ดูแล้วมาบอกต่อ หนังซอมบี้สึนามิโลกวินาศ World War Z [รีวิวหนังซอมบี้รุ่นใหญ่ จากคนทำหนังซอมบี้รุ่นเล็ก]



No.33

จั่วหัว : มหาวิบัติสงครามซอมบี้ เร็วเหนือสึนามิ คร่าชีวิตประชากรเป็นพันล้าน

World War Z : มหาวิบัติสงครามZ

คมนิด จี๊ดเลย : สติมา ปัญญาเกิด แต่ถ้าสติไม่มี เราก็ไม่ต่างอะไรไปจากพวกมัน(Z)

Napat's Rating : (B) , 8 /10
  


Update เรื่องหนัง ทันใจ คลิิกLIKE!! : https://www.facebook.com/Napat.Tang.Fans


- คำเตือน : นี่คือเรตติ้งและความคิดเห็นส่วนตัวหลังชมหนังของผมคนเดียวเท่านั้น ย้ำว่าส่วนตัวนะครับ บางคนเห็นตรง บางคนอาจเห็นต่าง ถือว่าเอามาแลกเปลี่ยนทัศนะกันเฉยๆ โปรดอย่าได้ถือสากับคำวิจารณ์ของผมเลยนะครับ เพราะเป็นเพียงอีกหนึ่งเสียงจากการชมหนังในฐานะคนดูหนังธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น -


จากใจ..ถึงหนังเรื่องนี้ : มันคือหนังซอมบี้แบบอภิมหาวินาศสันตะโรของแท้ ถ้าถามว่าในแง่ของการสูญเสียประชากรโลก หนังเรื่องนี้ถือว่าเต็งอันดับหนึ่งของความพินาศ ความสูญเสีย ความวุ่นวาย วายป่วงได้เลย แน่นอนว่าในเมื่อหนังมาฟอร์มโตเกรดเอแบบนี้แล้ว เราจะได้เห็นฉากใหญ่ๆที่อลังการและชวนระทึกหลายฉาก และโดยภาพรวมนั้นถือว่าเป็นหนังซอมบี้ที่ล้ำสมัยมากขึ้น ทำให้ซอมบี้กลายเป็นตัวประหลาดสุดน่ากลัวที่ต้องหนีมันอย่างเอาเป็นเอาตายจริงๆ หนังจึงดูสนุกและชวนลุ้นได้ตลอดเรื่อง ทว่าในแง่ของบทหรือความพีคนั้นก็ยังไม่ได้ถือว่าล้ำเลิศนัก แต่ก็ยังเรียกได้ว่าเป็นหนังน้ำดีของซัมเมอร์นี้อีกเรื่องได้ทีเดียว



[หลังจากนี้มีสปอยส์ เพื่อความมันส์ในการรีวิว แต่ไม่สปอยส์หนักกินไป]

ในส่วนของตัวละครแบรต พิตต์นั้นถือว่าเป็นตัวละครที่ผู้ชมสามารถเอาใจช่วยได้ตลอดเรื่อง ด้วยการเล่นฝีมือเทพแบบเฮียแบรตอยู่แล้ว บวกกับความที่จะต้องมีสติตลอดเวลา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ยังทำให้เราต้องหันมาทบทวนกับตัวเองว่า ถ้ามีเหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นจริง เราจะหาวิธีเอาตัวรอดได้อย่างไร? โชคดีที่ว่าเฮียแบรตเป็นถึงเจ้าหน้าที่ที่มีประสบการณ์ภาคสนามมาก่อน อีกทั้งยังเป็นคนของยูเอ็น จึงทำให้มีภาษีในการทำภารกิจภายในเรื่องได้มากกว่าคนอื่น แต่มันก็ไม่ได้แปลว่าจะทำให้ภารกิจสำเร็จได้ ถ้าหากไม่รู้วิธีการเอาตัวรอดด้วยสติและความเฉลียวฉลาด ว่องไว ที่เป็นคุณสมบัติที่เขาพึงมี

ในส่วนของเนื้อเรื่อง ไม่ปูพื้นอะไรมาก แต่มาให้เหวอเลย แล้วค่อยๆเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นให้คนดู นับวาเป็นวิธีที่แปลกใหม่ดี และก็ถือว่าใช้ได้อยู่ทีเดียว

ฉากที่ชอบมากๆตั้งแต่ช่วงแรก ที่วิ่งหนีซอมบี้กันในเมืองก็ทำได้ยิ่งใหญ่สมราคาคุย และทำให้เห็นความน่ากลัวของการกลายพันธุ์เป็นซอมบี้ ซึ่งใช้เวลาเพียงสิบสองวินาที เร็วที่สุดในประวัติการณ์ แม้แต่ในหนังผมที่คิดว่าเร็วแล้ว ยังใช้เวลาเป็นวันเลย

ฉากซอมบี้ที่เกาหลี เป็นฉากที่ผมลุ้นที่สุดอีกฉากในเรื่อง และเป็นฉากที่เสียดสีคนที่ชอบโทรศัพท์ผิดที่ผิดเวลาอีกด้วย โดยเฉพาะที่เห็นชัดๆคือในโรงหนัง ดูฉากนี้แล้วสะใจมาก ส่วนตัวคิดว่า มันน่าจะช่วยเคาะกระโหลกตักเตือนคนที่ไม่รักษากติกาแบบนี้ได้ดีทีเดียว แต่อีกนัยนึงถ้าอยู่ในบริบทของอีกฝ่าย เค้าคงไม่รู้เช่นกันว่าฝ่ายพระเอกกำลังเผชิญหน้ากับอะไร ก็จึงเป็นสภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ซึ่งก็ทำเอาลุ้นได้ดีมาก

