เต๊ะ-ศตวรรษ แจงวิวาห์เงียบที่ญี่ปุ่นเพราะพ่อของฝ่ายหญิงเสียชีวิตเหมือนเป็นข้อความว่าฝากฝังให้ดูแลลูกสาว ปัดฝ่ายหญิงท้องก่อนแต่ง ย้ำยังไม่พร้อมมีลูก แต่หากมีจะลดงานที่จีนลงเพื่อดูแลครอบครัว เล็งฮันนีมูนขั้วโลกเหนือปลายปีหรือต้นปีหน้า...
ซุ่มแต่งงานเงียบๆ ที่ประเทศญี่ปุ่น พอมีภาพหลุดออกมาเลยกลายเป็นประเด็นฮือฮาไปทั่วโลกไซเบอร์สำหรับนักแสดงหนุ่ม เต๊ะ-ศตวรรษ เศรษฐกร ที่ตอนนี้โกอินเตอร์ไปทำงานที่ประเทศจีนมานานหลายปี และแฟนสาวลูกครึ่งญี่ปุ่น-ไต้หวัน-ฮ่องกง จนเป็นประเด็นเม้าท์ตามระเบียบว่าที่ซุ่มวิวาห์เงียบเป็นเพราะแฟนสาวท้องก่อนแต่ง พอได้เจอเต๊ะที่บินกลับมาเมืองไทยและมาร่วมงานแถลงข่าวเปิดตัว "Kisses Collagen" ณ ลาน Fashion Hall ชั้น 1 ศูนย์การค้าสยามพารากอน เลยให้เจ้าตัวเปิดใจถึงเรื่องการแต่งงานว่าเป็นอย่างไรบ้าง และสาวผู้โชคดีคนนี้ไปรู้จักกันได้อย่างไร
ซึ่งเต๊ะเผยว่า "ภรรยาเป็นคนญี่ปุ่น-ไต้หวัน-ฮ่องกง ครับ ผมรู้จักเขาที่ไต้หวันเมื่อ 8 ปีที่แล้ว ก็คบๆ เลิกๆ เป็นช่วงๆ ไป เมื่อ 2 ปีที่แล้วเขามีโอกาสมาเที่ยวเมืองไทย แต่ตอนนี้เที่ยวในฐานะเพื่อน ตอนนั้นพอดีคุณพ่อเขาเสียที่ต่างประเทศ เราก็อยู่ตรงนั้นเป็นคนที่คอยปลอบเขาก็เลยเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เรากลับมาคุยกันอีกครั้งหนึ่ง พอผ่านมา 2 ปีก็เลยแต่งงานกัน (ยิ้ม)" แต่งงานที่ไหน? "แต่งงานที่ญี่ปุ่นครับ แต่จดทะเบียนที่ไทยก่อน" อะไรที่ทำให้เราตัดสินใจอยากใช้ชีวิตคู่กับคนนี้? "คือเรารู้จักกันมานานทั้งในฐานะเพื่อน แฟนเก่า และอะไรต่างๆ แต่ด้วยความที่เราทำงานหลายประเทศและใจเราก็ยังไม่นิ่งด้วย ก็เลยคิดว่าตัวเองไม่พร้อม แต่พอคุณพ่อเขาเสียมันเหมือนเป็นข้อความอย่างหนึ่งว่าเขาฝากลูกสาวให้เราดูแล ก็เลยคิดว่าถ้าฟ้ากำหนดให้เขามาอยู่ใกล้เราในตอนที่เขาเจอเรื่องหนักที่สุด ผมก็คิดว่ามันคงใช่แล้วแหละ ก็เลยกลับมาคุยกันใหม่แล้วตัดสินใจแต่งงาน" เล่าถึงตอนขอแต่งและตอนจัดงานให้ฟังหน่อย? "ตอนขอแต่งบอกก่อนเลยว่าไม่มีคุกเข่าใส่แหวนเพราะเป็นช่วงที่ไว้ทุกข์ 2 ปี ที่ผ่านมาครอบครัวเขาก็ยังเศร้ากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในตอนแต่งนี่จะเป็นลักษณะของการเดินเข้าโบสถ์แล้วจะมีรูปของคุณพ่อและชุดทักซิโด้ที่เขาเตรียมไว้กะว่าวันหนึ่งลูกสาวแต่งงานจะใส่มาร่วมงาน