สวัสดีค่ะ รบกวนขอระบาย และขอคำปรึกษาเกี่ยวกับปัญหาชีวิตนิดนึงนะคะ มันอัดอั้นมานานแล้ว และก็คิดว่าถ้าเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ชีวิตมันจะต้องแย่กว่านี้แน่ๆ (คำเตือน: ยาวมากจริงๆ นะคะ)
เราเป็นลูกสาวคนเล็กค่ะ มีพี่สาวอีกสองคน ครอบครัวทำร้านค้าเล็กๆ ช่วยกันทำงานเองในบ้าน ญาติผู้ใหญ่เสียหมดแล้ว และญาติส่วนมากก็ไม่ได้อยู่บ้านใกล้เรือนเคียง ที่อยู่ใกล้ก็ไม่ได้สนิทกัน ครอบครัวเราเองก็ไม่ได้ผูกมิตรกับคนในละแวกบ้านมากมาย เรียกว่าสันโดษพอสมควรค่ะ ส่วนพี่สาวสองคนอายุใกล้เคียงกันค่ะ และเพราะแก่กว่าเราพอสมควร ตั้งแต่เด็กเราก็เลยมักถูกมองว่าเป็นเด็ก แล้วที่บ้านไม่ได้อนุญาตให้ออกไปเล่นข้างนอกกับเด็กในละแวกเดียวกันด้วย ประกอบกับที่บ้านไม่ค่อยมีเวลาพาออกไปเที่ยวข้างนอก พาไปเล่นกีฬาอะไรทำนองนี้ เราเลยไม่มีทักษะทางกีฬามากๆ เราเพิ่งมานั่งคิดถึงได้รู้ว่า สังคมที่เราโตมามันแคบนะ เราไม่รู้จักการปรับตัวและปรับบุคลิกตามวัยเลยซะด้วยซ้ำ บางทีก็สงสัยว่าเพราะตอนเด็กเราอยู่กับตัวเองมากไปรึเปล่า บางครั้งก็พูดจาทำตัวเป็นผู้ใหญ่มากเกินไป ใช้เวลากับตัวเองมากกว่าคุยกับคนนอกครอบครัวซะด้วยซ้ำ กับคนในครอบครัวก็มักถูกแกล้ง(ตอนนี้เข้าใจแล้วว่าแกล้งเพราะเป็นเด็ก เพราะเอ็นดู แต่มันฝังใจ ไม่รู้จะแก้ยังไงค่ะ) เราเลยยิ่งเกลียดการถูกหัวเราะ การเป็นที่โดดเด่นแบบแปลกๆ เกลียดการถูกแกล้งมากๆ เลยขาดความมั่นใจในตัวเอง ตอนเด็กๆ มีปัญหามากเวลาต้องเดินไปข้างนอกคนเดียว คือมักกังวลว่าคนรอบข้างจะมอง เดินไม่แกว่งแขนบ้าง เดินเอามือไพล่หน้าไพล่หลังบ้าง(ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้วค่ะ หลังถูกบังคับจนชิน)
ทีนี้พอโตขึ้น ญหาของเราเริ่มตั้งแต่ประถมค่ะ เรามักเป็นคนที่ถูกแกล้ง ถูกหักหลัง และถูกล้อจากพวกเพื่อนร่วมห้องที่อยู่เป็นกลุ่มใหญ่ๆ แล้วเราก็มีข้อเสียอย่างนึงคือเวลาเสียใจหรือโมโหก็จะร้องไห้เหมือนกัน แล้วก็ขี้แยซะด้วย เลยถูกแกล้งหนักมากตลอด 5 ปีที่อยู่โรงเรียนนี้ เราคงพูดจาไม่ระวังเองด้วย รู้สึกเหมือนเพื่อนเกลียดเราทั้งห้องจริงๆ มีแค่เพื่อนสนิทสองคนที่พอคุยกันได้ แต่เราก็คงเป็นของตายแหละนะ ค่ามันถึงได้น้อย แล้วก็ถูกเอาเปรียบมาตลอด...
