เรื่องสั้น ป.5 รถสองแถว เงินทอน กลอนถึงเธอ

กระทู้สนทนา
"วันโกลาหล ของเด็กผู้ชายขี้อายคนนี้ และเด็กหญิงหน้าหมวยคนนั้น"

ชีวิตเด็กต่างจังหวัด ของผม มาโรงเรียน และกลับจากโรงเรียนไปบ้าน ด้วยรถสองแถว ถ้าวันไหน โชคร้าย อย่างพ่อมีงานเช้า หรือ ผมตื่นสาย เวลาของผมกับของพ่อประจวบเหมาะ ก็จะได้ติดรถพ่อไป แลกกับสายตาดูแคลนของเพื่อนๆ ที่มองผมเป็นลูกแหง่ที่มีพ่อ หรือ แม่ มาส่ง
(ลูกแหง่ ครูบอกว่า เป็นลูกควาย ลูกวัว ที่ยังไม่อดนม เป็นคำอธิบายที่ฟังดูรุนแรงเกินน่ารักจริงๆ)

แต่อะไรก็ไม่ย่ำแย่ไปว่า ต้องเสียเวลายืนฟังพ่อบอกกล่าวฝากฝังครูที่หน้าโรงเรียนให้คอยกวดขัน ผมเรื่องการเรียนและความประพฤติไปไม่ต่ำกว่า 5 นาที คุณธรรม ความดี ของผมในสายตาครู ๆ จึงไม่ค่อยเต็มปรี่เสียที ผมคิดไปแบบนั้น

"การบ้าน ไม่ค่อยเห็นทำเลยครับครู ฟังแต่เพลงสตริงบ้าบอ"

"ช่วยดูเรื่องน้ำใจ และความขี้เกียจให้ด้วยนะครับ"

"ถ้าผมยาว ผิดระเบียบ ครูตัดได้เลย ผมให้สิทธิขาดครู เต็มที่"


CR ภาพประกอบจาก www.nangyang.co.th

นี่เป็นตัวอย่างย่อๆ ที่พ่อผมจะบอกครูที่ยืนรับเด็กหน้าโรงเรียนเป็นประจำ หนำซ้ำพ่อยังเสียงดังพอที่จะทำให้ครูและนักเรียนในรัศมี 10 เมตร ตรงนั้น ได้ยินกันครบถ้วนทุกข้อความเลยเชียว อยากบอกพ่อเหลือเกินว่าผมหวงผม แล้วก็อายเป็นนะ อายเป็นมาหลายปีแล้วด้วย

ผมต้องตื่นเช้า เพื่อเดินออกไปรอรถ รอเพื่อนๆ รุ่นพี่แถวย่านบ้านเดียวกันกับผมไปโรงเรียน เมื่อรถสองแถวคันไหน ว่างๆ คนอื่นๆ จะกรูกันขึ้นไป เด็กชายร่างสันทัด ออกไปทางกระเปี๊ยกของผม ไม่เคยไปแข่งขันแย่งชิง เก้าอี้ที่นั่งว่างๆ กับใครเขา ที่สุดโปรดของผมในตอนนั้น คือ การยืนบนฝากะบะท้ายของสองแถว แนวเดียวกับที่นั่งด้านนอกท้ายสุด ที่ประจำของแม่ค้าไว้วางเข่ง วางหาบ ไปขายของในตลาด

ยืนตรงนี้ มีหลักด้วยการจับราวเหล็กให้มั่น แล้วยืดคอให้พ้นหลังคาของรถสองแถว ยื่นหน้าให้ปะทะสายลมเย็น ให้ลมเป่าผมด้านหน้าผากสั้นๆ ให้ผมตั้งเป็นกระบังไว้ ตอนนั้น เด็ก ป.5 อย่างผม คิดว่า มันเท่ห์ จับใจเหลือเกิน ผมทรงนกหัวขวาน เหมือนการประกาศ ข้ามผ่านเข้าวัยรุ่น โดยมี พี่อ๊อด บรั่นดี เป็นไอดอล