ส่วนบรรยากาศในงานจะค่อนข้างเน้นไปทางน้ำตามากกว่าเสียงหัวเราะ ที่จัดนี่จะมีแค่ญาติๆ ของเต๊ะกับเขาที่สนิทกันแค่ 70 คน ทุกคนจะรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเขา และอะไรทำให้เต๊ะกลับมาคุยกับเขาใหม่ ดังนั้นทุกขั้นตอนในพิธีทำให้ทุกคนค่อนข้างสะเทือนใจมากกว่า"
เห็นว่ามีสื่อที่โน่นสัมภาษณ์ด้วย? "สื่อที่โน่นก็อึ้งครับ ต้องบอกก่อนว่าเต๊ะไม่ได้บอกใครเรื่องงานแต่ง แต่พอดีมันมีภาพหลุดจากเฟซบุ๊กของโปรดิวเซอร์เต๊ะที่ไปร่วมงานด้วย พอหลุดออกไปมันก็มีทั้ง 2 แบบ มีทั้งแฟนคลับที่แสดงความยินดีกับเรา แต่แฟนคลับบางคนที่งอนๆ ก็มี เราก็อธิบายว่าเกิดอะไรขึ้นเพราะบางคนไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ดีๆ แต่งงาน แต่พอเต๊ะอธิบาย เขาก็เริ่มไปอ่านบล็อกที่เขียนไว้เมื่อ 2 ปีที่แล้วที่เต๊ะเขียนถึงคุณพ่อ แต่ไม่ได้เอ่ยว่าเป็นคุณพ่อของเขา เขาก็เริ่มเข้าใจว่ามันไม่ใช่เป็นงานแต่งที่มีแต่เสียงหัวเราะ มันเป็นงานแต่งที่ทำให้เต๊ะเข้าไปในฐานะเป็นผู้ชายคนเดียวในบ้าน ไม่ใช่เป็นแค่สามีภรรยา แต่เป็นฐานะพี่ชายน้องสาวด้วย เป็นฐานะลูกชายอีกคนของคุณแม่เขาด้วย เพราะฉะนั้นการเข้ามาในครอบครัวเหมือนเป็นที่พึ่งทางใจอีกคนในครอบครัวเขา" ทำไมเราถึงปิดข่าวงานแต่ง? "ถามว่าจงใจไหมก็กึ่งจงใจนะ แต่ไม่คิดว่างานเต๊ะจะเป็นงานที่น่าสนใจดีกว่า เต๊ะว่าพิธีในงานมันเรียบง่าย และเรื่องราวตรงนี้เต๊ะอาจจะออกมาพูดกับสื่อลำบากเหมือนกัน เต๊ะกลัวว่าสื่อจะงงๆ ว่าทำไมคนหนึ่งเสียถึงต้องแต่งงาน แต่ถ้าได้ดูในรายการน้ำผึ้งพระจันทร์ก็จะพูดรายละเอียดว่าทำไมถึงตัดสินใจกลับไปคบกับเขา ทำไมเราตัดสินใจแต่งงานครับ"
ถามเรื่องแพลนฮันนีมูนหน่อย? "ตอนนี้ยังไม่มีครับ คือแต่งงานเสร็จก็กะว่าก่อนมีน้องค่อยว่ากันอีกที แต่ตัวภรรยาเต๊ะเขาอยากไปขั้วโลกเหนือ เขาอยากไปดูออโรร่า ก็คิดว่าคงเป็นที่นั่น แต่ก็คงช่วงปลายปีหรือต้นปีมากกว่า แพลนตอนนี้ยังไม่มีเพราะเต๊ะยังมีงานที่จีนอยู่ แล้วอยากให้ภรรยาพร้อมกว่านี้ในเรื่องของจิตใจและร่างกาย เพราะหลังจากคุณพ่อเขาเสียเขาก็ทั้งผอมทั้งอ้วนสลับกัน