พอขึ้นม.ต้น ก็ปรึกษาเรื่องนี้กับที่บ้าน ที่บ้านบอกว่าให้ระวังเวลาพูดหน่อย พูดให้น้อย คิดก่อนพูด พอเข้าโรงเรียนใหม่เราก็พยายามปรับตัวเต็มที่ แต่กลายเป็นเพื่อนบอกว่าเราพูดน้อย เรียบร้อยมากซะงั้น ชีวิตก็เหมือนจะดีขึ้นค่ะ มีกลุ่มเพื่อนที่ไว้ใจคุยอะไรๆ ด้วยกันได้มากขึ้น ชีวิตมีความสุขมาก กลุ่มเพื่อนก็น่ารัก ผลการเรียนก็ดี ช่วงนั้นแข่งขันกับคนอื่นและเพื่อนสนิทเป็นท็อปทรีของระดับชั้นในโรงเรียนเล็กๆ ค่ะ แต่ปัญหามันก็มาอีก เราก็ยังถูกเพื่อนร่วมชั้นที่เป็นกลุ่มใหญ่(และดูเหมือนจะมีอิทธิพล)แกล้งเหมือนเดิม คราวนี้ทำเฉยมันเหมือนยิ่งยุน่ะค่ะ โดนแกล้งแทบจะเหมือนเป็นตัวตลกแบบที่เกลียดมากที่สุดจริงๆ ซ้ำร้ายตอนม.2(ที่เราคาดว่ามาจากนิสัยเสียของลูกคนเล็กแบบเรา คือจะเห็นแก่ตัวน่ะค่ะ เรายอมรับ) คือเพื่อนที่เคยบอกว่าน่ารักนั่นแหละ พร้อมใจกันมาทิ้งเรากันทั้งกลุ่มเลย เป็นเพราะเรื่องงานที่เราเข้าใจผิดปนเห็นแก่ตัว เราก็ขอโทษไปแล้ว แต่เค้าไม่ยกโทษให้ เราก็โอเคค่ะ ยอมรับผิด แต่ชีวิตตอนนั้นเลวร้ายสิ้นดี โดนแกล้งหนักจากกลุ่มเจ้าถิ่นที่ว่านั่นไม่พอ ยังถูกเพื่อนรักเก่านี่แหละแกล้งกันสารพัด แบลกเมล์กันเสียๆ หายๆ เดี๋ยวก็มาบอกว่าเราติดสินบนอาจารย์ให้ให้คะแนนเราเยอะกว่าคนอื่นบ้างล่ะ ไม่งั้นจะได้คะแนนเยอะกว่าคนในกลุ่มเค้าที่ถนัดวิชานี้ได้ไง เอาเมล์เราไปโพสเสียๆ หายๆ บ้างล่ะ จนเกือบต้องฟ้องร้องกัน เพื่อนในห้องก็ไม่มีใครสนใจจะมาฟังคำแก้ต่างหรือความจริงจากเรา จนถึงขั้นว่าแม่เราเกือบจะแจ้งตำรวจ สิ่งที่เหลือให้เห็นชัดว่าเราไม่ได้ทำผิดคือผลการเรียน กับอาจารย์ที่ยังชอบเด็กที่เรียบร้อยและผลการเรียนอยู่ในเกณฑ์ดีมาตลอด(มีปัญหากับอาจารย์ที่ฟังความข้างเดียวของฝ่ายนั้น ถึงขั้นว่าอาจารย์เคยพูดตอกหน้าว่า "เธออย่ามาคิดว่าตัวเองเก่งมากนะ ชั้นว่าเธอมันก็แค่ขยันเท่านั้นแหละ" แต่อาจารย์เค้าลาออกไปแล้วเพราะป่วยหนัก ไม่ขอพูดถึงมากละกันค่ะ) ในชีวิตม.2 เราเหลือแค่นี้ทั้งปีจริงๆ ค่ะ เสียใจมากจนไม่อยากไว้ใจใครอีก จนขึ้น ม.3 มีนักเรียนใหม่ย้ายเข้ามา แล้วก็มีคนนึงตามเราน่ะค่ะ คงเพราะเห็นว่าเราชอบปลีกวิเวกอยู่คนเดียวล่ะมั้ง เราก็คบไป แต่ก็กันๆ ไม่ให้สนิทมากกันเกินไป แต่คนมันจะถูกนินทาไงคะ คนอื่นก็มาหาว่าเรายึดตัวเพื่อนคนนี้ไว้คนเดียวอีก ตอนหลังๆ เค้าก็เลยเริ่มสนิทกับเพื่อนที่เป็นกลุ่มนักเรียนใหม่ และเค้าก็ชวนให้เราไปเข้ากลุ่มนี้ด้วย กลุ่มนี้เค้าไม่ใช่เด็กเรียนค่ะ แต่เราไม่ได้สนิทมาก ชีวิตก็เลยโอเคขึ้น อย่างน้อยก็มีเพื่อนที่พอคุยและยิ้มให้กันได้ ไม่ทำร้ายจิตใจกันจนถึงวันที่เรียนจบม.ต้น