จนกระทั่งวันหนึ่ง ผมตื่นสายและพ่อก็กลับคิดว่า ผมไปโรงเรียนแล้ว เสียงสตาร์ทรถยนต์ หนีผมไป เร่งผมให้เด้งตัวขึ้นจากเตียง ผลัดผ้าแปรงฟัน ตักน้ำราดตัว ถูสบู่ ในเวลา 3 นาที ผมก็พร้อมในชุดนักเรียนแบบรวกๆ คือ เสื้อยับ อยู่ในกางเกงครึ่งเดียว กางเกงร้อยเข็มขัดลูกสือตัวเมื่อวาน หัวเปียก กระเป๋าเต็มไปด้วยหนังสือเรียนที่ไม่ได้เอาออก แถมยัดหนังสือทุกเล่มบนชั้นลงกระเป๋า เพราะ เมื่อคืนนอนดึกฟังรายการวิทยุจนหลับไปกับวิทยุเทปเล็กๆ ไม่ได้จัดตารางสอน

ผมออกวิ่งมาที่ท่ารถ  ด้วยอาการหอบตัวโยน ใจเต้นตึกตั๊ก เหงื่อเต็มรักแร้ หนักกับกระเป๋าที่เหมือนข้าวสารราวหนึ่งถัง ไม่มีทางเลือกสิ่งเดียวในหัว ตอนนั้น คือไปให้ทันเข้าแถวหน้าเสาธง ก่อนจะโดนครูฟาดก้น เพราะมาสายบวกกับคำฝากฝังของพ่อเมื่อวานซืน ผมคงโดนคิดบัญชีรวบยอดไปด้วยแน่ๆ

เช้าวันนั้น ทันทีที่รถสองแถวดัทสันช้างเหยียบคันแรกมาถึง มันแน่นเอี๊ยดไปด้วยนักเรียนเต็มคัน สีหน้าแต่ละคนเร่งเร้าให้ผมโดดขึ้นมาบนรถเสียที หรือไม่ก็ ภาวนาให้คนขับรถออกรถไปโดยด่วน ไม่มีที่ตรงไหนให้ผมแทรกเข้าไปได้เลย แม้แต่ที่ยืนบนท้ายรถด้วยขาข้างเดียวก็ตามที ก้นผมโดนฟาดแน่ๆ ถ้าผมไปกับรถคันนี้ไม่ได้ วันมหาวินาศแท้ๆ ไม่น่านอนรออัดเทปเพลงฟรีเบิร์ดจากรายการวิทยุของพี่ระย้าเลยเมื่อคืน

"ไอ้หนู มานั่งนี่" ลุงคนขับรถตะโกนเรียกผม

ผมคว้าที่จับประตู ด้านข้างคนขับเปิด ก็พบเด็กนักเรียนหญิง นั่งอยู่ก่อนหน้าแล้ว เธอขยับที่ให้ผมนั่ง

เป็นครั้งแรกที่ผมนั่งที่นั่งข้างคนขับ และก็เป็นครั้งแรกที่ได้นั่งเบียดสะโพกกับเด็กเรียนหญิงหน้าหมวยๆ เธอตัดผมม้าเน้นหน้าหมวยๆ ให้ชัดเจนยิ่งขึ้นไปอีก เธอชื่อท้อ เป็นเพื่อนของเพื่อนผมอีกที เธอเรียนชั้นเดียวกับผมแต่คนล่ะห้องกัน ผมเคยเห็นเธอบนรถสองแถวบ่อยๆ เราไม่เคยคุยกัน เงาบนกระจกหน้ารถสะท้อนใบหน้าเด็ก ป.5 ชายหญิงคู่หนึ่งนั่งเบียดกันเงียบๆ อธิษฐานขอพระ พรเจ้าอยู่ในใจให้ไปทันโรงเรียนทันทีเถอะ เราสบตากันผ่านภาพสะท้อนนั้น ผมไว้ผมหน้าม้าเหมือนเธอเปี๊ยบเลย

พอรถจอดหน้าโรงเรียน ความโกลาหลย่อยๆ ก็เริ่มต้น กลุ่มนักเรียนกรูกันลงมา บรรดาลิงค่างที่ห้อยโหนอยู้ท้ายรถกระโจนลงมาจ่ายค่ารถกับลุงคนขับ ผมและท้อ ไม่สามารถเปิดประตูลงไปได้ ทุกคนรีบเหมือนกันหมด

ท้อ ทำหน้าเหมือนจะร้องให้ เธอยกนาฬิกาข้อมือคาสิโอ ขึ้นมาดู ผมต้องมีน้ำใจเหมือนที่พ่อเคยคาดหวังไว้ ผมทำมันทันทีเพื่อตัวผมเองและเพื่อท้อ สาวผู้ร่วมชะตากรรมมากับผมราว 20 นาที