เขาก็คงเครียดในเรื่องนี้เยอะ ยังมีอีกหลายครั้งที่เวลาเราอยู่ด้วยกันแล้วเขาละเมอเหมือนยังคิดถึงคุณพ่อ บางครั้งอยู่ดีๆ เขาก็ตะโกนขึ้นมาหรือไม่ก็ร้องไห้ ผมก็อยากให้เขาปรับก่อน อย่างน้อยๆ วันนี้เราก็อยู่ในฐานะสามีภรรยาแล้วก็จะให้ฐานะนี้ค่อยๆ ปรับตัวเขาให้ดีขึ้น ให้กำลังใจเขา ให้เขาสบายใจมากขึ้น ให้เขารู้ว่าอย่างน้อยคนๆ นี้ก็กลับมาอยู่กับเขาจริงๆ และเป็นคนที่สามารถให้ที่พึ่งทางใจกับเขาได้ ก็ต้องให้เวลาเขานิดหนึ่งครับ แน่นอนว่าเราแต่งงานก็อยากมีน้อง แต่ขอเป็นปีหน้าแล้วกัน"
หลังแต่งงานก็ดูแลกันมากขึ้น? "จริงๆ เราดูแลกันตลอดครับ หลังจากคุณพ่อเขาเสียก็อยู่ที่ฮ่องกงกับญี่ปุ่นเป็นหลัก คือคุณพ่อเขาเป็นหัวหน้าครอบครัว ทุกคนก็สับสนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผมเข้าไปในฐานะลูกชายอีกคนของเขา ก็เข้าไปดูแลเรื่องความรู้สึกเพราะมันก็แย่ครับ คุณพ่อเขาเสียทั้งคนแล้วเป็นเหตุการณ์กะทันหันด้วยเพราะคุณพ่อเขาหัวใจวายก็เลยไม่มีใครเตรียมใจได้" คิดว่าจะจัดพิธีที่ไทยไหม? "น่าจะไม่ครับ เพราะเราจดทะเบียนไปแล้ว ก็คงจัดที่ญี่ปุ่นครั้งเดียวแล้วกัน วันเฉลิมฉลองก็มีครั้งเดียว อย่ามีหลายครั้งเลยเดี๋ยวงง" แล้วเราจะอยู่ไทยถึงตอนไหน? "ผมอยู่ถึงต้นเดือนครับ วันที่ 4 ไปถ่ายละครต่อที่จีน แต่ไปแค่ 20 วันก็กลับมา ส่วนผลงานที่ไทยก็อยากให้มีเพราะถ้ามีเต๊ะก็จะได้อยู่ที่ไทยมากขึ้นด้วย เพราะตอนนี้กลายเป็นว่าเต๊ะอยู่ที่จีนเป็นหลัก คุณพ่อคุณแม่เต๊ะก็แก่ตัวลง หลังจากที่คุณพ่อเขาเสียเต๊ะก็ไม่ได้เปลี่ยนแต่สถานะสามีของเขา แต่มันทำให้กลับมามองตัวเต๊ะด้วยว่าคุณพ่อคุณแม่เต๊ะก็แก่แล้ว บางทีถ้าเกิดเรามีโอกาสได้อยู่บ้านมากขึ้นผมว่าเป็นเรื่องดี ก็กลัวเพราะเห็นคุณพ่อปีนี้แก่ลงไปเยอะมาก เราจะอยู่ใกล้ๆ เขาได้นานแค่ไหน เราก็ต้องเปลี่ยนตัวเองเหมือนกัน การที่คุณพ่อแฟนเสียทำให้เต๊ะเปลี่ยนชีวิตหลายอย่างเหมือนกันครับ"
