เมื่อวิไลรัมภา...คือนางเอก (๑๐)
(ขอแจ้งว่านี่เป็นกระทู้ต่อเนื่อง ท่านที่เพิ่งเข้ามาอาจงงได้)
ตอนนี้เป็นเหตุการณ์หลังจากที่วิไลรัมภากลับจากไป’วังจุฑาเทพ’ กับ ‘บ้านสุภาริญ’ มานะคะ
บ้านเกษรากับชินกร
หม่อมหลวงเกษราเดินมาที่ระเบียงชั้นล่างก็แลเห็นน้องสาวคนเล็กนั่งอยู่ตรงโต๊ะที่ประจำเวลาหลบมาทบทวนวิชาเรียน “อ้าว...มาตั้งแต่เมื่อไหร่”
ได้ยินเสียงพี่สาวทัก วิไลรัมภาก็เงยหน้าจากตำรา ล้วงหาของในกระเป๋าข้างตัวแล้วยื่นชุดเครื่องสำอางให้ “เอ้าพี่เกษ คืน ขอโทษที่ไม่ได้บอกก่อน” เจ้าตัวทำหน้าทะเล้นก่อนพูดต่อ “แต่วันหลังขอหยิบไปใหม่นะ”
เพราะรู้จักน้องสาวดี เกษราจึงเขยิบเข้ามาหยิบของที่เหลือในกระเป๋าขึ้นดู พอเห็นว่าเป็นสิ่งใดก็บ่น “ชุดใหม่ของมารตีอีกล่ะสิ เดี๋ยวเขาได้โวยบ้านแตก”
เจ้าตัวไม่ตอบว่ากระไร
“วันนี้ไปวังจุฑาเทพมาใช่มั้ย” แล้วถามต่อโดยไม่รอคำตอบ “ทำแบบนั้นทำไม รัมภา”
เสียงของเขาแทรกความทรงจำที่เจ็บปวดขึ้นมา ‘ชาตินี้ฉันจะหนี ม.ล.วิไลรัมภาพ้นไหม’
หญิงสาวเม้มปากก่อนตอบ “แกล้งคนเล่น”
“ครั้งนี้ยังไงอีกล่ะ”
“รัมภาก็หยอดว่ามีตั๋วดูโขนวันเสาร์นี้ นั่งหน้าด้านจีบเขาไปดูด้วยกัน” เธอหัวเราะชอบใจก่อนเล่าต่อ “เจอหม่อมย่าเอียดสั่งเด็ดขาดให้มารับรัมภา คุณชายพีร์เธอนั่งหน้างอเหมือนสมัยเด็ก หมดมาดนายทหารกล้าอยู่ตรงนั้นเลย”
“แล้วน้องรัมภาจะไปรึเปล่า”
“มีตั๋วจริงซะที่ไหนล่ะพี่เกษ เรื่องอะไรจะซื้อให้เปลือง เบี้ยวตามเคยอยู่แล้ว”
พี่สาวถอนใจเฮือก ค่อยๆ ปิดตำราเรียนของน้องสาวเพื่อเรียกให้ฟังสิ่งที่เธอจะพูดอย่างจริงจัง “กรณีของพี่กับคุณชายใหญ่แตกต่างกับของรัมภากับคุณชายพีร์นะ พี่กับคุณชายใหญ่มีโอกาสได้เรียนรู้จักกัน แต่ยังไงก็ไม่ได้รักกัน” หยุดอย่างลังเลถึงค่อยพูดออกไป “แต่ถ้าน้องรัมภารู้สึกอะไรกับ...”
“พี่เกษคะ...” น้องสาวร้องทัดทานเสียงอ่อน
“ก็ได้ พี่ไม่พูดก็ได้ แต่ยังไงรัมภาก็ควรให้โอกาสตัวเอง...”
มือบอบบางของพี่สาวทาบลงบนหลังมือน้อง “ให้เขาได้รู้จัก ม.ล.วิไลรัมภา เทวพรหม คนที่อยู่ต่อหน้าพี่ตอนนี้เถอะนะ” คนพูดอึกอักอีกครั้ง “เผื่อว่า...”