พอขึ้น ม.ปลาย เราไม่อยากเสี่ยงไปสอบโรงเรียนที่อาจารย์แนะนำค่ะ เลยสอบเข้าโรงเรียนระดับกลางแถวบ้าน เราตั้งใจปรับตัวและวางตัวอย่างดีมากที่สุดเท่าที่ทำได้แล้ว เราก็หาเพื่อนที่คิดว่าไว้ใจได้ น่ารัก ขยันเรียนด้วยกันได้ ปัญหาถูกแกล้งยังมีบ้าง แต่เป็นการแกล้งแบบอยากให้เราโมโหน่ะค่ะ คงเพราะเราดูเป็นคนอารมณ์เย็นมากด้วยมั้ง ไม่ค่อยโมโห เราสาบานได้เลยค่ะว่าไม่ได้ทำความผิดพลาดเรื่องเดิมๆ ซ้ำสอง เราคิดถึงจิตใจแล้วก็แคร์เพื่อนกลุ่มนี้มากจริงๆ แต่สุดท้ายก็ถูกหักหลังอีก ด้วยเรื่องที่มันดูเล็ก และเราก็ว่ามันก็เรื่องเล็ก ก็คือเรื่องผลการเรียนอีกนั่นแหละค่ะ คือโรงเรียนเก่าที่เราอยู่ตอนม.ต้น เค้าเรียนกันแข็งกว่าโรงเรียนนี้อยู่พอสมควร ทีนี้ผลการเรียนเราก็เลยไปสูสีอยู่ที่หนึ่งกับนักเรียนเก่าคนนึงมาตลอด เพื่อนในกลุ่มก็เรียนดีค่ะ ตามมาประมาณที่ 6-8 ตลอด บางคนผลการเรียนก็ไม่ดี ช่วงนั้นเพื่อนคนไหน ต่อให้ไม่ใช่คนกลุ่มเดียวกันมาขอให้เราสอนการบ้านหรืองานวิชาไหน เราช่วยเค้าหมดนะคะ ช่วยสอนจนบางทีเราปวดหัวเลยก็เคย แต่เหมือนเค้าเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะฟัง แล้วก็มาหาว่าเราไม่สอน หวงวิชา ส่วนสาเหตุหลักที่ทะเลาะกับเพื่อนกลุ่มนี้ ก็เพราะเราชอบไปสอนเค้า ไปขัดคำตอบเค้า(ซึ่งเราเข้าใจว่านี่เป็นการช่วยนะ) ชอบทำร้ายจิตใจเค้าด้วยการตอบตรงๆ ว่าทำข้อสอบได้เวลาออกจากห้องสอบ(เราเข้าใจว่าตอบความจริงแล้วตรงกับผลสอบ ยังดีกว่าบอกว่า ทำไม่ได้เลย แล้วผลสอบออกมาดีนะคะ) เราทำผิดมากเหรอ ที่เรียนดีกว่าเค้า ทั้งที่เวลาอ่านหนังสือเราก็ทุ่มเทกว่าเค้า ยอมนอนดึก ยอมตื่นเช้า ง่วงแทบตายก็อ่านหนังสือสอบให้ทันให้ได้ เรียนไม่ทันใครเราก็ทุ่มเทเต็มที่ ทำให้ดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้จริงๆ เราทำเพื่ออนาคตของเราเอง แต่คงไปรบกวนเค้ามาก เพราะดันไปเบียดคะแนนเค้าตกจากตำแหน่งท็อปที่เค้าเคยภูมิใจ เค้าก็เลยไปอัพเฟสว่าเราชอบว่าพวกเค้าโง่ ดูถูกพวกเค้า เรามันก็หัวเดียวกระเทียมลีบอีก พูดความจริงก็ผิด ส่วนโกหกเราก็ไม่อยากทำ แต่สิ่งที่เจ็บที่สุดคือ อีกคนก็เอาความลับตอนม.ต้นของเรา ที่เราเคยระบายให้เค้าฟังไปใส่ในคอมเม้นของสเตตัสที่คนแรกอัพเพื่อด่าเรา ซึ่งเรารู้ว่า เค้าทำกับเราแบบนี้เพราะอยากให้เราผลการเรียนตกน่ะแหละ ทีนี้เราก็เลยนึกถึงตอนม.ต้น(ซึ่งเลวร้ายกว่านี้) แต่เพราะเรื่องที่ทะเลาะกันและทำกันแบบนี้มันไร้สาระมาก เราเลยโกรธ เกิดความคิดว่าจะตั้งใจเรียนแบบไม่สนใจใครแล้วจริงๆ ให้มันรู้กันไปเลยว่าเรื่องแบบนี้มันไม่ได้ขึ้นกับว่ามีหรือไม่มีเพื่อน เวลาจับกลุ่มทำงานก็ได้สมาชิกไม่ดี แต่เราก็สู้ เหมาเอางานไปทำคนเดียวเลยก็บ่อย ผลงานที่ออกมาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าใครที่ช่วยกันทำ หรือกลุ่มของคนพวกนั้น อาจารย์ชมก็ยังเคย เหนื่อยแต่สะใจมาก พอขึ้น ม.6 คนที่เคยเอาความลับเราไปแฉก็กลับมาขอโทษและกลับมาเป็นเพื่อนเราอีก เราก็โอเคค่ะ ชีวิตตอน ม.6 เราก็โอเคมาเรื่อยๆ แต่พอซักพัก ตอนที่ใกล้จะเรียนจบม.