มีกระแสว่าที่เราแต่งงานเร็วเพราะฝ่ายหญิงท้องก่อนแต่ง? "อ๋อ ไม่ท้องครับ อยากให้ท้องแต่ไม่ท้องสักที (หัวเราะ) ยังครับ ขอเป็นปีหน้าแล้วกันที่จะให้เขาปล่อย ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมคนแต่งจะต้องท้อง แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดีนะ บางคู่เขาอาจจะมีน้องก่อนก็ได้ ผมคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องแปลกอยู่แล้วในสมัยนี้ ขอแค่โตเป็นผู้ใหญ่และมีความรับผิดชอบ สามารถที่จะดูแลตัวเองและครอบครัวได้ก็ไม่แปลก แต่ตอนนี้ของเต๊ะยังไม่พร้อมครับ อย่างที่บอกว่าตอนนี้ก็ทำที่จีนไปเรื่อยๆ ก่อน ถ้าเมื่อไรเริ่มมีน้องก็อาจจะลดเวลาทำงานที่จีนลงเพราะผมก็ไม่อยากให้ภรรยาท้องโตอยู่คนเดียว พยายามจะใช้เวลากับเขาให้มากที่สุดครับ" จะให้ย้ายมาอยู่ที่ไทยไหม? "ยังไม่รู้เลยครับ คิดว่าปีหน้าจะให้ภรรยาอยู่ที่ญี่ปุ่นไปก่อน ถ้าจะมีน้องก็ขอให้มีน้องที่นั่นเพราะจะได้ภาษาด้วย เพราะไม่ได้คิดว่าจะให้อยู่ที่ไทยตลอด เผื่อเขาเจ็บท้องหรือมีอาการแพ้ท้องแล้วสื่อสารกับหมอไทยไม่ได้แล้วเราก็ไม่อยู่ เราก็เป็นห่วง แต่ถ้าอยู่ญี่ปุ่นก็ยังมีคุณแม่และน้องเขาอยู่ บางทีคุณแม่เต๊ะก็อาจจะบินไปอยู่กับเขาก็ช่วยดูแลได้เหมือนกันครับ".
จาก
http://www.thairath.co.th/content/ent/353370
'เต๊ะ' แจงเหตุวิวาห์เงียบที่ญี่ปุ่น ยังไม่มีลูก-เล็งฮันนีมูนขั้วโลกเหนือ
เต๊ะ-ศตวรรษ แจงวิวาห์เงียบที่ญี่ปุ่นเพราะพ่อของฝ่ายหญิงเสียชีวิตเหมือนเป็นข้อความว่าฝากฝังให้ดูแลลูกสาว ปัดฝ่ายหญิงท้องก่อนแต่ง ย้ำยังไม่พร้อมมีลูก แต่หากมีจะลดงานที่จีนลงเพื่อดูแลครอบครัว เล็งฮันนีมูนขั้วโลกเหนือปลายปีหรือต้นปีหน้า...
ซุ่มแต่งงานเงียบๆ ที่ประเทศญี่ปุ่น พอมีภาพหลุดออกมาเลยกลายเป็นประเด็นฮือฮาไปทั่วโลกไซเบอร์สำหรับนักแสดงหนุ่ม เต๊ะ-ศตวรรษ เศรษฐกร ที่ตอนนี้โกอินเตอร์ไปทำงานที่ประเทศจีนมานานหลายปี และแฟนสาวลูกครึ่งญี่ปุ่น-ไต้หวัน-ฮ่องกง จนเป็นประเด็นเม้าท์ตามระเบียบว่าที่ซุ่มวิวาห์เงียบเป็นเพราะแฟนสาวท้องก่อนแต่ง พอได้เจอเต๊ะที่บินกลับมาเมืองไทยและมาร่วมงานแถลงข่าวเปิดตัว "Kisses Collagen" ณ ลาน Fashion Hall ชั้น 1 ศูนย์การค้าสยามพารากอน เลยให้เจ้าตัวเปิดใจถึงเรื่องการแต่งงานว่าเป็นอย่างไรบ้าง และสาวผู้โชคดีคนนี้ไปรู้จักกันได้อย่างไร
