การที่ชายหนุ่มวัย 35 ปี อย่างผม ต้องรีบกลับมาห้องเช่าหลังจากเลิกงานเพื่อมานั่งมองออกนอกระเบียงห้องเช่าราคาถูกของตัวเอง หลาย ๆ คนคงคิดว่าเป็นเรื่องแปลก แต่คุณคงไม่รู้หรอกว่า การกระทำแบบนี้มันมีความหมายกับผมและทำให้ผมมีความสุขมากเพียงใด
เมื่อ 16 ปีที่แล้ว ตอนนั้นผมอายุ 19 ปี กำลังอยู่ในช่วงวัยรุ่นที่น่าจะมีความสุขกับการใช้ชีวิตแบบวัยรุ่นทั่ว ๆ ไป หรือไม่ผมก็น่าจะได้เรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยสักแห่งในเมืองใดเมืองหนึ่ง แต่ชีวิตผม กลับไม่ได้เป็นอย่างนั้น ผมเป็นเด็กที่ถูกพ่อส่งเข้าไปรับการฝึกทหารกับทางกองทัพ เพราะพ่อเห็นว่าผมเป็นคนที่อ่อนแอ บอบบาง ไม่มีความเป็นลูกผู้ชายที่เข้มแข็ง แข็งแรงอย่างพ่อ และพ่อก็อยากให้มีพื้นที่ที่เป็นส่วนตัวในบ้านเพิ่มมากขึ้นระหว่างพ่อกับแม่เลี้ยงคนใหม่ของผม พวกเขาเลยไม่มีที่ที่จะให้ผมซุกหัวนอนอีกต่อไป ด้วยเหตุนี้ผมจึงต้องอาศัยโรงนอนของกองทัพเป็นห้องนอนของผมอยู่หลายปี
ชีวิตการฝึกของทหาร ไม่ได้เป็นอย่างในหนัง ในละคร ที่จะต้องมีการฝึกอย่างหนัก เอาเป็นเอาตาย ฝึกกันแบบเอาชีวิตแทบไม่รอด หรือจะอย่างในหนังบางเรื่องที่ทำให้เห็นการฝึกทหารเป็นเรื่องสนุกสนาน มีแต่เรื่องขำขัน เฮฮา จริง ๆ แล้วในชีวิตการฝึกของพวกเรามันมีสิ่งเหล่านี้อยู่จริง แต่มันปนเปกันไปตามแต่เวลา ตามแต่บรรยากาศ แต่ชีวิตของพวกเราจะต้องยึดกฎระเบียบต่าง ๆ อย่างเคร่งครัด และถือเป็นเส้นทางตรงเส้นเดียวที่พวกเราจะสามารถเดินไปได้ โดยที่ไม่ถูกลงโทษเพราะการผิดกฎหรือระเบียบ
แต่สำหรับผมนั้น ผมไม่ได้ต้องการที่จะโดนทำโทษบ่อย ๆ เพราะมันแสนจะโหดและทรมาน แต่การฝึกในแต่ละครั้ง ผมซึ่งค่อนข่างที่จะอ่อนแอทั้งร่างกายและจิตใจ ทำให้ผมไม่สามารถทำได้ตามคำสั่งของครูฝึก หรือคำสั่งของผู้บังคับบัญชา ซึ่งแน่นอนผลที่ตามมาก็คือการถูกลงโทษ บางครั้งผมคิดว่าชีวิตของผมน่าจะสุขสบายกว่านี้ ถ้าผมขัดขืนคำสั่งของพ่อ ออกไปใช้ชีวิตคนเดียว ไม่ต้องพึ่งพาใคร ถึงจะอด ๆ อยาก ๆ แต่ก็ไม่โดนใครทำโทษ รังแก ทารุณอย่างนี้ แต่ผมรักพ่อ ถึงพ่อจะไม่รักผมสักเท่าไหร่ก็ตาม ผมถึงต้องได้มาแบกปืนกระโดดขึ้น ๆ ลง ๆ อยู่อย่างนี้
