[สาระมีอยู่จริง] อะไรคือ "เมลานิน" และ กินกันจัง ฉีดกันจัง "กลูต้าไธโอน" ขาวจริงไหม ปลอดภัยหรือเปล่า

สวัสดีค่าอีกรอบค่ะะ ชาวห้องแป้ง มาอีกละ 55555
จขกท. ชื่อ เอม น้า ปีนี้ก็ 20 แล้ว เรียกพี่เรียกน้องกันตามสบายค่ะ
ผิดพลาดประการใด บอกกันได้นะคะ พร้อมจะแก้ข้อมูลให้ถูกต้องค่ะ
ติชมได้ตามอัธยาศัยค่า






ข้อมูลทั้งหมดส่วนมากแล้วหามาจากเว็บนอกค่ะ
เนื่องจากเซิร์ดว่า "กลูต้าไธโอน" แล้วเจอแต่เว็บขายของซะอย่างนั้น =_='''l'l'
จะมีก็แต่วิกิพีเดีย/เว็บทางการแพทย์อื่นๆที่พอจะให้ข้อมูลที่"น่าเชื่อถือ"ได้
จึง(จำเป็น)ที่จะต้องใช้ข้อมูลจากเว็บนอก และพยายามเรียบเรียงให้เข้าใจง่ายที่สุดค่ะ
คิดว่าไม่น่ามีการแปลผิดพลาดตรงไหนนะคะ : )

*** และ ขอสไตล์เดิม จะพยายามหลีกเลี่ยงพวกศัพท์แปลกๆให้ได้มากสุดค่ะ ***

เชิญเสพย์ค่า...............................





สืบเนื่องจาก "กระแสความขาวด้วยกลูต้าาาาาาาาาาา"
มันมาแรงมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกจริงๆ และดูท่าว่าจะไม่หายไปง่ายๆ
"เพราะค่านิยมของคนไทยสมัยนี้ เลือกที่จะขาวไว้ก่อน"
สังเกตดูว่ามีให้เราเลือกหลายแบบมาก ตั้งแต่….
กิน > แบบเม็ด(เม็ดอ้วน เม็ดผอม เม็ดยาว สีม่วง สีฟ้า สีชมพู มีหมด!)
ดื่ม > แบบผงผสมน้ำชงดื่ม(ดื่มเช้า ดื่มเย็น ก่อนนอน ท้องว่าง ….?)
ทา > มาในรูปของการผสมกลูต้าไธโอนเข้าร่วมกับเครื่องสำอาง
ฉีด > ฮาร์ดคอที่สุดในบรรดาวิธีการรับเอากลูต้าเข้าร่างกาย นอกจากนี้อาจมีฉีด วิตามินซีหรือสารอื่นๆ ร่วมด้วย...


.
.
.
.
ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจกันก่อนว่า ทำไมสีผิวของเราจึง "เข้มขึ้น"

ร่างกายของคนเราประกอบไปด้วย "เซลล์" หลายล้านเซลล์มาประกอบกันเป็นร่างกายค่ะ
ถ้าเปรียบเทียบก็เหมือนกับ.... เวลาเราเอาดินสอลากเส้น เส้นยาวๆนั้นก็เกิดจาก​"จุด" หลายล้านจุด ประมาณนี้ค่ะ
เซลล์ที่อยู่ที่สมอง ก็เรียกเซลล์สมอง เซลล์ที่อยู่ที่ตับก็เรียกเซลล์ตับ
……..เช่นกันค่ะ เซลล์ที่อยู่ที่ "ผิวหนัง" ก็เรียก "เซลล์ผิวหนัง"

คิดว่าหลายคนคงเคยได้ยินคำว่า "เมลานิน" ใช่ไหมคะ
"เมลานิน" คือ "เม็ดสี" ที่สร้างมาจากเซลล์ผิวหนังค่ะ หรือ เป็นสารที่ทำให้มีสีผิวอ่อนหรือเข้มนั่นเองค่ะ

กระบวนการเกิดของมัน คือ….
ใต้ผิวหนังของเรา จะมีเซลล์ผิวหนังของเราที่ชื่อ "เมลาโนไซด์"
ที่ผลิต "สารเมลานิน" ไปบรรจุในแคปซูล ที่ชื่อว่า "เมลาโนโซม"
จากนั้น "เมลาไซด์" ก็จะส่งออก "เมลาโนโซม" ขึ้นมาสู่ด้านบนของผิวหนังค่ะ
จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้คนเรามีสีผิวแตกต่างกันค่ะ