ปลาย พวกเค้าก็เริ่มสนิทกับกลุ่มผู้ชายค่ะ กลายเป็นว่าแทบจะรวมกลุ่มกันเลยด้วย ซึ่งตัวเราเองเป็นคนขี้อาย แล้วก็ไม่ค่อยชอบคุยกับเพื่อนผู้ชายเท่าไหร่ คงเพราะญาติก็มีแต่ผู้หญิงด้วย เราก็เลยอึดอัดมากเวลาต้องนั่งร่วมโต๊ะกับผู้ชาย(มีกรณียกเว้นเป็นบางคนค่ะ) เราเคยบอกกับพวกเค้าแล้ว แต่พวกเค้าก็ไม่สนใจ แล้วก็ลงแบบเดิม คือเค้าแสดงออกว่ารำคาญ กลายเป็นว่าเห็นกลุ่มเพื่อนผู้ชายที่เพิ่งเจอสำคัญกว่าเราที่เคยช่วยเหลือเค้าทุกอย่าง ทั้งปัญหาส่วนตัว ทั้งการเรียน ทั้งที่เคยเป็นฝ่ายให้อภัยเค้าแล้วด้วย เราก็เหมือนอยู่คนเดียว ไม่มีเพื่อนอีก ซึ่งยังโชคดีอยู่บ้างที่เราเอนทรานซ์ติดมหาวิทยาลัยที่ดีและมีชื่อเสียงกว่าที่พวกเค้าติดมาก เลยวางใจได้แล้วว่าจบกันที เราเลยไม่ได้ไปร่วมปัจฉิมนิเทศของโรงเรียนเพราะเราไม่อยากไปอยู่คนเดียวค่ะ ให้คุณพ่อไปรับใบจบให้แค่นั้น ตอนที่เรียน ปี 1 ก็ยังมีคนนึงที่พยายามติดต่อกับเราอยู่ตลอดค่ะ แต่ดูเหมือนว่าเค้าจะแค่คบเราไว้เป็นที่ระบายความละเมอเพ้อพกเรื่องผู้ชายที่เค้าปลื้มมากกว่า เราก็เบื่อเพราะเราไม่ได้รู้จักกับคนนั้น ไม่ได้อยู่มหาลัยเดียวกัน เลยตอบไปแกนๆ บ้าง ชวนเค้าคุยเรื่องอื่นก็วกกลับมาเรื่องผู้ชายอีก เราตัดสินใจเลิกคบกับพวกเค้าเด็ดขาดหลังจากที่เค้าไม่ได้เอ่ยชื่อว่าเราเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกับเค้า และนัดกันไปเที่ยวโดยที่ไม่ชวนเราซักคำค่ะ
ชีวิตในมหาวิทยาลัยของเราตอนนี้อยู่ปี 2 ค่ะ เกรดกลางๆ เพราะมีปัญหาสุขภาพอยู่ มีเพื่อนสนิท 3 คน เป็นเพื่อนในคณะ เอกเดียวกัน เพื่อนต่างคณะ และพี่ในคณะค่ะ แต่คงเพราะว่าเราเป็นคนขี้อายแล้วก็ชอบคิดมากจริงๆ ก็เลยทำให้มีคนรู้จักที่เวลาเจอก็ทักกัน ยิ้มกันอยู่บ้าง แต่ถ้าเราไม่ได้อยู่กับเพื่อนในเอกคนเดียวคนนั้นเราก็จะไม่สามารถไปกับกลุ่มไหนได้เลยค่ะ คือเหมือนเค้าเองก็ไม่ได้ชวนเราไปกินข้าว เราก็ไม่กล้าขอไปด้วย กลัวเค้ารำคาญมากๆ เลยค่ะ เลยต้องไปกินข้าวคนเดียวเพราะไม่มีเพื่อนไปด้วย แล้วตัวตนของเราก็จืดจางมากในคณะ เข้าเรียนตลอดแต่ไม่มีใครจำได้ค่ะ บางทีเดินสวนกันแบบจะๆ เราก็ยิ้มให้ แต่บางคนก็ไม่ยอมมองเลยซะด้วยซ้ำ เราก็ไม่อยากยิ้มให้อีก บางทีก็รู้สึกเสียใจแล้วก็เหงามากจริงๆ จนอยากร้องไห้ ยิ่งพอพี่สาวไปอยู่นอกแล้วทั้งคู่ มันเหงามากจริงๆ นะคะ
เราเลยอยากขอคำปรึกษาว่ามีวิธีทำให้เราไม่คิดมากขนาดนี้ ไม่ขี้อายขนาดนี้ แล้วก็มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีกว่านี้บ้างมั้ยคะ เราไม่ค่อยจะรู้วิธีชวนคุย แล้วบางทีก็คุยไม่ค่อยทันคนอื่น พูดแล้วก็ไม่ค่อยมีใครฟังน่ะค่ะ(โดนพูดแทรก) บางทีก็เลยไม่อยากพูดมากนอกจากกับที่บ้าน ซึ่งตอนนี้ก็เหลือคนไม่มากแล้วค่ะ หรือว่าเราต้องทำใจเรื่องเพื่อนจริงๆ คะ ว่าเราคงไม่มีวันมีเพื่อนที่คบกันยาวๆ ที่เค้าเห็นค่า เห็นตัวตนเรา อยู่กันเป็นกลุ่มดูอบอุ่นจริงๆ?
