สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 7
เรื่องมันยาวนิด... ผมลองปะติดปะต่อจากปากของคนที่เคยเป็น "ลูกจ้าง" ไขน๊อตในคาวา ได้ความมาว่า....
0 - คาวาญี่ปุ่น จริงๆแล้วไม่ค่อยถนัด (หรือไม่ชอบ) รถเล็กๆ เท่าไหร่นะ
1 - ตลาดสมัยก่อนนู๊นยุค 2T เครื่องไม่เกิน 150 cc คาวาในไทยยังเป็น บ.กลอรี่คาวาซากิ ที่ร่วมทุนกับทางไทย (เสี่ย ปิติ) โดยไทยรับผิดชอบเรื่องการออกแบบ ผลิต และทำการตลาด ซัพพอร์ทเทคโนโลยีจากญี่ปุ่น ส่วนทำไมต้องให้เสี่ยออกแบบรถ 2T ไม่เกิน 150cc ด้วย เหตุผลก็ตามที่บอกใน 0 และคิดว่าคนไทยอย่างเสี่ย ปิติ น่าจะรู้ตลาดและความชอบของคนไทยด้วยกันเองเป็นอย่างดี
2 - เสี่ยปิติ ท่านเป็นคนรักความเร็ว ชอบมอเตอร์ไซค์ ชอบรถแต่ง ชอบกีฬามอเตอร์สปอร์ต ชอบใส่เทคโนโลยีต่างๆมาให้คนใช้ก่อนค่ายอื่นเสมอ (หม้อน้ำ ล้อแมกซ์ ดิสก์เบรค ก็เค้าอ่ะแหละ)
3 - ด้วยเทคโนโลยีที่มี เมื่อญี่ปุ่นโอเค โรงงานไทยประกอบได้ ทุกอย่างก็เลยได้อย่างสั่ง เร็ว แรง ถึก แต่งขึ้น
รถเล็กคาวาสมัยนั้น แกนช็อค สวิงอาร์ม จะใหญ่กว่าตัวอื่นในตลาด และมักจะมีของจุ๊กจิ๊ก อย่าง กันสะบัดมั่ง อาร์มเนียมมั่ง กระเดื่องหลังมั่ง บางทีก็เอา PDK มาร่วมแจม ได้ของแต่งติดมาในรถโรงงานอยู่เรื่อย ...รถคาวาของเสี่ยที่ทำขาย จะแร๊งส์... กว่าชาวบ้านนิดๆ วัยจ๊าบในสมัยนั้นโดดเหยงๆ เพื่อให้ได้เป็นเจ้าของซักคัน (หลายคนตอนนี้อาจข้อเสื่อม พุงใหญ่ โดดไม่ไหวแล้ว) และโชว์ภาพลักษณ์ "รถผู้ชาย" อันดับหนึ่งในไทยมาโดยตลอด... (บางคนอาจจะเคยได้ยินคำว่า ปาดถัง เบาะหนมปัง มาบ้าง)
4 - แต่เสี่ยไม่ใช่อาร์ตติส ไม่ถนัดเรื่องรูปร่าง รูปทรง ทีมออกแบบอาตี๋ออกแบบมายังไง แกก็โอหมด (ยามาฮ่า ตอนเป็นสยามยามาฮ่า ก็อีหรอบเดียวกัน )... และ 2T รุ่นหลังๆ เริ่มมีเค้าลางของความแป้ก ด้วย Tuxedo ที่ไม่เคยแต่งหน้าใหม่เลยซักครั้ง LEO ที่เห่ยมาตั้งแต่แบเบาะ , NEON ที่หน้าตาเดียวกับพี่มัน , และ ZX 150 ที่แม้จะสวยกว่ารุ่นพี่ แต่ก็มาสายเกินไป