ทั้งนี้ "เมลานิน" มีด้วยกัน 2 แบบ
แบบเม็ดสีเข้ม ชื่อ "ยูเมลานิน" และแบบเม็ดสีอ่อน(สีเหลืองหรือแดง) ชื่อ "ฟีโอเมลานิน"

และคนที่ผิวสีเข้มโดยส่วนมากจะมีแคปซูล "เมลาโนโซม" ขนาดใหญ่กว่าคนที่มีผิวสีอ่อนค่ะ
ทำให้มีเมลานินมากกว่าคนผิวสีอ่อน และ เมลานินถูกทำลายได้ช้ากว่า
จะเห็นได้ว่า "สารเมลานิน" มันถูกกำหนดมาตั้งแต่ "พันธุกรรม" แล้วค่ะ

แต่ก็ไม่ใช่ว่า "เมลานิน" เป็นของอันตรายต่อร่างกายนะคะ
เพราะหน้าที่ของเค้าจริงๆคือ ช่วยกรองแสง ช่วยกระจายแสง เปลี่ยน UV ให้เป็นความร้อน จับอนุมูลอิสระ
ที่สำคัญคือ "ลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนัง" อีกด้วย

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ใครหลายๆคนก็ไม่อยากมี "สารเมลานิน" เยอะ อยู่ดี …
สิ่งที่กระตุ้นให้เกิด "เมลานิน" หลักๆเลย คือ แสงแดด ค่ะ
ยิ่งแดดมาจัดๆนี่ ผิวเราก็ต้องทำการปกป้องตัวเองไว้ก่อน โดยการสร้างเมลานินขึ้นมา
สาเหตุอื่นๆ ก็อาจมาจาก สารเคมี ยาคุม ขาดวิตามิน ความเครียด หรืออย่างร้ายแรงก้โรคผิวหนังต่างๆ (ขออนุญาตไม่ลงลึก)




ต่อค่ะ...
กลับมาเข้าเรื่อง "กลูต้าไธโอน"




จริงๆแล้ว แพทย์เค้าใช้กลูต้าไธโอนเป็น "ยา" ค่ะ ไม่ใช่ "อาหารเสริม"
แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่ามันเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีมากๆตัวหนึ่ง
ซึ่งร่างกายคนเราสามารถ "สังเคราะห์ได้เอง" จากสาร 3 ตัว ต่อไปนี้ค่ะ
L-cysteine, L-glutamine และ Glycine
นอกจากนี้การรวมกลุ่มกันของ 3 ตัวด้านบนต้องมี "วิตามินซี" เป็นตัวช่วยค่ะ

ประโยชน์ของกลูต้าไธโอน หลักๆแล้วคือ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระและกำจัดโลหะหนักออกจากร่างกาย
พูดง่ายๆคือ กำจัดสารพิษออกจากร่างกาย ค่ะ
และช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน ให้ร่างกายเราต่อกรกับเชื้อแปลกปลอมที่เข้ามา
หากร่างกายขาด "กลูต้าไธโอน" ร่างกายเราจะอ่อนแอลง เพราะเกี่ยวโยงไปถึงภูมิคุ้มกันค่ะ


.
.
.
สาเหตุที่ทำให้ร่างกายสร้างกลูต้าไธโอนได้ลดลงมีเยอะะะมากๆค่ะ หลักๆเลยคือ ….
อายุที่เพิ่มมากขึ้น
การสูบบุหรี่
ดื่มแอลกอฮอล์ ของมึนเมาทั้งหลาย
คาเฟอีน
รังสี UV
ยาบางชนิด (โดยเฉพาะพาราเซตามอล)
.
.
.



