คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 5
โรคนี้ไม่ได้ติดต่อทางน้ำลาย เป็นพาหะไม่แสดงอาการ (Inactive carrier HB) ไม่ต้องกังวลมากครับ ทำใจให้สบายยิ่งเครียดยิ่งทำให้อาการแย่ลง
ตอนนี้ร่างกายคุณกับเชื้อโรคยังอยู่ร่วมกันได้ ถ้าเป็นพาหะแปลว่า Anti-Hbe เป็นบวก และ HbeAg เป็นลบ แต่ก็ยังมี HbsAg อยู่แต่อยู่ในระดับต่ำหรือจำนวนไวรัสในตับมีระดับต่ำ และ Hb DNA อยู่ในระดับต่ำเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นมันถึงไม่ค่อยแสดงอาการอะไร แต่อย่างที่บอกว่าโรคนี้เป็นภัยเงียบต้องคอยตรวจเช็คร่างกายบ่อยๆ แนะนำให้ไปหาหมอตับ โดยเริ่มจากการเช็คตับว่าโอเคไหม (ปกติพาหะมักไม่มีปัญหา) ตรวจเลือดเพื่อค่าหาการทำงานของตับ (ALT, AST) ซึ่งน่าจะอยู่ในระดับปกติเช่นกันสำหรับพาหะ และอัลตราซาวน์เพื่อตรวจดูตับว่าเริ่มมีรอยหรือเกิดพังพืดหรือยัง? และอาจตรวจด้วยเครื่อง Fibroscan เพื่อตรวจดูตับให้ละเอียดขึ้นแทนการเจาะชิ้นเนื้อตับขึ้นมา (Liver biopsy)
เมื่อก่อนถือว่าน่ากลัวเพราะไม่มีการคัดกรอง และตรวจอย่างสม่ำเสมอพอเป็นเยอะๆ จนถึงระดับตับแข็ง (Cirrhosis) แล้วถึงหาหมอซึ่งอัตราการเป็นมะเร็งตับก็สูงมากเสียแล้ว คนเมื่อก่อนเป็นไวรัสตับอักเสบบีถึงตายเยอะ ตายก่อนเวลาอันควรเพราะไม่ได้รับการรักษาตั้งแต่แรก แต่เดี๋ยวนี้ยามีประสิทธิภาพมากครับ ทำไมต้องเจอหมอทุกๆ 6 เดือน เพราะมะเร็งตับจะโตขนาด 2 ซม. ใช้เวลา 6 เดือน โตขนาดนี้ยังพอจัดการได้ โรคนี้คนเป็นเยอะมากบ้านเราเป็นพื้นที่สีแดง เป็น Genotype B & C เสียเป็นส่วนใหญ่ต่างจากฝรั่งที่เป็นแบบ A & D
ผมจะบอกว่าไม่ต้องกังวลมากก็ไม่ถูก แต่ต้องระวังให้มากๆ เพราะถือเป็นกลุ่มเสี่ยงกว่าคนอื่นแต่ไม่ใช่ทุกคนที่เป็นไวรัสตับอักเสบบีจะเป็นมะเร็งตับทุกคน ยาแถวแรกที่ใช้ปัจจุบันทั้ง Entecavir และ Tenofovir มีประสิทธิภาพสูงในการทำให้ไวรัสไม่แบ่งตัว จนถึงระดับเคลียร์ Seroconvesion หรือ Undetecable DNA หรือแบ่งตัวน้อยลง แถมดื้อยาเป็น 0 หากใช้ร่วมกับยาฉีดกลุ่ม Interferon ยิ่งทำให้ประสิทธิภาพสูงขึ้นไปอีกจนถึงระดับเกิดภูมิต้านทานขึ้นมา antibody (anti-Hbs) เลยก็มี (ถึงแม้ไม่มากนัก) พอไวรัสมันแบ่งตัวไม่ได้ คุณก็ใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติ (เพียงแต่ต้องตรวจร่างกายบ่อยๆ ทุกๆ 6 เดือน)