ขอบคุณสำหรับทุกคนที่อ่านมาจนถึงตรงนี้นะคะ ขอบคุณมากค่ะ
ปรับตัวก็แล้ว พยายามที่สุดแล้ว หรือดวงมันจะไม่มีเพื่อน?
เราเป็นลูกสาวคนเล็กค่ะ มีพี่สาวอีกสองคน ครอบครัวทำร้านค้าเล็กๆ ช่วยกันทำงานเองในบ้าน ญาติผู้ใหญ่เสียหมดแล้ว และญาติส่วนมากก็ไม่ได้อยู่บ้านใกล้เรือนเคียง ที่อยู่ใกล้ก็ไม่ได้สนิทกัน ครอบครัวเราเองก็ไม่ได้ผูกมิตรกับคนในละแวกบ้านมากมาย เรียกว่าสันโดษพอสมควรค่ะ ส่วนพี่สาวสองคนอายุใกล้เคียงกันค่ะ และเพราะแก่กว่าเราพอสมควร ตั้งแต่เด็กเราก็เลยมักถูกมองว่าเป็นเด็ก แล้วที่บ้านไม่ได้อนุญาตให้ออกไปเล่นข้างนอกกับเด็กในละแวกเดียวกันด้วย ประกอบกับที่บ้านไม่ค่อยมีเวลาพาออกไปเที่ยวข้างนอก พาไปเล่นกีฬาอะไรทำนองนี้ เราเลยไม่มีทักษะทางกีฬามากๆ เราเพิ่งมานั่งคิดถึงได้รู้ว่า สังคมที่เราโตมามันแคบนะ เราไม่รู้จักการปรับตัวและปรับบุคลิกตามวัยเลยซะด้วยซ้ำ บางทีก็สงสัยว่าเพราะตอนเด็กเราอยู่กับตัวเองมากไปรึเปล่า บางครั้งก็พูดจาทำตัวเป็นผู้ใหญ่มากเกินไป ใช้เวลากับตัวเองมากกว่าคุยกับคนนอกครอบครัวซะด้วยซ้ำ กับคนในครอบครัวก็มักถูกแกล้ง(ตอนนี้เข้าใจแล้วว่าแกล้งเพราะเป็นเด็ก เพราะเอ็นดู แต่มันฝังใจ ไม่รู้จะแก้ยังไงค่ะ) เราเลยยิ่งเกลียดการถูกหัวเราะ การเป็นที่โดดเด่นแบบแปลกๆ เกลียดการถูกแกล้งมากๆ เลยขาดความมั่นใจในตัวเอง ตอนเด็กๆ มีปัญหามากเวลาต้องเดินไปข้างนอกคนเดียว คือมักกังวลว่าคนรอบข้างจะมอง เดินไม่แกว่งแขนบ้าง เดินเอามือไพล่หน้าไพล่หลังบ้าง(ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้วค่ะ หลังถูกบังคับจนชิน)
ทีนี้พอโตขึ้น ญหาของเราเริ่มตั้งแต่ประถมค่ะ เรามักเป็นคนที่ถูกแกล้ง ถูกหักหลัง และถูกล้อจากพวกเพื่อนร่วมห้องที่อยู่เป็นกลุ่มใหญ่ๆ แล้วเราก็มีข้อเสียอย่างนึงคือเวลาเสียใจหรือโมโหก็จะร้องไห้เหมือนกัน แล้วก็ขี้แยซะด้วย เลยถูกแกล้งหนักมากตลอด 5 ปีที่อยู่โรงเรียนนี้ เราคงพูดจาไม่ระวังเองด้วย รู้สึกเหมือนเพื่อนเกลียดเราทั้งห้องจริงๆ มีแค่เพื่อนสนิทสองคนที่พอคุยกันได้ แต่เราก็คงเป็นของตายแหละนะ ค่ามันถึงได้น้อย แล้วก็ถูกเอาเปรียบมาตลอด...
