคที่ 1)

ปาฏิเทสนียะ เพราะ รับและยินดีในเงินทอง(ปาฏิเทสนียะ สิกขาบทที่ 1)

ทุกกฏ เพราะ ไม่มีสมณะสารูปและโลกะวัช ทำชาวโลกติเตียน (เสขิยกัณฑ์ หมวดสารูป)



    ส่วนปาราชิกข้อที่เสพเมถุน แม้จะมีรูปนอนอยู่กับผู้หญิงยังต้องรอพิสูจน์ แต่หากมีบุคคลควรเชื่อได้มากล่าวโจทย์ด้วยอาบัติอะไร เช่น ปาราชิก สังฆาทิเสส หรือถุลลัจจัย ก็ให้ปรับอาบัตินั้น ข้อนี้อยู่ในสิกขาบทที่ว่าด้วยอนิยตกัณฑ์ สิกขาบทที่ 1 อีกทั้งยังผิดจรรยาเพราะบวชชาวบ้านโดยมิได้เป็นอุปัชฌาย์(ผิด พรบ.คณะสงฆ์ มาตรา 42 ผู้ใดมิได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์ หรือถูกถอดถอนจากความเป็นพระอุปัชฌาย์ ตามมาตรา 23 แล้ว กระทำการบรรพชาอุปสมบทแก่บุคคลอื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี) แล้วหลวงพ่อปานขาว ซึ่งมีสถานะเป็นถึงเจ้าอาวาสวัดไทยในฝรั่งเศส เป็นถึงพระครูฝ่ายวิปัสสนา เป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย ไม่รู้หรือไงถึงได้อนุญาตให้ไอ้อรหอยมันนั่งอุปัชฌาย์ได้ ท่านเป็นเจ้าพนักงานแต่ปล่อยให้ไอ้อรหอยมันสวมเขาให้ น่าอายนัก



  เช่นนี้แล้ว เจ้าคณะผู้ปกครองยังต้องรออรหอยกลับมาอีกทำไม เพราะหลักฐานมันชัดขนาดนี้ หรือว่ารอมันกลับมาจ่ายเงินงวดสุดท้าย ถวายรถอีกคัน



  เรียนท่าน คณะพระสังฆาธิการ ผู้มีหน้าที่ดูแลปกครองคณะสงฆ์ในจังหวัดศรีสะเกษทราบ เจ้าคณะภาค  เจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะตำบล พวกท่านเป็นเจ้าคณะปกครอง ออกมาให้สัมภาษณ์กล่าวอ้างว่าเข้าไปสำนักนี้บ่อยๆ ท่านไม่รู้หรือว่า สำนักนี้มันเถื่อน แถมยังทำผิดเห็นๆ โดยขึ้นป้ายหน้าสำนักว่า วัดป่าขันติธรรม เพื่อหลอกลวงชาวบ้านให้หลงเชื่อว่าเป็นวัด หรือพวกท่านรู้เห็นเป็นใจด้วย ต่อการแสดงทั้งที่เถื่อนแต่แสร้งทำถูก นี่เป็นความบกพร่องข้อที่ 1



  พวกท่านเข้าๆออกๆในสำนักเถื่อนนี้เป็นประจำ พวกท่านไม่รู้หรือไงว่าเจ้าสำนักมันมีประวัติความเป็นมาอย่างไร เวลาที่มีผู้ถามท่านจึงโยนกันไปมา แม้ขณะนี้ก็ยังไม่รู้ว่าอรหอยมันพรรษาเท่าไร จบนักธรรมชั้นไหน สังกัดวัดไหน ใครเป็นอุปัชฌาย์ ทั้งที่มันเป็นความรับผิดชอบของพวกท่าน พวกท่านเป็นเจ้าคณะปกครองตามระเบียบคณะสงฆ์ วัดต่างๆในเขตปกครองจะต้องทำบัญชีแจ้งยอดรายรับรายจ่ายประจำปี ให้แก่เจ้าคณะปกครอง พวกท่านเข้าออกสำนักนี้มาเป็นสิบปี ทำไมไม่ทวงถามถึงบัญชีรายรับรายจ่ายที่ต้องส่งตามระเบียบการปกครองคณะสงฆ์ นี่ก็ถือว่าเป็นความบกพร่องข้อที่ 2



  พวกท่านไม่เคยได้รู้ได้เห็น ได้ยิน ต่อพฤติกรรมที่ละเมิดพระธรรมวินัยเป็นอาจิณ ตั้งแต่อาบัติอย่างหนัก อาบัติอย่างกลาง และอาบัติอย่างเบาของเจ้าสำนักเถื่อนนี้เลยหรือ หรือว่าลาภสักการะมันปิดตาบังใจพวกท่านจนทำให้พวกท่านหลงลืมคำสอนของพระบรมศาสดา ว่าภิกษุเมื่อรู้เห็นเพื่อนภิกษุด้วยกันละเมิดวินัย จะด้วยเจตนาหรือไม่ ต้องกล่าวตักเตือนด้วยจิตที่หวังดีและเอ็นดู นี่เป็นข้อบกพร่องที่ 3 (หากไม่ว่ากล่าวตักเตือนจะต้องอาบัติปาจิตตีย์ สัปปาณวรรค สิกขาบทที่ 4)