“ไม่ค่ะ พี่เกษ” คราวนี้พูดขัดเสียงแข็งขึ้น “มันไม่ใช่ที่ตา เพราะเขาไม่เปิดใจมองต่างหาก ถ้าวันไหนจิตใจเขาเริ่มสัมผัสรัมภาได้บ้าง ตาของพี่ชายพีร์ก็จะเห็นรัมภาคนนี้เอง”
“เรานี่น้าาา”
“อ้อ รัมภาเจอเปียโนของคุณแม่แล้วนะ” น้องสาวเฉไฉเปลี่ยนเรื่อง
เกษราถอนใจอีกเฮือก “บ้านไหนอีกล่ะ”
“รัมภาได้งานพิเศษใหม่ที่บ้านนั้นด้วย คราวนี้จะได้เล่นเปียโนของคุณแม่ทุกอาทิตย์ รัมภาปล่อยออกไปกับมือเอง...คิดถึงจะแย่”
“เราละก็ดันทุรังตามเคย คุณชินกรออกปากไม่รู้จะกี่ปีแล้ว เขาอยากช่วยเรื่องเรียนของรัมภา ถ้าครั้งนี้ยอมรับตั้งแต่แรกก็ไม่ต้องขายเปียโนไป แล้วไงล่ะ...ตัวเองก็มานั่งอาลัย”
“พี่เกษมีลูกแล้ว รัมภาไม่เบียดเบียนเอาของหลานหรอก แค่รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในวัง ค่าใช้จ่ายคุณพ่อ พี่เกษก็เต็มมือจะแย่” เธอยิ้มให้พี่สาว “อีกนิดเดียวรัมภาก็เรียนจบ”
เกษราได้แต่ส่ายหัวให้กับความหัวดื้อของน้องสาว
“เปียโนของคุณแม่ก็คงจะชิ้นสุดท้ายแล้วล่ะ เฮ้อ...ดีเหมือนกัน เวลาขายของแต่ละชิ้น รู้สึกเหมือนแบกหน้าไปขายด้วย ขายทีหน้าก็หลุดตามไปที ขายจนรู้สึกว่าหน้ารัมภาสึกเข้าไปถึงกระดูกเห็นลูกกะตาโบ๋แล้วเนี่ย” คนพูดถ่างนิ้วแหกตาใส่เป็นท่าประกอบ เห็นแล้วคนฟังต้องปล่อยหัวเราะคิกออกมา
แล้วสองสาวพี่น้องก็หัวเราะไปด้วยกัน
วิไลรัมภาหันกลับไปสนใจกับตำราเรียนต่อ เกษรามองพิศผิวใสอ่อนของน้องสาวแล้วไม่วายชอบนึกเห็นว่ายังเป็นเด็กเล็กๆ...ทว่าเด็กคนนี้มีวิธีพูดถึงความตกต่ำของชีวิตให้เป็นเรื่องตลกที่เรียกเสียงหัวเราะได้เสมอ ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าจะยอมแพ้ เจ้าตัวมีสมุดเล่มเล็กไว้จดชื่อสิ่งของที่ตัวเองขายออกจากวังเทวพรหม เรียงลงมาเฉพาะชิ้นที่เต็มไปด้วยความทรงจำอันมีค่า คอยสืบเสาะว่าชิ้นใดไปตกอยู่ที่ไหนบ้าง หลังเรียนจบจะซื้อคืนไล่จากรายชื่อข้างล่างขึ้นบน ดังนั้นเปียโนซึ่งเป็นชิ้นรักที่สุดจึงอยู่ลำดับสุดท้าย และเป็นลำดับแรกที่หมายใจจะนำกลับมาให้ได้
มีเกษราคนเดียวที่รู้ว่าน้องสาวขี้เล่นเป็นคนละเอียดอ่อนกับความทรงจำเพียงใด