พอขึ้นม.ต้น ก็ปรึกษาเรื่องนี้กับที่บ้าน ที่บ้านบอกว่าให้ระวังเวลาพูดหน่อย พูดให้น้อย คิดก่อนพูด พอเข้าโรงเรียนใหม่เราก็พยายามปรับตัวเต็มที่ แต่กลายเป็นเพื่อนบอกว่าเราพูดน้อย เรียบร้อยมากซะงั้น ชีวิตก็เหมือนจะดีขึ้นค่ะ มีกลุ่มเพื่อนที่ไว้ใจคุยอะไรๆ ด้วยกันได้มากขึ้น ชีวิตมีความสุขมาก กลุ่มเพื่อนก็น่ารัก ผลการเรียนก็ดี ช่วงนั้นแข่งขันกับคนอื่นและเพื่อนสนิทเป็นท็อปทรีของระดับชั้นในโรงเรียนเล็กๆ ค่ะ แต่ปัญหามันก็มาอีก เราก็ยังถูกเพื่อนร่วมชั้นที่เป็นกลุ่มใหญ่(และดูเหมือนจะมีอิทธิพล)แกล้งเหมือนเดิม คราวนี้ทำเฉยมันเหมือนยิ่งยุน่ะค่ะ โดนแกล้งแทบจะเหมือนเป็นตัวตลกแบบที่เกลียดมากที่สุดจริงๆ ซ้ำร้ายตอนม.2(ที่เราคาดว่ามาจากนิสัยเสียของลูกคนเล็กแบบเรา คือจะเห็นแก่ตัวน่ะค่ะ เรายอมรับ) คือเพื่อนที่เคยบอกว่าน่ารักนั่นแหละ พร้อมใจกันมาทิ้งเรากันทั้งกลุ่มเลย เป็นเพราะเรื่องงานที่เราเข้าใจผิดปนเห็นแก่ตัว เราก็ขอโทษไปแล้ว แต่เค้าไม่ยกโทษให้ เราก็โอเคค่ะ ยอมรับผิด แต่ชีวิตตอนนั้นเลวร้ายสิ้นดี โดนแกล้งหนักจากกลุ่มเจ้าถิ่นที่ว่านั่นไม่พอ ยังถูกเพื่อนรักเก่านี่แหละแกล้งกันสารพัด แบลกเมล์กันเสียๆ หายๆ เดี๋ยวก็มาบอกว่าเราติดสินบนอาจารย์ให้ให้คะแนนเราเยอะกว่าคนอื่นบ้างล่ะ ไม่งั้นจะได้คะแนนเยอะกว่าคนในกลุ่มเค้าที่ถนัดวิชานี้ได้ไง เอาเมล์เราไปโพสเสียๆ หายๆ บ้างล่ะ จนเกือบต้องฟ้องร้องกัน เพื่อนในห้องก็ไม่มีใครสนใจจะมาฟังคำแก้ต่างหรือความจริงจากเรา จนถึงขั้นว่าแม่เราเกือบจะแจ้งตำรวจ สิ่งที่เหลือให้เห็นชัดว่าเราไม่ได้ทำผิดคือผลการเรียน กับอาจารย์ที่ยังชอบเด็กที่เรียบร้อยและผลการเรียนอยู่ในเกณฑ์ดีมาตลอด(มีปัญหากับอาจารย์ที่ฟังความข้างเดียวของฝ่ายนั้น ถึงขั้นว่าอาจารย์เคยพูดตอกหน้าว่า "เธออย่ามาคิดว่าตัวเองเก่งมากนะ ชั้นว่าเธอมันก็แค่ขยันเท่านั้นแหละ" แต่อาจารย์เค้าลาออกไปแล้วเพราะป่วยหนัก ไม่ขอพูดถึงมากละกันค่ะ) ในชีวิตม.2 เราเหลือแค่นี้ทั้งปีจริงๆ ค่ะ เสียใจมากจนไม่อยากไว้ใจใครอีก จนขึ้น ม.3 มีนักเรียนใหม่ย้ายเข้ามา แล้วก็มีคนนึงตามเราน่ะค่ะ คงเพราะเห็นว่าเราชอบปลีกวิเวกอยู่คนเดียวล่ะมั้ง เราก็คบไป แต่ก็กันๆ ไม่ให้สนิทมากกันเกินไป แต่คนมันจะถูกนินทาไงคะ คนอื่นก็มาหาว่าเรายึดตัวเพื่อนคนนี้ไว้คนเดียวอีก ตอนหลังๆ เค้าก็เลยเริ่มสนิทกับเพื่อนที่เป็นกลุ่มนักเรียนใหม่ และเค้าก็ชวนให้เราไปเข้ากลุ่มนี้ด้วย กลุ่มนี้เค้าไม่ใช่เด็กเรียนค่ะ แต่เราไม่ได้สนิทมาก ชีวิตก็เลยโอเคขึ้น อย่างน้อยก็มีเพื่อนที่พอคุยและยิ้มให้กันได้ ไม่ทำร้ายจิตใจกันจนถึงวันที่เรียนจบม.ต้น