คุณโชคดีมากแล้วครับที่ตรวจเจอตอนนี้ บางคนดูแลตับตัวเองดีกว่าเมื่อก่อนเยอะทำให้สุขภาพตับดีกว่าบางคนเสียด้วยซ้ำ งดเหล้า บุหรี่ ของมัน ทานผักผลไม้ให้มาก และที่สำคัญทานวิตามินดี (จากงานวิจัยล่าสุดที่พบว่าสัมพันธ์กันระหว่างระดับวิตามินดี และจำนวนไวรัส, http://www.medscape.com/viewarticle/805576) ครับ
จากนิยามดังกล่าวจึงเข้าใจได้ว่ามันไม่หายแต่รักษาได้ เพราะเรายังฆ่าไวรัสไม่ได้ ตอนนี้ได้แค่ระดับ functional cure แต่ไม่ต้องห่วงครับจงมีความหวังในชีวิต ตอนนี้ไวรัสตับอักเสบซีรักษาได้แล้ว ก้าวต่อไปก็จะเป็นไวรัสตับอักเสบบี (ไวรัสตับอักเสบซีเป็นไวรัสระดับ RNA แต่บีระดับ DNA จึงทำให้จำกัดยากกว่า) ที่ผมพูดแบบนี้เพราะ ....
ยาปัจจุบันมีประสิทธิภาพ และทั่วโลกต่างต้องการพิชิตโรคนี้ที่มีคนเป็นกว่า 300 ล้านคน ตลาดยาจึงใหญ่มากคนเป็นเยอะมากดีกว่าโรคที่ไม่ค่อยเป็นกันอันนั้นความหวังในการค้นพบวิธีการรักษาคนน้อยหน่อย ยาจัดการกับโรคนี้ถูกแบ่งเป็นหลายกลุ่มช่วยกันจัดการไวรัส
อันแรก Nucleoside Analogues จัดการเรื่องการแบ่งตัว (replication) ของมันตัวแถวแรกก็ได้แก่ (1) Viread (Tenofovir) --- FDA approved 2008 (2) Tyzeka Sebivo (Europe) (Telbivudine) --- FDA approved 2006 (3) Baraclude (Entecavir) --- FDA approved 2005
กลุ่มที่สองจัดการมันที่ระดับ RNA รอฟังข่าวดีจากยาสองตัวนี้ไว้นะครับถือว่ามีประสิทธิภาพสูงมากและเริ่มทดลองในคนแล้วส่วนมากเริ่มเฟสสองแล้วคาดว่าจะวางตลาดในอีก 5 ปีข้างหน้า REP 9AC, Myrcludex B, และ ARC-520 สามตัวนี้เป็นของยุโรปหากสนใจอ่านงานวิจัยติดต่อผ่านข้อความได้ครับ
กลุ่มที่สามจัดการโดยการเพิ่มอาวุธให้ภูมิต้านทานของเราโดยตรง ตัวนี้เป็นความหวังใหม่ทั้ง GS-9620 และ DV-601 อย่างที่นักวิจัยกลุ่มนี้บอกเป็นหนทางที่ดีที่สุดและใกล้เคียงกับคำว่าหายขาดเมื่อใช้ร่วมกับสองกลุ่มข้างบน เพราะเล่นจัดการเซลตับ (hepatocyte) ที่ติดเชื้อเลยทีเดียวจึงกำจัดระดับรากเลยจริงๆ