ผมดึงที่เปิดและผลักมันออกทันทีและยืนกั้นนักเรียนคนอื่นอีก 4-5 คน ที่ออเพื่อจ่ายเงินเอาไว้ให้ท้อออกมาจากที่นั่ง เธอยิ้มให้ผม เธอยัดเงินห้าบาทใส่มือผม แล้วเธอก็หันไปย่อตัวสวัสดีคุณครู ทันใดนั้น ร่างบางๆ ขาวๆ ของเธอ ก็ วิ่งวับเข้าโรงเรียนไปราวกับผุสดี แสงวิจิตร ลมกรดหญิงทีมชาติไทยก็ไม่ปาน

ผมหยิบเหรียญบาทวางประกบกับเหรียญห้าบาทของท้อ จ่ายเงินให้ลุงคนขับ ผมอุ้มกระเป๋าถังข้าวสารแนบตัว น้อมตัวเคารพครูหน้าโรงเรียนอย่างสุภาพ และวิ่งราวสุภาพ แจสุรภาพ ไป เข้าแถว อย่างเส้นยาแดงผ่าแปด ผมรอดโดนตีหวุดหวิด ตอนเคารพธงชาติ ผมมองหาท้อเพื่อจะทอนเงินค่ารถให้ แต่ เธอก็ไม่อยู่ในแถวเหมือนทุกวันที่ผมเคยเห็น วันนี้เธออยู่หน้าเสาธง เชิญธงชาติอยู่ไกลเกินที่ผมจะคืนงินเธอได้ ผมเก็บเงินสองบาทเอาไว้ในกระเป๋ากางเกง ตั้งใจเอาไปคืนเธอตอนเย็น

เหมือนโชคร้ายจะไม่หยุดคุกคามผมง่ายๆ เมื่อชั่วโมงแรก วิชาภาษาไทย ผมไม่มีการบ้านส่ง บรรเจิด เพื่อนสนิทของผมบอกว่า วันนี้ต้องส่งกลอนแปดวันสุนทรภู่ แล้วมันก็เอาของมันมาให้ผมดู กึ่งโอ้อวดคนจนแต้มอย่างผมอยู่ในที

ผมบอกบรรเจิดอย่างตรงไปตรงมา ว่า "กู ไม่ได้ทำ"

มันมองหน้าผมอย่างเห็นอกเห็นใจ ก่อนจะดึงกระดาษฟูลสแก๊ปเปล่าๆ มาให้ผมแผ่นหนึ่งแล้วบอกผมว่า

"โดนตีแน่"

แล้วไอ้บรรเจิดก็หัวเราะเหมือนเพื่อนรักที่ชักห่างเหินยังไงไม่รู้

วินาทีนั้น ใบหน้าม้าเต่อของท้อก็แว๊บขึ้นมา ผมเป็นเด็กนักเรียนชายผู้มีน้ำใจ จะต้องโดนตีในวิชาภาษาไทยให้เธอรู้ไม่ได้

ผมจะเอาหน้าที่ไหนไปทอนตังค์ให้เธอเย็นนี้ ผมต้องเขียนกลอนบทหนึ่งให้สำเร็จ ถึงครูจะเอาสองบท มีส่งดีกว่าไม่มีส่ง พ่อเคยบอกว่า เมื่ออับจน ต้องใจเย็นๆ เราจะมีทางออกเสมอ

แล้วผมก็ได้ กลอนส่งครู มันมาจากประสพการณ์อย่างแท้จริงของผม ท่อนแรกและปิดท้าย จำมาจาก ลำเนาเข้าเพลงในรายการวิทยุเมื่อคืน ท่อนกลางๆ มาจากท้อ สาวผมม้าคนนั้น

ผมภาวนาอย่าให้กลอนได้รางวัลไปติดบอร์ดกะใครเขาเลย ผมอาย

แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ มาอ่านกลอนพร้อมๆ กันครับ อ่านจบแล้วเปิดเพลงของไอดอลผมไปด้วยเลย ผมไม่โดนฟาดก้นแล้ววันนี้ สวัสดีครับ

ฉันมีดินสอ ฉันวาด  วาด
มีกระดาษ ขยำ  ขยำ
มีบทเรียน  ไม่หลาบจำ
มีความช้ำ ซ้ำซาก วน
ไม่เคยใจ ใกล้ชิด
เธอนั่งติด ใจสับสน
นี่หนอ ใจของคน
แม่หน้ามล  ฉันรอเธอ


คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่