“คืนนี้นอนบ้านพี่เกษนะ” วิไลรัมภาเอ่ยขึ้นมา “ขี้เกียจกลับไปฟังคุณพ่อ พอรัมภาใกล้เรียนจบยิ่งเอาเรื่องสัญญากับวังจุฑาเทพมาสุมใส่หัว”
“จ้ะ เดี๋ยวพี่จะทำอะไรอร่อยๆ ให้ทาน จะได้มีแรงดูตำรา”
รัมภารวบเอวพี่สาวมากอด “รักพี่เกษจังเลย”
หญิงสาวแนบแก้มลงกับร่างที่กอดไว้ น่าแปลกที่ร่างอรชรเนื้อตัวนุ่มอ่อนของพี่สาวกลับให้ความรู้สึกว่าแกร่งดุจกำแพงที่ปกป้องให้อุ่นใจ
เกษรายกแขนโอบน้องอย่างรับรู้ความรู้สึกได้ทันที แม้น้ำเสียงกับกิริยาจะอ้อนไม่ต่างจากเด็กๆ แต่แรงกอดรัดและน้ำหนักของข้างแก้มที่กดแนบใต้อก ฟ้องว่ารัมภามีความในใจที่ลึกซึ้งกว่าเรื่องไปเจอเปียโนหลังเก่าของมารดา ซึ่งทำให้สะเทือนใจไม่ต่างจากทุกๆ ครั้งที่ไปเจอของรักกระจัดพลัดพรายจากวังเทวพรหมไปยังที่ต่างๆ
วันนี้น้องสาวไปวังจุฑาเทพ ต้องเจอเรื่องที่ไม่ยอมถ่ายทอดตรงๆ รัมภามีวิธีบอกเล่ากับเกษราด้วยสัมผัสเช่นนี้เสมอ...ไม่ใช่คำพูด สัมผัสของสองสาวพี่น้องที่สามารถบอกเล่าจากใจถึงใจ
แล้วคนเป็นพี่สาวก็ตอบกลับเพื่อเรียกยิ้มทะเล้นจากน้อง
“จะเป็นคุณหมออยู่แล้ว ยังจะมาประจบกิน”
ห้องนอน บ้านเกษรากับชินกร
ภาพในกระจกภายใต้แสงไฟกลางคืนสะท้อนใบหน้าเกลี้ยงเกลาของหญิงสาว
ม.ล.วิไลรัมภา เทวพรหมนั่งมองตัวเองด้วยสีหน้าเรียบเฉยมาชั่วครู่แล้ว ก่อนหยิบรูปถ่ายใบหนึ่งซึ่งคั่นอยู่ในตำราเรียนออกมา ยกขึ้นทาบหน้าแล้วหันไปส่องกระจกอีกที คราวนี้ภาพที่ปรากฏคือใบหน้าชายหนุ่มผู้วางหน้าขรึมเอาจริงเอาจังในชุดนายทหารอากาศเต็มยศ
ครั้นเสียงเล็กที่ดัดห้าวให้เข้มแข็งแบบทหารหาญกังวานขึ้น ก็คล้ายว่าคนในกระจกเป็นผู้พูด “หม่อมราชวงศ์รณพีร์ จุฑาเทพ พร้อมเปิดแน่บจากวังเทวพรหมมาตั้งแต่เกิดแล้ว...ครับผม”
จากนั้นเสียงเล็กใสก็ตามมา แต่ครั้งนี้หญิงสาวพูดกับคนในกระจก “ป่านนี้นอนคิดหาทางหนีทีไล่หัวระเบิดแล้วมั้ง” เธอลดรูปถ่ายลง เปลี่ยนเป็นค้อนใส่ชายในรูปขณะค่อนว่า “ดี สมน้ำหน้า! อยากทำท่าหนีซะอย่างกับใครจะลากไปเชือด”
หญิงสาวผู้นี้...วิไลรัมภา เทวพรหม ไม่ต้องการสื่อความในใจให้ใครรู้ เธอรอวันที่ “พี่ชาย” จะอ่านหัวใจเธอออกด้วยตัวของเขาเอง