นี่ยังไม่รวมถึงกลุ่มประเทศ ญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวัน จีนและฮ่องกงที่ต่างประกาศจะเอาชนะมันให้ได้ โดยเฉพาะไต้หวันที่ร่วมมือกับฮ่องกงประกาศจะจัดการให้ได้ภายในปี 2015 เพราะเราเริ่มเข้าใจตัวไวรัสนี้มากขึ้นแล้ว .... ถึงแม้ว่าพี่จีนเพิ่งจะล้มเหลวในการทดสอบวัคซีนสำหรับไวรัสตับอักเสบเรื้อรังในเฟสสามไป แต่เหตุผลเพราะภูมิต้านทานร่างกายรับไม่ไหว ล้า และตัว adjuvant ที่ใช้แรงเกินไป (http://www.medscape.com/viewarticle/805385)
โรคนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับภูมิต้านทานของเราเอง จะเห็นได้ว่าคนเป็นพาหะไม่มีอาการอะไรเพราะภูมิต้านทานยังเอาอยู่ การที่เป็นเรื้อรังก็เพราะติดมาตั้งแต่เกิดหรือเด็กๆ ตอนนั้นภูมิต้านทานยังไม่แข็งแรงพอที่จะรับมือกับเชื้อโรค โตขึ้นมาโอกาสติดเชื้อแล้วเป็นเรื้อรังก็ยัง 50/50 โตขึ้นมาอีกหน่อย 70/30 จนเป็นผู้ใหญ่ถ้าติดเชื้อก็จะเป็นแค่เฉียบพลันเป็นแล้วหายมีภูมิต้านทานทันทีเพราะเราสามารถกำจัดเชื้อออกจากร่างกายได้ ... ดูแลตัวเองให้มากๆ ครับ อะไรที่ดีต่อภูมิต้านทานก็ขอให้ทำ ไม่ว่าจะเป็นโภชนาการ ออกกำลังกาย หรือการพักผ่อนให้เพียงพอ
หากดูแลตัวเองดี ตรวจสุขภาพบ่อยครั้ง รอฟังข่าวดีได้เลยครับ (ถึงแม้ยังไม่มียารักษาให้หายขาดตอนนี้ Life expectancy ของ inactive carrier ก็สูงเทียบเท่าคนปกติครับ) สุดท้ายอัตราการหายโดยธรรมชาติของไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง คือ มีภูมิต้านทานขึ้นมาเองมีครับแต่ในเปอร์เซ็นต์ที่ต่ำมาก ..... ลืมบอกไปผมไม่ได้เป็นหมอนะครับ เป็นชาวบ้านธรรมดาแต่มีญาติเป็นโรคนี้อยู่เลยวางแผนกับหมอช่วยกันแลกเปลี่ยนข้อมูลเลยพอมีความรู้บ้างครับ
ติดตามความก้าวหน้าของยารักษาได้จากเวปนี้ครับ
http://www.hepb.org/professionals/hbf_drug_watch.htm
ตอนนี้ร่างกายคุณกับเชื้อโรคยังอยู่ร่วมกันได้ ถ้าเป็นพาหะแปลว่า Anti-Hbe เป็นบวก และ HbeAg เป็นลบ แต่ก็ยังมี HbsAg อยู่แต่อยู่ในระดับต่ำหรือจำนวนไวรัสในตับมีระดับต่ำ และ Hb DNA อยู่ในระดับต่ำเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นมันถึงไม่ค่อยแสดงอาการอะไร แต่อย่างที่บอกว่าโรคนี้เป็นภัยเงียบต้องคอยตรวจเช็คร่างกายบ่อยๆ แนะนำให้ไปหาหมอตับ โดยเริ่มจากการเช็คตับว่าโอเคไหม (ปกติพาหะมักไม่มีปัญหา) ตรวจเลือดเพื่อค่าหาการทำงานของตับ (ALT, AST) ซึ่งน่าจะอยู่ในระดับปกติเช่นกันสำหรับพาหะ และอัลตราซาวน์เพื่อตรวจดูตับว่าเริ่มมีรอยหรือเกิดพังพืดหรือยัง? และอาจตรวจด้วยเครื่อง Fibroscan เพื่อตรวจดูตับให้ละเอียดขึ้นแทนการเจาะชิ้นเนื้อตับขึ้นมา (Liver biopsy)