5 - พอยุค 4 จังหวะมาถึง (2T รัฐไม่ได้ห้าม แต่แค่กำหนดค่าไอเสียต่ำติดดิน จน 2T ทำไม่ได้ต่างหาก) ตอนนั้นเสี่ยก็ยังดูแลอยู่ แต่ตอนนั้นน้ำมันเริ่มแพง และคนนิยมรถที่ออกแบบได้อย่างสวยงาม ลงตัว และประหยัดน้ำมันแบบฮอนด้ามากขึ้นเรื่อยๆ รถที่ถึก ทน หนา แต่หน้าตาเห่ยโครต เริ่มขายไม่ได้... (ทีม R&D ของฮอนด้า ใหญ่ และเก่งมาก มีการสำรวจวิจัยงานออกแบบจากผู้บริโภคด้วย เพื่อนหัวกะทิของจขกท. ก็ทำงานอยู่ ที่นั่นมีแต่คนที่จบออกแบบระดับเกียรตินิยมเดินเหยียบตีนกันเพียบ)
6 - สุดท้าย คาวาญี่ปุ่นไม่มีทางเลือก ถ้าไม่ทิ้งตลาดนไทยไปเลยโดยการถอนหุ้นและแบรนด์คาวา ก็ต้องซื้อคืนหุ้นทั้งหมดมาทำเองซะ ... ญี่ปุ่นเลือกทางที่สอง คือซื้อแบรนด์กลับมาทั้งหมด พัฒนาและขยายโรงงานซะใหม่ ทำของที่ตัวเองถนัดคือของหย่ายๆ โดยเน้นทำลงเรือขายนอก แล้วเจียดยอดเท่าจิ๋มมดมาแบ่งขายในประเทศ เพราะยังคิดว่าคนไทยคงไม่นิยมรถพวกนี้มาก โดยซื้อและยุบ "กลอรี่คาวาซากิ" ให้กลายเป็น "คาวาซากิ มอเตอร์ เอ็นเตอร์ไพรส์ (ประเทศไทย)" ดูแลงานขายและงานบริการช่วงแรกๆ จนกว่าจะหาดีเลอร์มาขายและซ่อมแทน (โมโต กับ เรียล) ส่วนโรงงานก็แยกกันไป ไม่ต้องขาย ปั๊มรถอย่างเดียวพอ
7 - รถเล็กจึงไม่มี เพราะถ้ามี ก็คงขายแค่ในประเทศไทยและอาเซียน ซึ่งจากบทเรียนที่ผ่านมาก็รู้ๆกันอยู่ว่าขายสู้ H Y S ไม่ได้ สู้เอากำลังการผลิตมาปั๊มรถเทพๆ ราคาแพง ขายประเทศที่มีกำลังซื้อและนิยมรถใหญ่ตามที่ตัวเองมีชื่อเสียงดีกว่า
8 - ย้อนไปในช่วงที่ยอดขายรถเล็กตกต่ำ เสี่ยปิติเริ่มได้กลิ่นไม่สู้ดีจากญี่ปุ่น เลยร่วมหุ้นกับผู้บริหารคนไทยของค่าย Y (ที่อยู่ในสถานการณ์แบบเดียวกัน) ซื้อแฟรนด์ไชส์ที่ชื่อเจ๋งแต่ใกล้เจ๊งอย่าง Cagiva มาทำขาย รุ่นแรกคือ Stella ได้โรงงานอีกค่ายนึงมาทำให้ แต่แพงโหดเกินไปเลยแป้ก หลังจากนั้นผู้บริหารค่าย Y เคลียร์กับญี่ปุ่นลงตัวแล้ว ก็โบกมือลาบอกเสี่ยปิติว่า "เมิงเอาไปทำเองปะ" รุ่นที่ตามมาเสี่ยก็ทำ F4 เองซะเลย แต่อนิจจา Cagiva ที่ใช้ กลับได้มาแต่ชื่อหาได้มีเทคโนโลยีจากต่างดาว เอ๊ย ต่างแดนไม่ ยอดขายเลยฝืด
9 - สุดท้ายจะเสียตัง "เช่า" ป้าย Cagiva มาแปะถังน้ำมันทำหอกไร เมื่อมันช่วย ห่ า ไรไม่ได้เลย เสี่ยเลยตั้งแบรนด์ตัวเองซะ อันเป็นที่มาของ Tiger และเพื่อให้สต๊อก F4 ในโกดังหายไป จึงลอกสติ๊กเกอร์ Cagiva ทิ้ง และแปะ Tiger มาขายให้หลวงซะ ..... กรมตำรวจ (ในตอนนั้น) ปลื้มมากกับรถมอไซค์คนไทย ราคาไม่แพง ... แต่รถเป็นยังไง ต้องไปถามจ่าดู