เมื่อวิไลรัมภา...คือนางเอก (๑๐)
(ขอแจ้งว่านี่เป็นกระทู้ต่อเนื่อง ท่านที่เพิ่งเข้ามาอาจงงได้)
ตอนนี้เป็นเหตุการณ์หลังจากที่วิไลรัมภากลับจากไป’วังจุฑาเทพ’ กับ ‘บ้านสุภาริญ’ มานะคะ
บ้านเกษรากับชินกร
หม่อมหลวงเกษราเดินมาที่ระเบียงชั้นล่างก็แลเห็นน้องสาวคนเล็กนั่งอยู่ตรงโต๊ะที่ประจำเวลาหลบมาทบทวนวิชาเรียน “อ้าว...มาตั้งแต่เมื่อไหร่”
ได้ยินเสียงพี่สาวทัก วิไลรัมภาก็เงยหน้าจากตำรา ล้วงหาของในกระเป๋าข้างตัวแล้วยื่นชุดเครื่องสำอางให้ “เอ้าพี่เกษ คืน ขอโทษที่ไม่ได้บอกก่อน” เจ้าตัวทำหน้าทะเล้นก่อนพูดต่อ “แต่วันหลังขอหยิบไปใหม่นะ”
เพราะรู้จักน้องสาวดี เกษราจึงเขยิบเข้ามาหยิบของที่เหลือในกระเป๋าขึ้นดู พอเห็นว่าเป็นสิ่งใดก็บ่น “ชุดใหม่ของมารตีอีกล่ะสิ เดี๋ยวเขาได้โวยบ้านแตก”
เจ้าตัวไม่ตอบว่ากระไร
“วันนี้ไปวังจุฑาเทพมาใช่มั้ย” แล้วถามต่อโดยไม่รอคำตอบ “ทำแบบนั้นทำไม รัมภา”
เสียงของเขาแทรกความทรงจำที่เจ็บปวดขึ้นมา ‘ชาตินี้ฉันจะหนี ม.ล.วิไลรัมภาพ้นไหม’
หญิงสาวเม้มปากก่อนตอบ “แกล้งคนเล่น”
“ครั้งนี้ยังไงอีกล่ะ”
“รัมภาก็หยอดว่ามีตั๋วดูโขนวันเสาร์นี้ นั่งหน้าด้านจีบเขาไปดูด้วยกัน” เธอหัวเราะชอบใจก่อนเล่าต่อ “เจอหม่อมย่าเอียดสั่งเด็ดขาดให้มารับรัมภา คุณชายพีร์เธอนั่งหน้างอเหมือนสมัยเด็ก หมดมาดนายทหารกล้าอยู่ตรงนั้นเลย”
“แล้วน้องรัมภาจะไปรึเปล่า”
“มีตั๋วจริงซะที่ไหนล่ะพี่เกษ เรื่องอะไรจะซื้อให้เปลือง เบี้ยวตามเคยอยู่แล้ว”
พี่สาวถอนใจเฮือก ค่อยๆ ปิดตำราเรียนของน้องสาวเพื่อเรียกให้ฟังสิ่งที่เธอจะพูดอย่างจริงจัง “กรณีของพี่กับคุณชายใหญ่แตกต่างกับของรัมภากับคุณชายพีร์นะ พี่กับคุณชายใหญ่มีโอกาสได้เรียนรู้จักกัน แต่ยังไงก็ไม่ได้รักกัน” หยุดอย่างลังเลถึงค่อยพูดออกไป “แต่ถ้าน้องรัมภารู้สึกอะไรกับ...”
“พี่เกษคะ...” น้องสาวร้องทัดทานเสียงอ่อน
“ก็ได้ พี่ไม่พูดก็ได้ แต่ยังไงรัมภาก็ควรให้โอกาสตัวเอง...”
มือบอบบางของพี่สาวทาบลงบนหลังมือน้อง “ให้เขาได้รู้จัก ม.ล.วิไลรัมภา เทวพรหม คนที่อยู่ต่อหน้าพี่ตอนนี้เถอะนะ” คนพูดอึกอักอีกครั้ง “เผื่อว่า...”