จากข้อสุดท้าย … เคยมีคนพยายามจะฆ่าตัวตายด้วยการรับประทานยาพาราเซตามอลเกินขนาด ….
ผลคือ กลูต้าไธโอนในร่างกายลดลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจทำให้ตับวายและถึงแก่ชีวิตได้ (น่อววววววววว)
ดังนั้นแพทย์ที่รักษาจึงใช้กลูต้าไธโอน "ฉีด" เข้าไปในร่างกาย เพื่อรักษาอาการแบบ"เฉียบพลัน"
แต่ผลข้างเคียงคือ ... คนไข้ขาวขึ้น

นอกจากนี้ยังมีอีกหลายโรคค่ะ ที่แพทย์นำกลูต้าไธโอนไปรักษา (และผลข้างเคียงก็คือขาวขึ้น)



แหม่ะ... ตอนนี้ตาลุกวาวกันขึ้นมาแล้วใช่ไหมคะ O_O

.
.
.
แต่ขอบอกอีกครั้งว่ามันเป็น "ยา" ที่หวังผลในการรักษา ไม่ใช่ "อาหารเสริม" ที่กินเข้าไปเสริมสร้างร่างกาย
ดังนั้นหากจะใช้ควรคุยกับ "แพทย์" เฉพาะทางที่ "เชื่อถือได้" จะดีกว่านะคะ
.
.
.


ส่วนผลข้างเขียง (แหม่ะ ก็เราเอาชีวิตไปขึ้นเขียงนี่นะ) จากการฉีดกลูต้าก็ตามนี้ค่ะ
ผิวหนังแดง ความดันโลหิตต่ำ(ส่งผลให้หน้ามืด คลื่นไส้ อาเจียน เวียนหัว)
คนที่เป็นหอบหืดอยู่ จะทวีอาการหนักขึ้นไปอีกค่ะ
นอกจากนี้ยังมีสิทธิ์แพ้กลูต้าไธโอนที่ฉีดเข้าไปได้ด้วยนะ...



อย่างที่ได้บอกไปข้างต้นค่ะ ว่าบ้านเรามีวิธีบริโภคกลูต้าไธโอนหลายทางมาก
แต่ที่เห็นฮิตๆ อยู่ตอนนี้ คงจะไม่พ้น "การกินกลูต้า"

.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
เอ่อ .. ก่อนอื่นขอแสดงความเสียใจก่อนนะคะ
สำหรับคนที่หวังว่า "กิน" แล้วจะเห็นผล
เอมพยายามจะหาข้อมูลที่บอกว่า "กินแล้วได้ผล" หลายเว็บแล้ว
สุดท้ายก็เจอแต่ "กินแล้วก็สลายไปตั้งแต่อยู่ในกระเพาะ" หรือ "กินเข้าไปก็ไม่ได้อะไร เพราะลำไส้ดูดซึมกลูต้าได้ไม่ดี"



.
.
.
เว้นที่ให้ยืนไว้อาลัยกับความจริง 30 วิค่ะ ฮือ
เม่าร้องไห้เม่าร้องไห้เม่าร้องไห้
.
.
.






แต่!!! ความหวังของมนุษยชาติยังไม่หมดไปค่ะ!!!!
เรายังสามารถกินอย่างอื่น เพื่อให้มันไปกระตุ้นอัตราการสร้างกลูต้าไธโอนได้ (เย้)
ขอเริ่มจากสิ่งที่หาได้ง่ายๆ จากธรรมชาติก่อนนะคะ
เนื่องด้วยการสร้างกลูต้าของร่างกายต้องอาศัย L-cysteine, L-glutamine และ Glycine ดังที่กล่าวไว้แรกๆ (จำได้ไหมคะ)
ซึ่ง 3 ตัวนี้ล้วนแล้วแต่เป็น "กรดอะมิโน" ด้วยกันทั้งสิ้น (มันมาอีกแว้วว)
เราจึงสามารถรับได้จาก ผลิตภัณฑ์จากนม ไข่ อาหารประเภทเนื้อสัตว์ทั้งหลาย
นอกจากสารสามตัวด้านบน การจะสังเคราะห์กลูต้าไธโอนยังต้องอาศัยวิตามินซีด้วย ดังนั้นอย่าลืมกินผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงร่วมด้วยนะคะ