พอขึ้น ม.ปลาย เราไม่อยากเสี่ยงไปสอบโรงเรียนที่อาจารย์แนะนำค่ะ เลยสอบเข้าโรงเรียนระดับกลางแถวบ้าน เราตั้งใจปรับตัวและวางตัวอย่างดีมากที่สุดเท่าที่ทำได้แล้ว เราก็หาเพื่อนที่คิดว่าไว้ใจได้ น่ารัก ขยันเรียนด้วยกันได้ ปัญหาถูกแกล้งยังมีบ้าง แต่เป็นการแกล้งแบบอยากให้เราโมโหน่ะค่ะ คงเพราะเราดูเป็นคนอารมณ์เย็นมากด้วยมั้ง ไม่ค่อยโมโห เราสาบานได้เลยค่ะว่าไม่ได้ทำความผิดพลาดเรื่องเดิมๆ ซ้ำสอง เราคิดถึงจิตใจแล้วก็แคร์เพื่อนกลุ่มนี้มากจริงๆ แต่สุดท้ายก็ถูกหักหลังอีก ด้วยเรื่องที่มันดูเล็ก และเราก็ว่ามันก็เรื่องเล็ก ก็คือเรื่องผลการเรียนอีกนั่นแหละค่ะ คือโรงเรียนเก่าที่เราอยู่ตอนม.ต้น เค้าเรียนกันแข็งกว่าโรงเรียนนี้อยู่พอสมควร ทีนี้ผลการเรียนเราก็เลยไปสูสีอยู่ที่หนึ่งกับนักเรียนเก่าคนนึงมาตลอด เพื่อนในกลุ่มก็เรียนดีค่ะ ตามมาประมาณที่ 6-8 ตลอด บางคนผลการเรียนก็ไม่ดี ช่วงนั้นเพื่อนคนไหน ต่อให้ไม่ใช่คนกลุ่มเดียวกันมาขอให้เราสอนการบ้านหรืองานวิชาไหน เราช่วยเค้าหมดนะคะ ช่วยสอนจนบางทีเราปวดหัวเลยก็เคย แต่เหมือนเค้าเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะฟัง แล้วก็มาหาว่าเราไม่สอน หวงวิชา ส่วนสาเหตุหลักที่ทะเลาะกับเพื่อนกลุ่มนี้ ก็เพราะเราชอบไปสอนเค้า ไปขัดคำตอบเค้า(ซึ่งเราเข้าใจว่านี่เป็นการช่วยนะ) ชอบทำร้ายจิตใจเค้าด้วยการตอบตรงๆ ว่าทำข้อสอบได้เวลาออกจากห้องสอบ(เราเข้าใจว่าตอบความจริงแล้วตรงกับผลสอบ ยังดีกว่าบอกว่า ทำไม่ได้เลย แล้วผลสอบออกมาดีนะคะ) เราทำผิดมากเหรอ ที่เรียนดีกว่าเค้า ทั้งที่เวลาอ่านหนังสือเราก็ทุ่มเทกว่าเค้า ยอมนอนดึก ยอมตื่นเช้า ง่วงแทบตายก็อ่านหนังสือสอบให้ทันให้ได้ เรียนไม่ทันใครเราก็ทุ่มเทเต็มที่ ทำให้ดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้จริงๆ เราทำเพื่ออนาคตของเราเอง แต่คงไปรบกวนเค้ามาก เพราะดันไปเบียดคะแนนเค้าตกจากตำแหน่งท็อปที่เค้าเคยภูมิใจ เค้าก็เลยไปอัพเฟสว่าเราชอบว่าพวกเค้าโง่ ดูถูกพวกเค้า เรามันก็หัวเดียวกระเทียมลีบอีก พูดความจริงก็ผิด ส่วนโกหกเราก็ไม่อยากทำ แต่สิ่งที่เจ็บที่สุดคือ อีกคนก็เอาความลับตอนม.ต้นของเรา ที่เราเคยระบายให้เค้าฟังไปใส่ในคอมเม้นของสเตตัสที่คนแรกอัพเพื่อด่าเรา ซึ่งเรารู้ว่า เค้าทำกับเราแบบนี้เพราะอยากให้เราผลการเรียนตกน่ะแหละ ทีนี้เราก็เลยนึกถึงตอนม.ต้น(ซึ่งเลวร้ายกว่านี้) แต่เพราะเรื่องที่ทะเลาะกันและทำกันแบบนี้มันไร้สาระมาก เราเลยโกรธ เกิดความคิดว่าจะตั้งใจเรียนแบบไม่สนใจใครแล้วจริงๆ ให้มันรู้กันไปเลยว่าเรื่องแบบนี้มันไม่ได้ขึ้นกับว่ามีหรือไม่มีเพื่อน เวลาจับกลุ่มทำงานก็ได้สมาชิกไม่ดี แต่เราก็สู้ เหมาเอางานไปทำคนเดียวเลยก็บ่อย ผลงานที่ออกมาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าใครที่ช่วยกันทำ หรือกลุ่มของคนพวกนั้น อาจารย์ชมก็ยังเคย เหนื่อยแต่สะใจมาก พอขึ้น ม.6 คนที่เคยเอาความลับเราไปแฉก็กลับมาขอโทษและกลับมาเป็นเพื่อนเราอีก เราก็โอเคค่ะ ชีวิตตอน ม.6 เราก็โอเคมาเรื่อยๆ แต่พอซักพัก ตอนที่ใกล้จะเรียนจบม.