ด้วยบุคลิกที่ขาดความมั่นใจ ความเป็นคนอ่อนแอของผม ทำให้ผมมีเพื่อนค่อนข้างน้อย มักจะเข้ากลุ่มกับใคร ๆ เขาไม่ได้นัก เมื่อถึงเวลาที่พวกเราเป็นอิสระจากการฝึก เพื่อน ๆ ทหารหลาย ๆ คน จะมีกิจกรรมต่าง ๆ ทำกัน ไม่เตะฟุตบอล ก็ตีเทนนิส หรือเล่นกีตาร์ ร้องเพลง ส่วนผมทำได้แค่นั่งมองคนอื่นเขาเล่นกัน หรือไม่ก็เลี่ยงไปนั่งอยู่คนเดียวบนเตียงนอนในโรงนอน
และแล้ว วันที่ผมได้รู้จักใครคนหนึ่งก็มาถึง วันนั้นผมนั่งอยู่บนที่นอนในโรงนอนเพียงคนเดียว เพราะไม่อยากออกไปวุ่นวายกับใคร ๆ เขา ผมนั่งอยู่คนเดียวได้ไม่นาน ปรากฏว่ามีเพื่อนร่วมห้องเข้ามา บิ๊ก เป็นเพื่อนที่นอนเตียงใกล้ ๆ กับผม แต่ผมก็พูดกับเขาน้อยพอ ๆ กับที่พูดกับคนอื่น
“เฮ้ วิน นายมานั่งทำอะไรอยู่คนเดียวในนี้ละ” บิ๊กถาม
“เราอยากพักนะ” ผมตอบ
“แล้วนายละ เข้ามาทำอะไร” ผมถามกลับ
“เรามาเอาของใช้นิดหน่อยนะ” บิ๊กตอบ
“เฮ้ เราว่านายน่าจะไปสนุกกับเพื่อน ๆ บ้างนะ นายดูจะปิดกั้นตัวเองไปหน่อยนะ มีปัญหาอะไรรึเปล่า บอกเราได้นะ ถ้าต้องการ” บิ๊กพูด
“ขอบคุณมาก ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่อยากจะพัก” ผมย้ำ
“งั้นเราไปก่อนนะ” บิ๊กพูดก่อนจากไป
วันเดิม ๆ ของเราก็ยังคงเป็นวันเดิม ๆ และเพื่อตอกย้ำให้เห็นถึงความคงเดิม ซ้ำซาก ผมโดนทำโทษอีกครั้ง คราวนี้โดนทำโทษอย่างหนัก สาเหตุเพราะว่าผมทำปืนที่ใช้ฝึกหล่นลงบนพื้นจนถึงกับชำรุด ครูฝึกเลยทำโทษโดยให้ผมแบกปืนกระบอกนั้นขึ้นบ่า แล้วกระโดนสก๊อตจั๊มป์ ห้ามหยุดจนกว่าครูฝึกจะพอใจ เมื่อเป็นที่พอใจแล้ว ครูฝึกยังสั่งให้ผมแบกปืนกระบอกนั้นวิ่งวนไปรอบ ๆ สนามฝึกท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก และท่ามกลางสายตาของเพื่อนทหารของผม ผมจะต้องวิ่งแบกปืนไปด้วยและตะโกนไปด้วยว่า “ผมทำความผิดต่อกองทัพ ผมจะไม่ทำให้มันเกิดขึ้นอีกแล้ว” ผมวิ่งไปนานแค่ไหนผมก็จำไม่ได้ สติของผมเริ่มกลับมาอีกทีตอนที่รู้สึกว่าใบหน้าของตัวเองลงไปกระแทกแรง ๆ บนพื้นหญ้าแฉะ ๆ เข้าอย่างจัง ผมวิ่งจนหมดแรงล้มลง
“วิน นายไม่ไหวแล้วนะ หยุดนะ เราจะขอครูฝึกให้เอง” เป็นเสียงเรียกชื่อผม จากเพื่อนทหารคนนึงที่ผมจำได้ว่าเขาชื่อ บิ๊ก เขาวิ่งเข้ามาช่วยประคองผมให้ลุกขึ้น แต่ก่อนที่ผมจะทันได้ลุกขึ้นหรือก่อนที่บิ๊กจะได้ไปขอร้องครูฝึกให้ผมได้หยุด เสียงครูฝึกก็ดังขึ้น
