ตอนแรกที่รู้จัก Nespresso ก็เพราะโฆษณาที่ George Clooney แสดง ซึ่งเป็นแอดที่ที่ให้เนสเพรสโซเกิดขึ้นมาอย่างจริงจัง
ต่อมา ไปเดินเล่นทาคาชิยาม่า สิงคโปร์ มีมุมขายเครื่องและแคปซูลของเนสเพรสโซ ได้ลองชิมและเล็งไว้แล้วว่าถูกจริต
แต่มาซื้อจากอเมริกา ซึ่งข้อเสียคือต้องใช้เครื่องแปลงไฟ แต่ใช้มา 4 ปีแล้ว เครื่องไม่มีปัญหาใดๆเลย
เครื่องต่อๆมา ซื้อจากอังกฤษ  และ สิงคโปร์ รวมแล้วคนในครอบครัวตอนนี้ใช้อยู่ 5 เครื่อง มีสำรองเผื่อเสียอีกเครื่อง


พอตอนหลังมีเพื่อนพันทิพที่อยู่ญี่ปุ่นแนะนำ Dolce Gusto ก็ว่าน่าสนใจดี
เพียงแต่ทั้ง 2 แบบยังไม่มีตัวแทนจำหน่ายในเมืองไทย เลยเลือกเนสเพรสโซดีกว่า
ไปเที่ยวที ซื้อแคปซูลกาแฟมาแบ่งกันได้ในหมู่พี่น้อง เป็นของฝากที่ใครไปเที่ยวต้องหิ้วมา
คนในครอบครัวเดินทางกันบ่อย ปัญหาเรื่องลงแดงเพราะกาแฟหมดจึงไม่มี

พอจะแยกแยะแบบบ้านๆได้ประมาณนี้นะครับ ข้อเหมือนคือความสะดวก รวดเร็ว ง่ายต่อการชง

N- ราคาเครื่องแพงกว่า เทียบราคาเริ่มต้น มีสเปคใช้ได้ในบ้านไปจนถึงเครื่องขนาดใหญ่ใช้ในสำนักงานหรือ ร้านขายกาแฟ
D-ราคาเครื่องถูกกว่า เหมาะกับการใช้ในบ้านเท่านั้น

N- แคปซูลหายากกว่า สั่งออนไลน์ก็แพง ต้องหิ้วจากนอกเท่านั้นจึงจะถูก ไปเมืองนอกก็ต้องหาบูติค
D- เนสท์เล่มาทำตลาดในไทยแล้ว แคปซูลหาง่าย ราคาก็สูงตามระเบียบ ไปเมืองนอก อย่างญี่ปุ่นใน 7/11 ก็ยังมีแคปซูลขาย

N - แคปซูลแบ่งเบลนด์ตามความเข้มของรสชาติกาแฟ มีที่มาที่ไปบอกเผื่อใครชอบโรบัสต้า อาราบิก้าก็ว่ากันไป มีเบลนด์พิเศษออกมาทุกปี
D- แคปซูลแบ่งตามชนิดของกาแฟ เช่น Espresso, Cuppuccino, Latte

N - ออกแบบมาเพื่อทำกาแฟร้อนโดยเฉพาะ ทำกาแฟเย็นต้องใช้ 2 แคปซูล
D- มีแคปซูลที่ออกแบบมาเพื่อกาแฟเย็น เช่น Cuppuccino Ice ซึ่งตัวกาแฟจะเพิ่มความเข้มมากกว่าปรกติ

N- ชงชาไม่ได้ ( แต่ถ้ากาน้ำร้อนเสีย ก็กดน้ำร้อนเปล่าๆมาชงกะชาซองพอแก้ขัดได้ครับ 555 )
D- มีแคปซูลชามารองรับคนที่ไม่ดื่มกาแฟด้วย เช่นรสพีช ชาเขียว แต่ไม่รู้ว่าในไทยเอามาขายหรือเปล่า

N- กล่องแคปซูลเล็ก สะดวกกับการขนเยอะๆ กล่องละ 10 แคปซูล
D- กล่องแคปซูลใหญ่เกะกะ ขนลำบาก ( ความเห็นส่วนตัวครับ ) ถ้าเป็นเอสเพรสโซจะมี 16 แคปซูล ชงได้ 16 ถ้วย
    แต่ถ้าเป็นกาแฟที่มีนมผสม จะมีแคปซูลกาแฟ 8 นมอีก 8 ชงได้แค่ 8 ถ้วย กล่องใหญ่และมีน้ำหนักอีกตะหาก

นึกได้ต้นๆแค่นี้ครับ ถ้านึกอะไรออกอีก จะมาเพิ่มเติมครับ