เมื่อก่อนถือว่าน่ากลัวเพราะไม่มีการคัดกรอง และตรวจอย่างสม่ำเสมอพอเป็นเยอะๆ จนถึงระดับตับแข็ง (Cirrhosis) แล้วถึงหาหมอซึ่งอัตราการเป็นมะเร็งตับก็สูงมากเสียแล้ว คนเมื่อก่อนเป็นไวรัสตับอักเสบบีถึงตายเยอะ ตายก่อนเวลาอันควรเพราะไม่ได้รับการรักษาตั้งแต่แรก แต่เดี๋ยวนี้ยามีประสิทธิภาพมากครับ ทำไมต้องเจอหมอทุกๆ 6 เดือน เพราะมะเร็งตับจะโตขนาด 2 ซม. ใช้เวลา 6 เดือน โตขนาดนี้ยังพอจัดการได้ โรคนี้คนเป็นเยอะมากบ้านเราเป็นพื้นที่สีแดง เป็น Genotype B & C เสียเป็นส่วนใหญ่ต่างจากฝรั่งที่เป็นแบบ A & D
ผมจะบอกว่าไม่ต้องกังวลมากก็ไม่ถูก แต่ต้องระวังให้มากๆ เพราะถือเป็นกลุ่มเสี่ยงกว่าคนอื่นแต่ไม่ใช่ทุกคนที่เป็นไวรัสตับอักเสบบีจะเป็นมะเร็งตับทุกคน ยาแถวแรกที่ใช้ปัจจุบันทั้ง Entecavir และ Tenofovir มีประสิทธิภาพสูงในการทำให้ไวรัสไม่แบ่งตัว จนถึงระดับเคลียร์ Seroconvesion หรือ Undetecable DNA หรือแบ่งตัวน้อยลง แถมดื้อยาเป็น 0 หากใช้ร่วมกับยาฉีดกลุ่ม Interferon ยิ่งทำให้ประสิทธิภาพสูงขึ้นไปอีกจนถึงระดับเกิดภูมิต้านทานขึ้นมา antibody (anti-Hbs) เลยก็มี (ถึงแม้ไม่มากนัก) พอไวรัสมันแบ่งตัวไม่ได้ คุณก็ใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติ (เพียงแต่ต้องตรวจร่างกายบ่อยๆ ทุกๆ 6 เดือน)
คุณโชคดีมากแล้วครับที่ตรวจเจอตอนนี้ บางคนดูแลตับตัวเองดีกว่าเมื่อก่อนเยอะทำให้สุขภาพตับดีกว่าบางคนเสียด้วยซ้ำ งดเหล้า บุหรี่ ของมัน ทานผักผลไม้ให้มาก และที่สำคัญทานวิตามินดี (จากงานวิจัยล่าสุดที่พบว่าสัมพันธ์กันระหว่างระดับวิตามินดี และจำนวนไวรัส, http://www.medscape.com/viewarticle/805576) ครับ
จากนิยามดังกล่าวจึงเข้าใจได้ว่ามันไม่หายแต่รักษาได้ เพราะเรายังฆ่าไวรัสไม่ได้ ตอนนี้ได้แค่ระดับ functional cure แต่ไม่ต้องห่วงครับจงมีความหวังในชีวิต ตอนนี้ไวรัสตับอักเสบซีรักษาได้แล้ว ก้าวต่อไปก็จะเป็นไวรัสตับอักเสบบี (ไวรัสตับอักเสบซีเป็นไวรัสระดับ RNA แต่บีระดับ DNA จึงทำให้จำกัดยากกว่า) ที่ผมพูดแบบนี้เพราะ ....