  พวกท่านไม่รู้หรือไง ว่าภิกษุรับเงินทองด้วยความยินดี ต้องอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ ต้องสละของนั้นจึงจะปลงอาบัติ แล้วยังมีหน้าออกมาให้สัมภาษณ์ว่ารถที่อรหันต์ถวายเป็นชื่อของอาตมาเอง ทั้งที่ตนมีสถานะถึงเจ้าคณะภาค แล้วจะไปปกครองผู้อื่นได้หรือหากผู้ปกครองไม่รู้จักความละอาย เมื่อมีเรื่องฉาวโฉ่เสียหายต่อพระพุทธศาสนาและกระเทือนต่อศรัทธาของพุทธบริษัท แทนที่พวกท่านจะออกมาปกป้องพระพุทธศาสนา พระธรรมวินัย พวกท่านกลับออกมาให้สัมภาษณ์ปกป้องไอ้มารศาสนา อย่างเอาสีข้างเข้าถู ยกย่องลาภสักการะมากกว่าพระธรรมวินัย เงินและรถมันคงบังหูบังตาท่านอยู่ ท่านจึงได้พยายามปกป้องทั้งที่ความผิดมันชัดเจนแทนที่พวกท่านจะดำเนินตามวิถีทางการระงับอธิกรณ์ เพราะเรื่องทั้งหมดมันเป็นอนุวาทาธิกรณ์ เป็นเรื่องของศีลวิบัติ อาจารวิบัติ ทิฏฐิวิบัติ และอาชีววิบัติ เมื่อจำเลยไม่อยู่หรือไม่ยินยอมมาให้พิจารณาคดี พระบรมศาสดาก็ทรงให้ใช้ ตัสสปาปิยสิกา คือการลงโทษแก่ผู้กระทำผิด มีองค์ 5 คือ เป็นผู้ไม่บริสุทธิ์ เป็นผู้ไม่ละอาย เป็นผู้มีโจทย์ฟ้อง ให้สงฆ์ลงมติลงโทษ และลงโทษโดยหลักธรรมวินัย แล้วยังมีประกาศแถลงการณ์คณะสงฆ์ เล่มที่ 3 ตอนพิเศษ มาตรา 15 ตรี และมาตรา 27 แห่ง พรบ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 ข้อ 3 ความว่า



    (1) ในกรณีพระภิกษุรูปใดประพฤติล่วงละเมิดพระธรรมวินัยเรื่องเดียวกัน หรือหลายเรื่องเป็นอาจิณ ให้เจ้าอาวาสซึ่งภิกษุนั้นสังกัดอยู่หรือพำนักอาศัยมีอำนาจ หน้าที่ แนะนำ ชี้แจงตักเตือนให้พระภิกษุรูปนั้นประพฤติตามพระธรรมวินัยเป็นลายลักษณ์อักษรโดยกำหนดเวลาให้ปฏิบัติ หากพระภิกษุรูปนั้นไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำ ชี้แจง ตักเตือน ภายในเวลาที่กำหนด ให้เจ้าอาวาสซึ่งพระภิกษุรูปนั้นสังกัดอยู่รายงานโดยลำดับ จนถึงเจ้าคณะอำเภอเจ้าสังกัด เพื่อวินิจฉัยให้สละสมณเพศต่อไป

กระบวนการทั้งหมดนี้ พวกท่านที่เป็นเจ้าคณะปกครองได้กระทำแล้วหรือยัง หากยังก็ถือว่าพวกท่านละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ซึ่งมันจะเข้าข่าย “ผู้บังคับบัญชารูปใดไม่จัดการลงโทษผู้อยู่ในบังคับบัญชาที่ละเมิดจริยา หรือจัดการลงโทษโดยไม่สุจริตให้ถือว่า ผู้บังคับบัญชารูปนั้นละเมิดจริยา”



โทษฐานละเมิดจริยา

    ถอดถอนจากตำแหน่งหน้าที่
    ปลดจากตำแหน่งหน้าที่
    ตำหนิโทษ
    ภาคทัณฑ์

  ที่เขียนมาทั้งหมดนี้ไม่ได้มุ่งหวังว่า จะทำร้ายทำลายใคร แต่ต้องการคงรักษาไว้ ซึ่งพระสัจธรรมอันบริสุทธิ์ บริบูรณ์ มีประโยชน์ทั้งเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด หากผมไม่กระทำก็อาจเข้าข่ายได้ชื่อว่าเป็นผู้ไม่มีจิตเมตตา หวังดี เอ็นดู ก็ถือว่าผิดพระวินัยต้องอาบัติเหมือนกัน แต่ไม่ใช่เพราะผมต้องการจะรักษาตัวเอง แต่สิ่งที่ผมรักและต้องการรักษาด้วยชีวิต คือพระธรรมคำสั่งสอนของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นไม่ว่าไอ้อี และมันผู้ใด บังอาจมาทำให้พระธรรมวินัยมีมลทิน เป็นข้อกังขาต่อมหาชน ผมจะสู้กับมันแม้นชีวิตจะหาไม่ก็ตาม



พุทธะอิสระ แห่งวัดอ้อน้อย(ธรรมอิสระ)      

29 มิถุนายน 2556               

(อาตมามิใช่เจ้าอาวาสนะจ๊ะ)

จากเฟสบุค หลวงปู่พุทธอิสระ 30/6/56

แถม ลิงค์การแก้ไขปัญหา พระอธิกรณ์ของหลวงปู่ในอดีต
http://bdisara.blogspot.com/2013/06/blog-post.html
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่