ปลาย พวกเค้าก็เริ่มสนิทกับกลุ่มผู้ชายค่ะ กลายเป็นว่าแทบจะรวมกลุ่มกันเลยด้วย ซึ่งตัวเราเองเป็นคนขี้อาย แล้วก็ไม่ค่อยชอบคุยกับเพื่อนผู้ชายเท่าไหร่ คงเพราะญาติก็มีแต่ผู้หญิงด้วย เราก็เลยอึดอัดมากเวลาต้องนั่งร่วมโต๊ะกับผู้ชาย(มีกรณียกเว้นเป็นบางคนค่ะ) เราเคยบอกกับพวกเค้าแล้ว แต่พวกเค้าก็ไม่สนใจ แล้วก็ลงแบบเดิม คือเค้าแสดงออกว่ารำคาญ กลายเป็นว่าเห็นกลุ่มเพื่อนผู้ชายที่เพิ่งเจอสำคัญกว่าเราที่เคยช่วยเหลือเค้าทุกอย่าง ทั้งปัญหาส่วนตัว ทั้งการเรียน ทั้งที่เคยเป็นฝ่ายให้อภัยเค้าแล้วด้วย เราก็เหมือนอยู่คนเดียว ไม่มีเพื่อนอีก ซึ่งยังโชคดีอยู่บ้างที่เราเอนทรานซ์ติดมหาวิทยาลัยที่ดีและมีชื่อเสียงกว่าที่พวกเค้าติดมาก เลยวางใจได้แล้วว่าจบกันที เราเลยไม่ได้ไปร่วมปัจฉิมนิเทศของโรงเรียนเพราะเราไม่อยากไปอยู่คนเดียวค่ะ ให้คุณพ่อไปรับใบจบให้แค่นั้น ตอนที่เรียน ปี 1 ก็ยังมีคนนึงที่พยายามติดต่อกับเราอยู่ตลอดค่ะ แต่ดูเหมือนว่าเค้าจะแค่คบเราไว้เป็นที่ระบายความละเมอเพ้อพกเรื่องผู้ชายที่เค้าปลื้มมากกว่า เราก็เบื่อเพราะเราไม่ได้รู้จักกับคนนั้น ไม่ได้อยู่มหาลัยเดียวกัน เลยตอบไปแกนๆ บ้าง ชวนเค้าคุยเรื่องอื่นก็วกกลับมาเรื่องผู้ชายอีก เราตัดสินใจเลิกคบกับพวกเค้าเด็ดขาดหลังจากที่เค้าไม่ได้เอ่ยชื่อว่าเราเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกับเค้า และนัดกันไปเที่ยวโดยที่ไม่ชวนเราซักคำค่ะ
ชีวิตในมหาวิทยาลัยของเราตอนนี้อยู่ปี 2 ค่ะ เกรดกลางๆ เพราะมีปัญหาสุขภาพอยู่ มีเพื่อนสนิท 3 คน เป็นเพื่อนในคณะ เอกเดียวกัน เพื่อนต่างคณะ และพี่ในคณะค่ะ แต่คงเพราะว่าเราเป็นคนขี้อายแล้วก็ชอบคิดมากจริงๆ ก็เลยทำให้มีคนรู้จักที่เวลาเจอก็ทักกัน ยิ้มกันอยู่บ้าง แต่ถ้าเราไม่ได้อยู่กับเพื่อนในเอกคนเดียวคนนั้นเราก็จะไม่สามารถไปกับกลุ่มไหนได้เลยค่ะ คือเหมือนเค้าเองก็ไม่ได้ชวนเราไปกินข้าว เราก็ไม่กล้าขอไปด้วย กลัวเค้ารำคาญมากๆ เลยค่ะ เลยต้องไปกินข้าวคนเดียวเพราะไม่มีเพื่อนไปด้วย แล้วตัวตนของเราก็จืดจางมากในคณะ เข้าเรียนตลอดแต่ไม่มีใครจำได้ค่ะ บางทีเดินสวนกันแบบจะๆ เราก็ยิ้มให้ แต่บางคนก็ไม่ยอมมองเลยซะด้วยซ้ำ เราก็ไม่อยากยิ้มให้อีก บางทีก็รู้สึกเสียใจแล้วก็เหงามากจริงๆ จนอยากร้องไห้ ยิ่งพอพี่สาวไปอยู่นอกแล้วทั้งคู่ มันเหงามากจริงๆ นะคะ
เราเลยอยากขอคำปรึกษาว่ามีวิธีทำให้เราไม่คิดมากขนาดนี้ ไม่ขี้อายขนาดนี้ แล้วก็มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีกว่านี้บ้างมั้ยคะ เราไม่ค่อยจะรู้วิธีชวนคุย แล้วบางทีก็คุยไม่ค่อยทันคนอื่น พูดแล้วก็ไม่ค่อยมีใครฟังน่ะค่ะ(โดนพูดแทรก) บางทีก็เลยไม่อยากพูดมากนอกจากกับที่บ้าน ซึ่งตอนนี้ก็เหลือคนไม่มากแล้วค่ะ หรือว่าเราต้องทำใจเรื่องเพื่อนจริงๆ คะ ว่าเราคงไม่มีวันมีเพื่อนที่คบกันยาวๆ ที่เค้าเห็นค่า เห็นตัวตนเรา อยู่กันเป็นกลุ่มดูอบอุ่นจริงๆ?
ขอบคุณสำหรับทุกคนที่อ่านมาจนถึงตรงนี้นะคะ ขอบคุณมากค่ะ