ยาปัจจุบันมีประสิทธิภาพ และทั่วโลกต่างต้องการพิชิตโรคนี้ที่มีคนเป็นกว่า 300 ล้านคน ตลาดยาจึงใหญ่มากคนเป็นเยอะมากดีกว่าโรคที่ไม่ค่อยเป็นกันอันนั้นความหวังในการค้นพบวิธีการรักษาคนน้อยหน่อย ยาจัดการกับโรคนี้ถูกแบ่งเป็นหลายกลุ่มช่วยกันจัดการไวรัส
อันแรก Nucleoside Analogues จัดการเรื่องการแบ่งตัว (replication) ของมันตัวแถวแรกก็ได้แก่ (1) Viread (Tenofovir) --- FDA approved 2008 (2) Tyzeka Sebivo (Europe) (Telbivudine) --- FDA approved 2006 (3) Baraclude (Entecavir) --- FDA approved 2005
กลุ่มที่สองจัดการมันที่ระดับ RNA รอฟังข่าวดีจากยาสองตัวนี้ไว้นะครับถือว่ามีประสิทธิภาพสูงมากและเริ่มทดลองในคนแล้วส่วนมากเริ่มเฟสสองแล้วคาดว่าจะวางตลาดในอีก 5 ปีข้างหน้า REP 9AC, Myrcludex B, และ ARC-520 สามตัวนี้เป็นของยุโรปหากสนใจอ่านงานวิจัยติดต่อผ่านข้อความได้ครับ
กลุ่มที่สามจัดการโดยการเพิ่มอาวุธให้ภูมิต้านทานของเราโดยตรง ตัวนี้เป็นความหวังใหม่ทั้ง GS-9620 และ DV-601 อย่างที่นักวิจัยกลุ่มนี้บอกเป็นหนทางที่ดีที่สุดและใกล้เคียงกับคำว่าหายขาดเมื่อใช้ร่วมกับสองกลุ่มข้างบน เพราะเล่นจัดการเซลตับ (hepatocyte) ที่ติดเชื้อเลยทีเดียวจึงกำจัดระดับรากเลยจริงๆ
นี่ยังไม่รวมถึงกลุ่มประเทศ ญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวัน จีนและฮ่องกงที่ต่างประกาศจะเอาชนะมันให้ได้ โดยเฉพาะไต้หวันที่ร่วมมือกับฮ่องกงประกาศจะจัดการให้ได้ภายในปี 2015 เพราะเราเริ่มเข้าใจตัวไวรัสนี้มากขึ้นแล้ว .... ถึงแม้ว่าพี่จีนเพิ่งจะล้มเหลวในการทดสอบวัคซีนสำหรับไวรัสตับอักเสบเรื้อรังในเฟสสามไป แต่เหตุผลเพราะภูมิต้านทานร่างกายรับไม่ไหว ล้า และตัว adjuvant ที่ใช้แรงเกินไป (http://www.medscape.com/viewarticle/805385)
โรคนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับภูมิต้านทานของเราเอง จะเห็นได้ว่าคนเป็นพาหะไม่มีอาการอะไรเพราะภูมิต้านทานยังเอาอยู่ การที่เป็นเรื้อรังก็เพราะติดมาตั้งแต่เกิดหรือเด็กๆ ตอนนั้นภูมิต้านทานยังไม่แข็งแรงพอที่จะรับมือกับเชื้อโรค โตขึ้นมาโอกาสติดเชื้อแล้วเป็นเรื้อรังก็ยัง 50/50 โตขึ้นมาอีกหน่อย 70/30 จนเป็นผู้ใหญ่ถ้าติดเชื้อก็จะเป็นแค่เฉียบพลันเป็นแล้วหายมีภูมิต้านทานทันทีเพราะเราสามารถกำจัดเชื้อออกจากร่างกายได้ ... ดูแลตัวเองให้มากๆ ครับ อะไรที่ดีต่อภูมิต้านทานก็ขอให้ทำ ไม่ว่าจะเป็นโภชนาการ ออกกำลังกาย หรือการพักผ่อนให้เพียงพอ