ถ้าใครอยากจะกินอาหารเสริม … แนะนำกินพวก L-cysteine, L-glutamine, Glycine ดีกว่าค่ะ จะได้รับประโยชน์มากกว่า
(โดยเฉพาะ L-glutamine ที่ร่างกายไม่สามารภสังเคราะห์เองได้ ต้องได้รับจากการกิน)
และอีกตัวนึงคือ Alpha Lipoic Acid หรือที่เรียกกันว่า ALA
ตัวนี้ช่วย "เสริม" การทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระอื่นๆ รวมถึงกลูต้าไธโอนค่ะ

เอ่อ … แอบเห็นบางเว็บ .. เค้าบอกว่า "เวย์โปรตีน" ก็มีส่วนช่วยนะ ……


.
.
.
.
.
.
แต่ … ถ้าเกิดใครชอบแบบ ฮาร์ดคอ คงเลือกที่จะ "ฉีด" ใช่ไหมคะ

อยากให้ทราบความเสี่ยง ไว้ตรงนี้ก่อนนะคะ …

"การฉีดกลูต้าไธโอน จะฉีดเข้าเส้นเลือดเป็นส่วนมาก (บางทีก็ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ)"
การฉีดเข้าร่างกายโดยตรง … ถ้าเกิดแพ้ขึ้นมา คงไม่ต้องบอกใช่ไหมคะ ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
(กลุ่มที่เสี่ยงส่วนมากจะเป็นคนที่แพ้โปรตีนจากนม ส่วนคนเป็นโรคหอบหืด การฉีดกลูต้าทำให้โรคทวีความรุนแรงขึ้นค่ะ)
นอกจากนี้ บางคนไม่ได้แพ้กลูต้าหรอกค่ะ แต่อาจจะแพ้"สารบางอย่าง"ที่ผสมมากับกลูต้าที่ฉีดด้วย

อย่างร้ายแรงคือ ฉีดแล้วร่างกายต่อต้าน ลาโลกไปเลยค่ะ



.
.
.
และบางคนที่ไปฉีดบอกว่า "เกิดอาการมึนๆตอนฉีด หรือ หลังฉีด"
นั่นเป็นเพราะเวลาที่เราฉีดกลูต้าเรามักฉีด "วิตามินซี" ร่วมด้วย
หากฉีด "วิตามินซี" ในปริมาณสูงและเร็วมากเข้าไป จะทำให้เกิดอาการมึนได้



ยังไม่จบค่ะ!!!!

อุปกรณ์ที่ใช้ในการฉีด …. "มั่นใจ" แค่ไหนคะ ว่าสะอาด
คนที่ฉีดให้ ….. "มั่นใจ" แค่ไหนคะ ว่าสามารถฉีดได้ถูกต้อง โดยไม่เกิดอันตราย


.
.
.
"หากไล่ฟองอากาศจากเข็มฉีดยาไม่หมด จะทำให้อากาศหลุดเข้าไปในเส้นเลือด สามารถทำให้เลือดแข็งตัว และถึงตายได้"
.
.
.


เอิ่ม … อยากสวยต้องแลกกับความเสี่ยงถึงชีวิตเชียวเหรอคะ ….

ส่วนความเสี่ยงปลีกย่อยอื่นๆ เช่น การที่เรามีกลูต้าไธโอนในร่างกายปริมาณมาก อาจทำให้กระบวนการต่างๆของร่างกายไม่สมดุลค่ะ



และปัจจุบัน "การฉีดกลูต้าไธโอนในประเทศไทยถือเป็นเรื่องผิดกฎหมาย"
ตามนั้นย์นะ :3



.
.
.
.
.
ส่วนเรื่องกลูต้าที่ผสมในเครื่องสำอาง ยังไม่มีงานวิจัยใดๆรับรองว่าได้ผลจริงค่ะ



ใกล้จบละ...
ขอฝากไว้สุดท้าย ตามเดิม ว่า

"หากจะใช้หรือกินอะไรที่มีผลต่อสุขภาพ
อยากให้หาข้อมูลกันก่อนจากแหล่งที่เชื่อถือได้ ว่าปลอดภัยกับเราจริงไหม
มีความเสี่ยงอะไรบ้าง ถ้าตกค้างในร่างกายจะเป็นอย่างไร
ไม่ใช่ฟังข้อมูลจากพ่อค้าแม่ค้า(แน่นอนว่าเค้ามีส่วนได้ส่วนเสียกับการตัดสินใจของเรา)
ทั้งนี้ไม่ได้บอกว่า เค้าโกหก ส่วนมากจะเป็น "บอกไม่หมด" เสียมากกว่า"