“พลทหารบิ๊ก ใครสั่งให้นายออกมาอยู่ตรงนี้” ครูฝึกพูดด้วยเสียงดุดัน
“ไม่มีครับผม” บิ๊กตอบครูฝึก
“แสดงว่านายอยากออกมาอยู่ตรงนี้เองงั้นสิ” ครูฝึกใช้น้ำเสียงดุถามต่อไป
“ครับผม คือ ผมคิดว่า วิน เขาต้องการความช่วยเหลือนะครับผม” บิ๊กตอบ
“งั้นนายสองคนก็อยู่ตรงนี้ด้วยกันไปจนกว่าจะผ่านเวลาเที่ยงคืนไปแล้ว ถึงจะกลับเข้าโรงนอนได้” ครูฝึกสั่ง
“ครูฝึกครับ ลงโทษผมคนเดียวเถอะครับ บิ๊กไม่เกี่ยวครับ” ถึงบทที่ผมต้องพูดเพื่อช่วยเหลือเพื่อนบ้าง
“ปกป้องกันจริง ๆ เลยนะ อยู่ด้วยกันตรงนี้แหละดีแล้ว จากเวลาตอนนี้ 4 ทุ่มกว่า ๆ พวกนายคงได้อยู่ช่วยเหลือกันอีก หนึ่งชั่วโมงกว่า ๆ ละ” ครูฝึกพูดพร้อมกับเดินกลับไปสั่งให้ทหารคนอื่น ๆ กลับไปโรงนอนได้
ผมและบิ๊กต้องนั่งตากฝนกันอยู่อย่างเปียกปอนจนสุดบรรยาย ผมหนาวจนปากสั่น ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ บิ๊กก็เช่นเดียวกัน จนเวลาล่วงเลยผ่านเที่ยงคืนไปแล้ว เราสองคนจึงได้ลุกออกไปจากสนามฝึกนรกแห่งนั้น
“นายต้องไปอาบน้ำก่อนนะ ไม่งั้นไม่สบายแน่ ๆ เลย” บิ๊กบอก
“แต่เราเดินจะไม่ไหวอยู่แล้วนะ กลับไปเปลี่ยนชุดแล้วนอนเลยดีกว่า” ผมบอก
“ไปเถอะ เราก็ต้องอาบ เราไปพร้อมกันตอนนี้เลย” บิ๊กพยุงแขนผมเดินตรงไปยังโรงอาบน้ำ
เรื่องสั้น Y ชีวิตนี้ ... มีเพียงเขา (18+)
เมื่อ 16 ปีที่แล้ว ตอนนั้นผมอายุ 19 ปี กำลังอยู่ในช่วงวัยรุ่นที่น่าจะมีความสุขกับการใช้ชีวิตแบบวัยรุ่นทั่ว ๆ ไป หรือไม่ผมก็น่าจะได้เรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยสักแห่งในเมืองใดเมืองหนึ่ง แต่ชีวิตผม กลับไม่ได้เป็นอย่างนั้น ผมเป็นเด็กที่ถูกพ่อส่งเข้าไปรับการฝึกทหารกับทางกองทัพ เพราะพ่อเห็นว่าผมเป็นคนที่อ่อนแอ บอบบาง ไม่มีความเป็นลูกผู้ชายที่เข้มแข็ง แข็งแรงอย่างพ่อ และพ่อก็อยากให้มีพื้นที่ที่เป็นส่วนตัวในบ้านเพิ่มมากขึ้นระหว่างพ่อกับแม่เลี้ยงคนใหม่ของผม พวกเขาเลยไม่มีที่ที่จะให้ผมซุกหัวนอนอีกต่อไป ด้วยเหตุนี้ผมจึงต้องอาศัยโรงนอนของกองทัพเป็นห้องนอนของผมอยู่หลายปี