“ไม่ค่ะ พี่เกษ” คราวนี้พูดขัดเสียงแข็งขึ้น “มันไม่ใช่ที่ตา เพราะเขาไม่เปิดใจมองต่างหาก ถ้าวันไหนจิตใจเขาเริ่มสัมผัสรัมภาได้บ้าง ตาของพี่ชายพีร์ก็จะเห็นรัมภาคนนี้เอง”
“เรานี่น้าาา”
“อ้อ รัมภาเจอเปียโนของคุณแม่แล้วนะ” น้องสาวเฉไฉเปลี่ยนเรื่อง
เกษราถอนใจอีกเฮือก “บ้านไหนอีกล่ะ”
“รัมภาได้งานพิเศษใหม่ที่บ้านนั้นด้วย คราวนี้จะได้เล่นเปียโนของคุณแม่ทุกอาทิตย์ รัมภาปล่อยออกไปกับมือเอง...คิดถึงจะแย่”
“เราละก็ดันทุรังตามเคย คุณชินกรออกปากไม่รู้จะกี่ปีแล้ว เขาอยากช่วยเรื่องเรียนของรัมภา ถ้าครั้งนี้ยอมรับตั้งแต่แรกก็ไม่ต้องขายเปียโนไป แล้วไงล่ะ...ตัวเองก็มานั่งอาลัย”
“พี่เกษมีลูกแล้ว รัมภาไม่เบียดเบียนเอาของหลานหรอก แค่รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในวัง ค่าใช้จ่ายคุณพ่อ พี่เกษก็เต็มมือจะแย่” เธอยิ้มให้พี่สาว “อีกนิดเดียวรัมภาก็เรียนจบ”
เกษราได้แต่ส่ายหัวให้กับความหัวดื้อของน้องสาว
“เปียโนของคุณแม่ก็คงจะชิ้นสุดท้ายแล้วล่ะ เฮ้อ...ดีเหมือนกัน เวลาขายของแต่ละชิ้น รู้สึกเหมือนแบกหน้าไปขายด้วย ขายทีหน้าก็หลุดตามไปที ขายจนรู้สึกว่าหน้ารัมภาสึกเข้าไปถึงกระดูกเห็นลูกกะตาโบ๋แล้วเนี่ย” คนพูดถ่างนิ้วแหกตาใส่เป็นท่าประกอบ เห็นแล้วคนฟังต้องปล่อยหัวเราะคิกออกมา
แล้วสองสาวพี่น้องก็หัวเราะไปด้วยกัน
วิไลรัมภาหันกลับไปสนใจกับตำราเรียนต่อ เกษรามองพิศผิวใสอ่อนของน้องสาวแล้วไม่วายชอบนึกเห็นว่ายังเป็นเด็กเล็กๆ...ทว่าเด็กคนนี้มีวิธีพูดถึงความตกต่ำของชีวิตให้เป็นเรื่องตลกที่เรียกเสียงหัวเราะได้เสมอ ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าจะยอมแพ้ เจ้าตัวมีสมุดเล่มเล็กไว้จดชื่อสิ่งของที่ตัวเองขายออกจากวังเทวพรหม เรียงลงมาเฉพาะชิ้นที่เต็มไปด้วยความทรงจำอันมีค่า คอยสืบเสาะว่าชิ้นใดไปตกอยู่ที่ไหนบ้าง หลังเรียนจบจะซื้อคืนไล่จากรายชื่อข้างล่างขึ้นบน ดังนั้นเปียโนซึ่งเป็นชิ้นรักที่สุดจึงอยู่ลำดับสุดท้าย และเป็นลำดับแรกที่หมายใจจะนำกลับมาให้ได้
มีเกษราคนเดียวที่รู้ว่าน้องสาวขี้เล่นเป็นคนละเอียดอ่อนกับความทรงจำเพียงใด