0 - คาวาญี่ปุ่น จริงๆแล้วไม่ค่อยถนัด (หรือไม่ชอบ) รถเล็กๆ เท่าไหร่นะ
1 - ตลาดสมัยก่อนนู๊นยุค 2T เครื่องไม่เกิน 150 cc คาวาในไทยยังเป็น บ.กลอรี่คาวาซากิ ที่ร่วมทุนกับทางไทย (เสี่ย ปิติ) โดยไทยรับผิดชอบเรื่องการออกแบบ ผลิต และทำการตลาด ซัพพอร์ทเทคโนโลยีจากญี่ปุ่น ส่วนทำไมต้องให้เสี่ยออกแบบรถ 2T ไม่เกิน 150cc ด้วย เหตุผลก็ตามที่บอกใน 0 และคิดว่าคนไทยอย่างเสี่ย ปิติ น่าจะรู้ตลาดและความชอบของคนไทยด้วยกันเองเป็นอย่างดี
2 - เสี่ยปิติ ท่านเป็นคนรักความเร็ว ชอบมอเตอร์ไซค์ ชอบรถแต่ง ชอบกีฬามอเตอร์สปอร์ต ชอบใส่เทคโนโลยีต่างๆมาให้คนใช้ก่อนค่ายอื่นเสมอ (หม้อน้ำ ล้อแมกซ์ ดิสก์เบรค ก็เค้าอ่ะแหละ)
3 - ด้วยเทคโนโลยีที่มี เมื่อญี่ปุ่นโอเค โรงงานไทยประกอบได้ ทุกอย่างก็เลยได้อย่างสั่ง เร็ว แรง ถึก แต่งขึ้น
รถเล็กคาวาสมัยนั้น แกนช็อค สวิงอาร์ม จะใหญ่กว่าตัวอื่นในตลาด และมักจะมีของจุ๊กจิ๊ก อย่าง กันสะบัดมั่ง อาร์มเนียมมั่ง กระเดื่องหลังมั่ง บางทีก็เอา PDK มาร่วมแจม ได้ของแต่งติดมาในรถโรงงานอยู่เรื่อย ...รถคาวาของเสี่ยที่ทำขาย จะแร๊งส์... กว่าชาวบ้านนิดๆ วัยจ๊าบในสมัยนั้นโดดเหยงๆ เพื่อให้ได้เป็นเจ้าของซักคัน (หลายคนตอนนี้อาจข้อเสื่อม พุงใหญ่ โดดไม่ไหวแล้ว) และโชว์ภาพลักษณ์ "รถผู้ชาย" อันดับหนึ่งในไทยมาโดยตลอด... (บางคนอาจจะเคยได้ยินคำว่า ปาดถัง เบาะหนมปัง มาบ้าง)
4 - แต่เสี่ยไม่ใช่อาร์ตติส ไม่ถนัดเรื่องรูปร่าง รูปทรง ทีมออกแบบอาตี๋ออกแบบมายังไง แกก็โอหมด (ยามาฮ่า ตอนเป็นสยามยามาฮ่า ก็อีหรอบเดียวกัน )... และ 2T รุ่นหลังๆ เริ่มมีเค้าลางของความแป้ก ด้วย Tuxedo ที่ไม่เคยแต่งหน้าใหม่เลยซักครั้ง LEO ที่เห่ยมาตั้งแต่แบเบาะ , NEON ที่หน้าตาเดียวกับพี่มัน , และ ZX 150 ที่แม้จะสวยกว่ารุ่นพี่ แต่ก็มาสายเกินไป
5 - พอยุค 4 จังหวะมาถึง (2T รัฐไม่ได้ห้าม แต่แค่กำหนดค่าไอเสียต่ำติดดิน จน 2T ทำไม่ได้ต่างหาก) ตอนนั้นเสี่ยก็ยังดูแลอยู่ แต่ตอนนั้นน้ำมันเริ่มแพง และคนนิยมรถที่ออกแบบได้อย่างสวยงาม ลงตัว และประหยัดน้ำมันแบบฮอนด้ามากขึ้นเรื่อยๆ รถที่ถึก ทน หนา แต่หน้าตาเห่ยโครต เริ่มขายไม่ได้... (ทีม R&D ของฮอนด้า ใหญ่ และเก่งมาก มีการสำรวจวิจัยงานออกแบบจากผู้บริโภคด้วย เพื่อนหัวกะทิของจขกท. ก็ทำงานอยู่ ที่นั่นมีแต่คนที่จบออกแบบระดับเกียรตินิยมเดินเหยียบตีนกันเพียบ)