ซึ่งเต๊ะเผยว่า "ภรรยาเป็นคนญี่ปุ่น-ไต้หวัน-ฮ่องกง ครับ ผมรู้จักเขาที่ไต้หวันเมื่อ 8 ปีที่แล้ว ก็คบๆ เลิกๆ เป็นช่วงๆ ไป เมื่อ 2 ปีที่แล้วเขามีโอกาสมาเที่ยวเมืองไทย แต่ตอนนี้เที่ยวในฐานะเพื่อน ตอนนั้นพอดีคุณพ่อเขาเสียที่ต่างประเทศ เราก็อยู่ตรงนั้นเป็นคนที่คอยปลอบเขาก็เลยเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เรากลับมาคุยกันอีกครั้งหนึ่ง พอผ่านมา 2 ปีก็เลยแต่งงานกัน (ยิ้ม)" แต่งงานที่ไหน? "แต่งงานที่ญี่ปุ่นครับ แต่จดทะเบียนที่ไทยก่อน" อะไรที่ทำให้เราตัดสินใจอยากใช้ชีวิตคู่กับคนนี้? "คือเรารู้จักกันมานานทั้งในฐานะเพื่อน แฟนเก่า และอะไรต่างๆ แต่ด้วยความที่เราทำงานหลายประเทศและใจเราก็ยังไม่นิ่งด้วย ก็เลยคิดว่าตัวเองไม่พร้อม แต่พอคุณพ่อเขาเสียมันเหมือนเป็นข้อความอย่างหนึ่งว่าเขาฝากลูกสาวให้เราดูแล ก็เลยคิดว่าถ้าฟ้ากำหนดให้เขามาอยู่ใกล้เราในตอนที่เขาเจอเรื่องหนักที่สุด ผมก็คิดว่ามันคงใช่แล้วแหละ ก็เลยกลับมาคุยกันใหม่แล้วตัดสินใจแต่งงาน" เล่าถึงตอนขอแต่งและตอนจัดงานให้ฟังหน่อย? "ตอนขอแต่งบอกก่อนเลยว่าไม่มีคุกเข่าใส่แหวนเพราะเป็นช่วงที่ไว้ทุกข์ 2 ปี ที่ผ่านมาครอบครัวเขาก็ยังเศร้ากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในตอนแต่งนี่จะเป็นลักษณะของการเดินเข้าโบสถ์แล้วจะมีรูปของคุณพ่อและชุดทักซิโด้ที่เขาเตรียมไว้กะว่าวันหนึ่งลูกสาวแต่งงานจะใส่มาร่วมงาน ส่วนบรรยากาศในงานจะค่อนข้างเน้นไปทางน้ำตามากกว่าเสียงหัวเราะ ที่จัดนี่จะมีแค่ญาติๆ ของเต๊ะกับเขาที่สนิทกันแค่ 70 คน ทุกคนจะรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเขา และอะไรทำให้เต๊ะกลับมาคุยกับเขาใหม่ ดังนั้นทุกขั้นตอนในพิธีทำให้ทุกคนค่อนข้างสะเทือนใจมากกว่า"
เห็นว่ามีสื่อที่โน่นสัมภาษณ์ด้วย? "สื่อที่โน่นก็อึ้งครับ ต้องบอกก่อนว่าเต๊ะไม่ได้บอกใครเรื่องงานแต่ง แต่พอดีมันมีภาพหลุดจากเฟซบุ๊กของโปรดิวเซอร์เต๊ะที่ไปร่วมงานด้วย พอหลุดออกไปมันก็มีทั้ง 2 แบบ มีทั้งแฟนคลับที่แสดงความยินดีกับเรา แต่แฟนคลับบางคนที่งอนๆ ก็มี เราก็อธิบายว่าเกิดอะไรขึ้นเพราะบางคนไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ดีๆ แต่งงาน แต่พอเต๊ะอธิบาย เขาก็เริ่มไปอ่านบล็อกที่เขียนไว้เมื่อ 2 ปีที่แล้วที่เต๊ะเขียนถึงคุณพ่อ แต่ไม่ได้เอ่ยว่าเป็นคุณพ่อของเขา