“คืนนี้นอนบ้านพี่เกษนะ” วิไลรัมภาเอ่ยขึ้นมา “ขี้เกียจกลับไปฟังคุณพ่อ พอรัมภาใกล้เรียนจบยิ่งเอาเรื่องสัญญากับวังจุฑาเทพมาสุมใส่หัว”
“จ้ะ เดี๋ยวพี่จะทำอะไรอร่อยๆ ให้ทาน จะได้มีแรงดูตำรา”
รัมภารวบเอวพี่สาวมากอด “รักพี่เกษจังเลย”
หญิงสาวแนบแก้มลงกับร่างที่กอดไว้ น่าแปลกที่ร่างอรชรเนื้อตัวนุ่มอ่อนของพี่สาวกลับให้ความรู้สึกว่าแกร่งดุจกำแพงที่ปกป้องให้อุ่นใจ
เกษรายกแขนโอบน้องอย่างรับรู้ความรู้สึกได้ทันที แม้น้ำเสียงกับกิริยาจะอ้อนไม่ต่างจากเด็กๆ แต่แรงกอดรัดและน้ำหนักของข้างแก้มที่กดแนบใต้อก ฟ้องว่ารัมภามีความในใจที่ลึกซึ้งกว่าเรื่องไปเจอเปียโนหลังเก่าของมารดา ซึ่งทำให้สะเทือนใจไม่ต่างจากทุกๆ ครั้งที่ไปเจอของรักกระจัดพลัดพรายจากวังเทวพรหมไปยังที่ต่างๆ
วันนี้น้องสาวไปวังจุฑาเทพ ต้องเจอเรื่องที่ไม่ยอมถ่ายทอดตรงๆ รัมภามีวิธีบอกเล่ากับเกษราด้วยสัมผัสเช่นนี้เสมอ...ไม่ใช่คำพูด สัมผัสของสองสาวพี่น้องที่สามารถบอกเล่าจากใจถึงใจ
แล้วคนเป็นพี่สาวก็ตอบกลับเพื่อเรียกยิ้มทะเล้นจากน้อง
“จะเป็นคุณหมออยู่แล้ว ยังจะมาประจบกิน”
ห้องนอน บ้านเกษรากับชินกร
ภาพในกระจกภายใต้แสงไฟกลางคืนสะท้อนใบหน้าเกลี้ยงเกลาของหญิงสาว
ม.ล.วิไลรัมภา เทวพรหมนั่งมองตัวเองด้วยสีหน้าเรียบเฉยมาชั่วครู่แล้ว ก่อนหยิบรูปถ่ายใบหนึ่งซึ่งคั่นอยู่ในตำราเรียนออกมา ยกขึ้นทาบหน้าแล้วหันไปส่องกระจกอีกที คราวนี้ภาพที่ปรากฏคือใบหน้าชายหนุ่มผู้วางหน้าขรึมเอาจริงเอาจังในชุดนายทหารอากาศเต็มยศ
ครั้นเสียงเล็กที่ดัดห้าวให้เข้มแข็งแบบทหารหาญกังวานขึ้น ก็คล้ายว่าคนในกระจกเป็นผู้พูด “หม่อมราชวงศ์รณพีร์ จุฑาเทพ พร้อมเปิดแน่บจากวังเทวพรหมมาตั้งแต่เกิดแล้ว...ครับผม”
จากนั้นเสียงเล็กใสก็ตามมา แต่ครั้งนี้หญิงสาวพูดกับคนในกระจก “ป่านนี้นอนคิดหาทางหนีทีไล่หัวระเบิดแล้วมั้ง” เธอลดรูปถ่ายลง เปลี่ยนเป็นค้อนใส่ชายในรูปขณะค่อนว่า “ดี สมน้ำหน้า! อยากทำท่าหนีซะอย่างกับใครจะลากไปเชือด”
หญิงสาวผู้นี้...วิไลรัมภา เทวพรหม ไม่ต้องการสื่อความในใจให้ใครรู้ เธอรอวันที่ “พี่ชาย” จะอ่านหัวใจเธอออกด้วยตัวของเขาเอง