.
.
.
ยอมรับว่าตัวเองเคยกินกลูต้า แล้วมโนไปเองว่า ชั้นขาวขึ้นแว้วววว ความจริงตอนนั้นดูแลตัวเองดีมากกว่าค่ะ …
และยอมรับว่าอยากขาวมาก …. เพราะตัวเองถ้าคล้ำแล้วดูโทรมง่ะ …
แต่ไม่เคยรังเกียจหรือดูถูกคนที่ผิวสีเข้ม ความจริงชอบผิวแทนด้วยซ้ำ แต่อย่างที่บอก … มันไม่เข้ากับหน้า T_T

เคยแม้กระทั่ง "เกือบ" ไปฉีดแล้ว แต่ดันเป็น "โรคกลัวเข็มฉีดยา"
(เรียกได้ว่าเป็น Trypanophobia (ไทร์ฟาโนโฟเบี่ย) เลยก็ได้ กลัวเครื่องมือแพทย์อย่างรุนแรง)

สำหรับคนที่อยากขาว มีวิธีอื่นๆอีกมากค่ะ ที่เสี่ยงน้อยกว่า อันตรายน้อยกว่า
ถ้าอยากรู้ รอบหน้าเดี๋ยวค่อยมาแชร์เนอะ …


.
.
.
สุดท้าย อยากจะบอกไว้ตรงนี้ค่ะ
"คุณดูดีได้ ไม่ว่าจะมีผิวสีอะไร"
เริ่มจากมั่นใจในตัวเองก่อนค่ะ แล้วดูแลตัวเองดีๆ จิตใจดี ร่างกายแข็งแรง มันจะไปเสริมบุคลิกภาพให้คุณดูดีเอง
.
.
.



กระทู้นี้ จบแล้วค่ะ
เจอกันกระทู้หน้าเนอะ
อยากให้เขียนเรื่องอะไร ลองบอกกันดูนะคะ เผื่อจะสนใจ 5555



เพิ่มเติมจากสมาชิกท่านอื่นๆค่ะ
(ถ้าเนื้อหาในกระทู้ผิดหรือใครมีอะไรเพิ่มเติม บอกได้นะคะ)



......................
จากคุณ FORESTAR :
การกินยาพาราเกินขนาด จะทำให้เกิดสารพิษขึ้น ชื่อ NAPQI ซึ่งสารพิษตัวนี้มีพิษต่อตับมาก อาจทำให้เกิดการเสียชีวิตขึ้นได้ ,,, แต่สารพิษตัวนี้ สามารถสลายและขับออกทางปัสสาวะได้ โดยใช้ glutathione เป็นตัวช่วย ,,,

เหตุผลที่ต้องรีบฉีด glutathione เข้าทางเส้นเลือด เมื่อผู้ป่วยรับประทานยาพารา over dose เพราะ glutathione ในร่างกายมีจำกัด ซึ่งหากเกิด NAPQI มากเกินไป ก็จะไม่สามารถขับออกได้หมด ,,, ทำให้เกิด hepatic necrosis และเสียชีวิตในที่สุด ,,, แต่เมื่อได้รับการฉีด glutathione ทางเส้นเลือดแล้ว ก็จะทำให้เพิ่ม glutathione ขึ้นมาได้ทันที โดยไม่ต้องรอกระบวนการย่อยสลายค่ะ

อนึ่ง ยาพาราสามารถย่อยสลายได้โดยไม่ต้องอาศัย กลูต้าไธโอน ได้นะคะ โดยผ่านการจับกับ glucurunic acid ,sulfate และ amino acid อื่นๆได้ เพื่อให้สามารถละลายน้ำและขับออกทางปัสสาวะ ,,, ดังนั้น การกินยาพาราครั้งหนึ่งๆ อาจจะไม่จำเป็นต้องใช้ glutathione เลยก็ได้ค่ะ ไม่ต้องกังวลขนาดนั้น
......................



ขอบคุณที่อ่านจนจบค่ะ
ติดต่อพูดคุยกันได้ใน fanpage นะคะ
http://www.facebook.com/AimeTinyProgrammer
Aime โปรแกรมเมอร์ตัวเล็ก.
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่