เขาก็เริ่มเข้าใจว่ามันไม่ใช่เป็นงานแต่งที่มีแต่เสียงหัวเราะ มันเป็นงานแต่งที่ทำให้เต๊ะเข้าไปในฐานะเป็นผู้ชายคนเดียวในบ้าน ไม่ใช่เป็นแค่สามีภรรยา แต่เป็นฐานะพี่ชายน้องสาวด้วย เป็นฐานะลูกชายอีกคนของคุณแม่เขาด้วย เพราะฉะนั้นการเข้ามาในครอบครัวเหมือนเป็นที่พึ่งทางใจอีกคนในครอบครัวเขา" ทำไมเราถึงปิดข่าวงานแต่ง? "ถามว่าจงใจไหมก็กึ่งจงใจนะ แต่ไม่คิดว่างานเต๊ะจะเป็นงานที่น่าสนใจดีกว่า เต๊ะว่าพิธีในงานมันเรียบง่าย และเรื่องราวตรงนี้เต๊ะอาจจะออกมาพูดกับสื่อลำบากเหมือนกัน เต๊ะกลัวว่าสื่อจะงงๆ ว่าทำไมคนหนึ่งเสียถึงต้องแต่งงาน แต่ถ้าได้ดูในรายการน้ำผึ้งพระจันทร์ก็จะพูดรายละเอียดว่าทำไมถึงตัดสินใจกลับไปคบกับเขา ทำไมเราตัดสินใจแต่งงานครับ"
ถามเรื่องแพลนฮันนีมูนหน่อย? "ตอนนี้ยังไม่มีครับ คือแต่งงานเสร็จก็กะว่าก่อนมีน้องค่อยว่ากันอีกที แต่ตัวภรรยาเต๊ะเขาอยากไปขั้วโลกเหนือ เขาอยากไปดูออโรร่า ก็คิดว่าคงเป็นที่นั่น แต่ก็คงช่วงปลายปีหรือต้นปีมากกว่า แพลนตอนนี้ยังไม่มีเพราะเต๊ะยังมีงานที่จีนอยู่ แล้วอยากให้ภรรยาพร้อมกว่านี้ในเรื่องของจิตใจและร่างกาย เพราะหลังจากคุณพ่อเขาเสียเขาก็ทั้งผอมทั้งอ้วนสลับกัน เขาก็คงเครียดในเรื่องนี้เยอะ ยังมีอีกหลายครั้งที่เวลาเราอยู่ด้วยกันแล้วเขาละเมอเหมือนยังคิดถึงคุณพ่อ บางครั้งอยู่ดีๆ เขาก็ตะโกนขึ้นมาหรือไม่ก็ร้องไห้ ผมก็อยากให้เขาปรับก่อน อย่างน้อยๆ วันนี้เราก็อยู่ในฐานะสามีภรรยาแล้วก็จะให้ฐานะนี้ค่อยๆ ปรับตัวเขาให้ดีขึ้น ให้กำลังใจเขา ให้เขาสบายใจมากขึ้น ให้เขารู้ว่าอย่างน้อยคนๆ นี้ก็กลับมาอยู่กับเขาจริงๆ และเป็นคนที่สามารถให้ที่พึ่งทางใจกับเขาได้ ก็ต้องให้เวลาเขานิดหนึ่งครับ แน่นอนว่าเราแต่งงานก็อยากมีน้อง แต่ขอเป็นปีหน้าแล้วกัน"
หลังแต่งงานก็ดูแลกันมากขึ้น? "จริงๆ เราดูแลกันตลอดครับ หลังจากคุณพ่อเขาเสียก็อยู่ที่ฮ่องกงกับญี่ปุ่นเป็นหลัก คือคุณพ่อเขาเป็นหัวหน้าครอบครัว ทุกคนก็สับสนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผมเข้าไปในฐานะลูกชายอีกคนของเขา ก็เข้าไปดูแลเรื่องความรู้สึกเพราะมันก็แย่ครับ คุณพ่อเขาเสียทั้งคนแล้วเป็นเหตุการณ์กะทันหันด้วยเพราะคุณพ่อเขาหัวใจวายก็เลยไม่มีใครเตรียมใจได้" คิดว่าจะจัดพิธีที่ไทยไหม? "น่าจะไม่ครับ เพราะเราจดทะเบียนไปแล้ว ก็คงจัดที่ญี่ปุ่นครั้งเดียวแล้วกัน วันเฉลิมฉลองก็มีครั้งเดียว อย่ามีหลายครั้งเลยเดี๋ยวงง" แล้วเราจะอยู่ไทยถึงตอนไหน? "ผมอยู่ถึงต้นเดือนครับ วันที่ 4 ไปถ่ายละครต่อที่จีน แต่ไปแค่ 20 วันก็กลับมา ส่วนผลงานที่ไทยก็อยากให้มีเพราะถ้ามีเต๊ะก็จะได้อยู่ที่ไทยมากขึ้นด้วย เพราะตอนนี้กลายเป็นว่าเต๊ะอยู่ที่จีนเป็นหลัก คุณพ่อคุณแม่เต๊ะก็แก่ตัวลง หลังจากที่คุณพ่อเขาเสียเต๊ะก็ไม่ได้เปลี่ยนแต่สถานะสามีของเขา แต่มันทำให้กลับมามองตัวเต๊ะด้วยว่าคุณพ่อคุณแม่เต๊ะก็แก่แล้ว บางทีถ้าเกิดเรามีโอกาสได้อยู่บ้านมากขึ้นผมว่าเป็นเรื่องดี ก็กลัวเพราะเห็นคุณพ่อปีนี้แก่ลงไปเยอะมาก เราจะอยู่ใกล้ๆ เขาได้นานแค่ไหน เราก็ต้องเปลี่ยนตัวเองเหมือนกัน การที่คุณพ่อแฟนเสียทำให้เต๊ะเปลี่ยนชีวิตหลายอย่างเหมือนกันครับ"
มีกระแสว่าที่เราแต่งงานเร็วเพราะฝ่ายหญิงท้องก่อนแต่ง? "อ๋อ ไม่ท้องครับ อยากให้ท้องแต่ไม่ท้องสักที (หัวเราะ) ยังครับ ขอเป็นปีหน้าแล้วกันที่จะให้เขาปล่อย ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมคนแต่งจะต้องท้อง แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดีนะ บางคู่เขาอาจจะมีน้องก่อนก็ได้ ผมคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องแปลกอยู่แล้วในสมัยนี้ ขอแค่โตเป็นผู้ใหญ่และมีความรับผิดชอบ สามารถที่จะดูแลตัวเองและครอบครัวได้ก็ไม่แปลก แต่ตอนนี้ของเต๊ะยังไม่พร้อมครับ อย่างที่บอกว่าตอนนี้ก็ทำที่จีนไปเรื่อยๆ ก่อน ถ้าเมื่อไรเริ่มมีน้องก็อาจจะลดเวลาทำงานที่จีนลงเพราะผมก็ไม่อยากให้ภรรยาท้องโตอยู่คนเดียว พยายามจะใช้เวลากับเขาให้มากที่สุดครับ" จะให้ย้ายมาอยู่ที่ไทยไหม? "ยังไม่รู้เลยครับ คิดว่าปีหน้าจะให้ภรรยาอยู่ที่ญี่ปุ่นไปก่อน ถ้าจะมีน้องก็ขอให้มีน้องที่นั่นเพราะจะได้ภาษาด้วย เพราะไม่ได้คิดว่าจะให้อยู่ที่ไทยตลอด เผื่อเขาเจ็บท้องหรือมีอาการแพ้ท้องแล้วสื่อสารกับหมอไทยไม่ได้แล้วเราก็ไม่อยู่ เราก็เป็นห่วง แต่ถ้าอยู่ญี่ปุ่นก็ยังมีคุณแม่และน้องเขาอยู่ บางทีคุณแม่เต๊ะก็อาจจะบินไปอยู่กับเขาก็ช่วยดูแลได้เหมือนกันครับ".
จาก http://www.thairath.co.th/content/ent/353370