6 - สุดท้าย คาวาญี่ปุ่นไม่มีทางเลือก ถ้าไม่ทิ้งตลาดนไทยไปเลยโดยการถอนหุ้นและแบรนด์คาวา ก็ต้องซื้อคืนหุ้นทั้งหมดมาทำเองซะ ... ญี่ปุ่นเลือกทางที่สอง คือซื้อแบรนด์กลับมาทั้งหมด พัฒนาและขยายโรงงานซะใหม่ ทำของที่ตัวเองถนัดคือของหย่ายๆ โดยเน้นทำลงเรือขายนอก แล้วเจียดยอดเท่าจิ๋มมดมาแบ่งขายในประเทศ เพราะยังคิดว่าคนไทยคงไม่นิยมรถพวกนี้มาก โดยซื้อและยุบ "กลอรี่คาวาซากิ" ให้กลายเป็น "คาวาซากิ มอเตอร์ เอ็นเตอร์ไพรส์ (ประเทศไทย)" ดูแลงานขายและงานบริการช่วงแรกๆ จนกว่าจะหาดีเลอร์มาขายและซ่อมแทน (โมโต กับ เรียล) ส่วนโรงงานก็แยกกันไป ไม่ต้องขาย ปั๊มรถอย่างเดียวพอ
7 - รถเล็กจึงไม่มี เพราะถ้ามี ก็คงขายแค่ในประเทศไทยและอาเซียน ซึ่งจากบทเรียนที่ผ่านมาก็รู้ๆกันอยู่ว่าขายสู้ H Y S ไม่ได้ สู้เอากำลังการผลิตมาปั๊มรถเทพๆ ราคาแพง ขายประเทศที่มีกำลังซื้อและนิยมรถใหญ่ตามที่ตัวเองมีชื่อเสียงดีกว่า
8 - ย้อนไปในช่วงที่ยอดขายรถเล็กตกต่ำ เสี่ยปิติเริ่มได้กลิ่นไม่สู้ดีจากญี่ปุ่น เลยร่วมหุ้นกับผู้บริหารคนไทยของค่าย Y (ที่อยู่ในสถานการณ์แบบเดียวกัน) ซื้อแฟรนด์ไชส์ที่ชื่อเจ๋งแต่ใกล้เจ๊งอย่าง Cagiva มาทำขาย รุ่นแรกคือ Stella ได้โรงงานอีกค่ายนึงมาทำให้ แต่แพงโหดเกินไปเลยแป้ก หลังจากนั้นผู้บริหารค่าย Y เคลียร์กับญี่ปุ่นลงตัวแล้ว ก็โบกมือลาบอกเสี่ยปิติว่า "เมิงเอาไปทำเองปะ" รุ่นที่ตามมาเสี่ยก็ทำ F4 เองซะเลย แต่อนิจจา Cagiva ที่ใช้ กลับได้มาแต่ชื่อหาได้มีเทคโนโลยีจากต่างดาว เอ๊ย ต่างแดนไม่ ยอดขายเลยฝืด
9 - สุดท้ายจะเสียตัง "เช่า" ป้าย Cagiva มาแปะถังน้ำมันทำหอกไร เมื่อมันช่วย ห่ า ไรไม่ได้เลย เสี่ยเลยตั้งแบรนด์ตัวเองซะ อันเป็นที่มาของ Tiger และเพื่อให้สต๊อก F4 ในโกดังหายไป จึงลอกสติ๊กเกอร์ Cagiva ทิ้ง และแปะ Tiger มาขายให้หลวงซะ ..... กรมตำรวจ (ในตอนนั้น) ปลื้มมากกับรถมอไซค์คนไทย ราคาไม่แพง ... แต่รถเป็นยังไง ต้องไปถามจ่าดู
แสดงความคิดเห็น
อยากทราบครับว่า เดี๋ยวนี้ kawasaki ไม่ทำตลาดรถแม่บ้าน กับรถเกียร์ออโต้แล้วหรือครับ.