หากดูแลตัวเองดี ตรวจสุขภาพบ่อยครั้ง รอฟังข่าวดีได้เลยครับ (ถึงแม้ยังไม่มียารักษาให้หายขาดตอนนี้ Life expectancy ของ inactive carrier ก็สูงเทียบเท่าคนปกติครับ) สุดท้ายอัตราการหายโดยธรรมชาติของไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง คือ มีภูมิต้านทานขึ้นมาเองมีครับแต่ในเปอร์เซ็นต์ที่ต่ำมาก ..... ลืมบอกไปผมไม่ได้เป็นหมอนะครับ เป็นชาวบ้านธรรมดาแต่มีญาติเป็นโรคนี้อยู่เลยวางแผนกับหมอช่วยกันแลกเปลี่ยนข้อมูลเลยพอมีความรู้บ้างครับ
ติดตามความก้าวหน้าของยารักษาได้จากเวปนี้ครับ
http://www.hepb.org/professionals/hbf_drug_watch.htm
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 21
ผมเคยติดไวรัสตับอักเสบBจากการสัมผัสใกล้ชิดพ่อที่ป่วยเป็นโรคนี้เมื่อ25ปีก่อน ปัจจุบันท่านอายุ93ปี ไม่ได้รับการตรวจว่าเป็นพาหะหรือไม่ แต่ในบ้านใช้ช้อนกลาง ตัวผมเองถูกตรวจพบเป็นพาหะของโรคนี้ตอนที่ต้องไปให้เลือดกับพ่อที่ต้องเเข้ารับการผ่าตัดนิ่วในถุงน้ำดี ทำให้เลือดที่บริจาคให้พ่อต้องถูกทิ้งเสียเปล่า หลังจากนั้นผมก็พยายามดูแลสุขภาพตัวเองให้ดีที่สุด ด้วยการไปวิ่งออกกำลังกาย นอนครบ8ชม.กินอาหารครบ5หมู่ จนครบ1ปีต่อมา จากคนที่ไม่เคยออกกำลังกายเลย มาเป็นคนที่วิ่ง10กม.เป็นประจำ ในวันที่ครบรอบ1ปีที่ตรวจพบว่าผมเป็นพาหะ ผมกลับไปตรวจเลือดใหม่อีกครั้ง และตรวจไม่พบเชื้อไวรัสตับเสบแล้ว จนถึงปัจจุบัน ผมอายุ55ปี ได้บริจาคเลือดไปกว่า50ครั้งแล้ว ไม่มีปัญหาใดๆ ผมอยากให้กำลังใจ จขกท.ว่า โรคนี้แม้จะไม่มียารักษา แต่ถ้าเราอยากจะหายขาดจากโรคนี้ ยังมีหนทางทำได้แน่นอน นั่นคือสร้างสุขภาพร่างกายของเราให้แข็งแรงมากๆจนระบบภูมิคุ้มกันของเราทำงานแข็งแรงมาก จนสามารถกำจัดไวรัสตัวนี้ออกไปได้ด้วยตัวเราเองครับ หวังว่าประสพการณ์ของผมจะเป็นอีก1หนทางที่ทำให้ทุกท่านที่ได้อ่าน มีกำลังใจที่จะต่อสู้ให้หายขาดโรคนี้ได้ครับ
แสดงความคิดเห็น
สอบถามคนที่เป็นไวรัสตับอักเสบบีค่ะ
เครียดมากค่ะ นอนไม่หลับบ่อยๆ ไม่ได้ยิ้มมานานเท่าไหร่แล้วไม่รู้
เหนื่อยค่ะ งานดีๆก็ไม่มี ครอบครัวก็ไม่อยากมีแล้วตอนนี้ รู้สึกเป็นภาระเป็นที่รังเกียจของคนอื่น