ชีวิตการฝึกของทหาร ไม่ได้เป็นอย่างในหนัง ในละคร ที่จะต้องมีการฝึกอย่างหนัก เอาเป็นเอาตาย ฝึกกันแบบเอาชีวิตแทบไม่รอด หรือจะอย่างในหนังบางเรื่องที่ทำให้เห็นการฝึกทหารเป็นเรื่องสนุกสนาน มีแต่เรื่องขำขัน เฮฮา จริง ๆ แล้วในชีวิตการฝึกของพวกเรามันมีสิ่งเหล่านี้อยู่จริง แต่มันปนเปกันไปตามแต่เวลา ตามแต่บรรยากาศ แต่ชีวิตของพวกเราจะต้องยึดกฎระเบียบต่าง ๆ อย่างเคร่งครัด และถือเป็นเส้นทางตรงเส้นเดียวที่พวกเราจะสามารถเดินไปได้ โดยที่ไม่ถูกลงโทษเพราะการผิดกฎหรือระเบียบ
แต่สำหรับผมนั้น ผมไม่ได้ต้องการที่จะโดนทำโทษบ่อย ๆ เพราะมันแสนจะโหดและทรมาน แต่การฝึกในแต่ละครั้ง ผมซึ่งค่อนข่างที่จะอ่อนแอทั้งร่างกายและจิตใจ ทำให้ผมไม่สามารถทำได้ตามคำสั่งของครูฝึก หรือคำสั่งของผู้บังคับบัญชา ซึ่งแน่นอนผลที่ตามมาก็คือการถูกลงโทษ บางครั้งผมคิดว่าชีวิตของผมน่าจะสุขสบายกว่านี้ ถ้าผมขัดขืนคำสั่งของพ่อ ออกไปใช้ชีวิตคนเดียว ไม่ต้องพึ่งพาใคร ถึงจะอด ๆ อยาก ๆ แต่ก็ไม่โดนใครทำโทษ รังแก ทารุณอย่างนี้ แต่ผมรักพ่อ ถึงพ่อจะไม่รักผมสักเท่าไหร่ก็ตาม ผมถึงต้องได้มาแบกปืนกระโดดขึ้น ๆ ลง ๆ อยู่อย่างนี้
ด้วยบุคลิกที่ขาดความมั่นใจ ความเป็นคนอ่อนแอของผม ทำให้ผมมีเพื่อนค่อนข้างน้อย มักจะเข้ากลุ่มกับใคร ๆ เขาไม่ได้นัก เมื่อถึงเวลาที่พวกเราเป็นอิสระจากการฝึก เพื่อน ๆ ทหารหลาย ๆ คน จะมีกิจกรรมต่าง ๆ ทำกัน ไม่เตะฟุตบอล ก็ตีเทนนิส หรือเล่นกีตาร์ ร้องเพลง ส่วนผมทำได้แค่นั่งมองคนอื่นเขาเล่นกัน หรือไม่ก็เลี่ยงไปนั่งอยู่คนเดียวบนเตียงนอนในโรงนอน
และแล้ว วันที่ผมได้รู้จักใครคนหนึ่งก็มาถึง วันนั้นผมนั่งอยู่บนที่นอนในโรงนอนเพียงคนเดียว เพราะไม่อยากออกไปวุ่นวายกับใคร ๆ เขา ผมนั่งอยู่คนเดียวได้ไม่นาน ปรากฏว่ามีเพื่อนร่วมห้องเข้ามา บิ๊ก เป็นเพื่อนที่นอนเตียงใกล้ ๆ กับผม แต่ผมก็พูดกับเขาน้อยพอ ๆ กับที่พูดกับคนอื่น
“เฮ้ วิน นายมานั่งทำอะไรอยู่คนเดียวในนี้ละ” บิ๊กถาม
“เราอยากพักนะ” ผมตอบ
“แล้วนายละ เข้ามาทำอะไร” ผมถามกลับ
“เรามาเอาของใช้นิดหน่อยนะ” บิ๊กตอบ
“เฮ้ เราว่านายน่าจะไปสนุกกับเพื่อน ๆ บ้างนะ นายดูจะปิดกั้นตัวเองไปหน่อยนะ มีปัญหาอะไรรึเปล่า บอกเราได้นะ ถ้าต้องการ” บิ๊กพูด
“ขอบคุณมาก ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่อยากจะพัก” ผมย้ำ
“งั้นเราไปก่อนนะ” บิ๊กพูดก่อนจากไป
วันเดิม ๆ ของเราก็ยังคงเป็นวันเดิม ๆ และเพื่อตอกย้ำให้เห็นถึงความคงเดิม ซ้ำซาก ผมโดนทำโทษอีกครั้ง คราวนี้โดนทำโทษอย่างหนัก สาเหตุเพราะว่าผมทำปืนที่ใช้ฝึกหล่นลงบนพื้นจนถึงกับชำรุด ครูฝึกเลยทำโทษโดยให้ผมแบกปืนกระบอกนั้นขึ้นบ่า แล้วกระโดนสก๊อตจั๊มป์ ห้ามหยุดจนกว่าครูฝึกจะพอใจ เมื่อเป็นที่พอใจแล้ว ครูฝึกยังสั่งให้ผมแบกปืนกระบอกนั้นวิ่งวนไปรอบ ๆ สนามฝึกท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก และท่ามกลางสายตาของเพื่อนทหารของผม ผมจะต้องวิ่งแบกปืนไปด้วยและตะโกนไปด้วยว่า “ผมทำความผิดต่อกองทัพ ผมจะไม่ทำให้มันเกิดขึ้นอีกแล้ว” ผมวิ่งไปนานแค่ไหนผมก็จำไม่ได้ สติของผมเริ่มกลับมาอีกทีตอนที่รู้สึกว่าใบหน้าของตัวเองลงไปกระแทกแรง ๆ บนพื้นหญ้าแฉะ ๆ เข้าอย่างจัง ผมวิ่งจนหมดแรงล้มลง
“วิน นายไม่ไหวแล้วนะ หยุดนะ เราจะขอครูฝึกให้เอง” เป็นเสียงเรียกชื่อผม จากเพื่อนทหารคนนึงที่ผมจำได้ว่าเขาชื่อ บิ๊ก เขาวิ่งเข้ามาช่วยประคองผมให้ลุกขึ้น แต่ก่อนที่ผมจะทันได้ลุกขึ้นหรือก่อนที่บิ๊กจะได้ไปขอร้องครูฝึกให้ผมได้หยุด เสียงครูฝึกก็ดังขึ้น
“พลทหารบิ๊ก ใครสั่งให้นายออกมาอยู่ตรงนี้” ครูฝึกพูดด้วยเสียงดุดัน
“ไม่มีครับผม” บิ๊กตอบครูฝึก
“แสดงว่านายอยากออกมาอยู่ตรงนี้เองงั้นสิ” ครูฝึกใช้น้ำเสียงดุถามต่อไป
“ครับผม คือ ผมคิดว่า วิน เขาต้องการความช่วยเหลือนะครับผม” บิ๊กตอบ
“งั้นนายสองคนก็อยู่ตรงนี้ด้วยกันไปจนกว่าจะผ่านเวลาเที่ยงคืนไปแล้ว ถึงจะกลับเข้าโรงนอนได้” ครูฝึกสั่ง
“ครูฝึกครับ ลงโทษผมคนเดียวเถอะครับ บิ๊กไม่เกี่ยวครับ” ถึงบทที่ผมต้องพูดเพื่อช่วยเหลือเพื่อนบ้าง
“ปกป้องกันจริง ๆ เลยนะ อยู่ด้วยกันตรงนี้แหละดีแล้ว จากเวลาตอนนี้ 4 ทุ่มกว่า ๆ พวกนายคงได้อยู่ช่วยเหลือกันอีก หนึ่งชั่วโมงกว่า ๆ ละ” ครูฝึกพูดพร้อมกับเดินกลับไปสั่งให้ทหารคนอื่น ๆ กลับไปโรงนอนได้
ผมและบิ๊กต้องนั่งตากฝนกันอยู่อย่างเปียกปอนจนสุดบรรยาย ผมหนาวจนปากสั่น ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ บิ๊กก็เช่นเดียวกัน จนเวลาล่วงเลยผ่านเที่ยงคืนไปแล้ว เราสองคนจึงได้ลุกออกไปจากสนามฝึกนรกแห่งนั้น
“นายต้องไปอาบน้ำก่อนนะ ไม่งั้นไม่สบายแน่ ๆ เลย” บิ๊กบอก
“แต่เราเดินจะไม่ไหวอยู่แล้วนะ กลับไปเปลี่ยนชุดแล้วนอนเลยดีกว่า” ผมบอก
“ไปเถอะ เราก็ต้องอาบ เราไปพร้อมกันตอนนี้เลย” บิ๊กพยุงแขนผมเดินตรงไปยังโรงอาบน้ำ