อีกฉากเสียดสีที่มีชั้นเชิงอีกซีนคือ ฉากที่คนในอิสราเอลรวมตัวสวดอะไรกันสักอย่าง แล้วซอมบี้จึงกรูกันเข้ามาเต็มไปหมด น่าคิดได้ทีเดียวว่าบางที เสียงที่เราไม่ได้ตั้งใจสร้างนั้น อาจเป็นมลภาวะของส่วนรวมก็เป็นได้ และถ้าเปรียบซอมบี้เป็นเหมือนพวกคนที่ทนอะไรแบบนี้ไม่ไหวอีกต่อไป มันจึงต้องทำอะไรสักอย่าง เฉกเช่นที่เกิดขึ้นในหนังนั่นเอง ไม่รู้ว่าตีความไปเองหรือไม่ แต่สิ่งนึงที่ชอบในหนังมาร์ค ฟอสเตอร์คือ ฉากที่ชวนคิดตีความ มีSubtextนอกเหนือจากเรื่องราวปกติ จะมีให้เก็บไปคิดได้หลายฉากดี

และในฉากช่วงท้ายที่น่าจับตาอีกฉากคือฉากในห้องทดลอง ซึ่งเท่าที่ทราบคือฉากนี้ได้ถูกเพิ่มเข้ามาใหม่ในดราฟสุดท้ายหลังจากที่หนังที่เคยถ่ายเสร็จ แต่ถูกสั่งปรับบทและแก้ถ่ายซ่อมใหม่อีก60% ก็ทำได้น่าระทึกดีมาก และทำให้ขยะแขยงซอมบี้พวกนี้ได้ดีทีเดียว อีกทั้งยังต้องลุ้นกับพระเอกว่ามันจะทำอย่างไรถึงจะเอาตัวรอดมาจากตรงนั้นได้ทั้งๆที่แทบจะไร้ความหวังเลยก็ตาม

จนในช่วงจบ ก็ถือว่าจบแบบเนิบๆไป ไม่พีคอะไร ก็รู้สึกว่ามันจบแปลกๆ อาจเป็นเพราะถูกปรับบทด้วยคนเขียนคนละคน ช่วงแรกกับช่วงท้ายเลยรู้สึกโหวงเหวงต่างกันมากๆ อารมณ์โทนหนังก็ค่อนข้างต่างกัน จริงๆหนังก็มีบทสรุปที่ดีใช้ได้ เพียงคิดว่ามันยังไม่สุดเท่าที่ควรจะเป็น แต่ก็น่านับถือในความพยายาม

เพราะหนังซอมบี้ มันไม่ง่ายอยู่แล้วที่จะทำ ยิ่งอย่างผมได้ลองมาทำเองแม้ว่าจะเป็นหนังเล็กๆยังเหนื่อยแทบขาดใจ แล้วประสีประสาอะไรกับหนังใหญ่แบบนี้ ต้องเปลืองพลังงานชีวิตไปมากเพียงใด กว่าจะมีหนังออกมาให้พวกเราได้ดูกัน

ได้ยินข่าวมาตั้งแต่ปีที่แล้วว่าเรื่องนี้เจอปัญหาหลายอย่าง ตั้งแต่งบสร้างบานปลาย หนังถ่ายไม่จบ บทไม่ดี ตัดต่อห่วย จนต้องถ่ายใหม่ ถ่ายเพิ่ม เสียเงินอีก อีกทั้งนักแสดงอย่างแบรต พิตต์ กับผู้กำกับมาร์ค ฟอสเตอร์ ก็ทะเลาะกันจนมองหน้าแทบไม่ติด ต้องใช้ล่ามสื่อสารกันแทน จึงค่อนข้างเป็นห่วงโครงการนี้มากว่าจะเป็นอย่างไร แต่สุดท้าย หนังก็มาถึงฝั่งฝันของมันได้ฉายโรงให้เราดูได้แบบนี้ ก็ถือว่าคุ้มค่าตั๋วที่สละเวลาไปดูหนังงสนุกๆกับความพยายามที่ไม่สูญเปล่าของทีมงานนักแสดงทุกคนในเรื่องนี้ก็โอเคแล้วแหละนะ

นับถือในความพยายามของทุกคนแด่หนังซอมบี้ลูกพี่World War Z จากรุ่นน้องที่ทำหนังซอมบี้เหมือนกันใน THE LAST DAY


ปล.สุดท้ายนี้ ขอฝากคลิปไวรัลตัวใหม่และหนังตัวอย่างทีเซอร์ "หนังซอมบี้-ไซไฟ" ผลงานเรื่องใหม่ของผมไว้ด้วยนะคร้าบ

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ




คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ




อันนี้ตัวอย่างหนัง "World war Z" ครับ อันนี้วินาศสันตะโรจัดหนัก

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ




มีคลิปจากหนังมาให้ชมกันครับ มันส์ระทึกสุดๆ

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ






ติดตามผลงานรีวิวอื่นๆและผลงานหนังสั้นต่อได้ที่นี่ครับ

ใครชอบอ่านรีวิวหรืออยากติดตามเรื่องราวข่าวสารดีๆจากผม

ผมจะไป"แชร์"ให้ทุกท่านโดยตรงในเพจด้านล่างนี้นะคร้าบ มาLikeเยอะๆนะคร้าบ คลิกไปแล้วไม่ผิดหวังครับ!!


https://www.facebook.com/Napat.Tang.Fans

https://www.facebook.com/S.L.Studios.Ent

ขอบคุณที่ติดตามอ่านกันนะครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่