ยุคมิคสัญญี บทความในเว็บนี้ ปรากฎอยู่ในพระไตรปิฎก จริงหรือไม่คะ

ยุคมิคสัญญี บทความในเว็บนี้ ปรากฎอยู่ในพระไตรปิฎก จริงหรือไม่คะ
อ่านแล้วน่ากลัวมากค่ะ รู้สึกว่าบางอย่างเริ่มเข้าใกล้ตามพุทธทำนายเข้าไปจริงๆแล้วทุกที

จากเว็บนี้ค่ะ
http://dhammaworld.exteen.com/20080217/entry-1
---------------------------------------------------------------------------------------
ในตำนานมนุษย์ของคติพุทธ ตามที่ได้เล่ากันมา มิคสัญญี เป็นชื่อเรียกยุคสมัยที่มนุษย์มีโครงสร้างทางจิตใจตกต่ำเสื่อม
ทรามที่สุด เพราะมิค (ะ) แปลว่า เนื้อ (ทราย, กวาง, เก้ง, สมัน ฯลฯ…สัตว์ที่ต้องเป็นเหยื่อของสัตว์กินเนื้อขนาดใหญ่)
และ สัญญี แปลว่า รู้หมายได้จำ เมื่อรวมความเป็นมิคสัญญี ท่านว่า ให้หมายถึง สมัยที่มนุษย์ได้นำมนุษย์ด้วยกันมาปรุงเป็นอาหารจานโปรดเพื่อบำรุงท้องแห่งตัณหาของตนนั้นแล

โลกในอดีตยุคหลังกึ่งพุทธกาลแห่งองค์มหาศาสดาสมณโคดมเป็นต้นมา มนุษย์ต่างจิตใจหยาบช้าวิปริต สะสมความโลภ กอบโกยกดขี่ขูดรีดกันเอง ก่อให้เกิดความทุกข์ยากเดือดร้อนข้าวยากหมากแพง ผู้คนเห็นผิดเป็นชอบ เห็นเลวเป็นดี นิยมยก

ย่องเงินตรา ศรัทธาแต่เทคโนโลยีผิด ๆ ที่ทำลายธรรมชาติ ทำลายความเป็นมนุษย์ในตัว กัดกร่อนยางอายจนไม่มีเหลือ ผู้หญิงก็ถือสิทธิจนไม่สนใจวัฒนธรรมอันดีงาม ประพฤติตนยิ้มยั่วชายมากชู้หลายผัว เสียตัวแต่อายุยังน้อย....

....เมื่อความโลภบรรลุถึงขั้นสูง มนุษย์ผู้มีกำลังและเทคโนโลยีชั้นสูงก็ถืออาวุธข่มขู่คุกคามมนุษย์ที่ด้อยกำลังกว่า ก่อสงครามรุกรานแย่งชิงทรัพยากรจากมนุษย์ผู้ด้อยกำลังนั้น มนุษย์ผู้ด้อยกำลังสู้ไม่ได้ก็ต่อสู้ด้วยวิธีลอบโจมตี กลายเป็นสงครามกองโจรกระจายไปทั่วโลก สงครามร้อนระอุทุกหย่อมหญ้า ประชาชนไม่มีความปลอดภัยในชีวิต โจรผู้ร้าย
ก็ชุกชุม เจ้าหน้าที่ผู้ปราบปรามไม่สนใจเพราะมัวใช้วิชาชีพไปรับใช้คนรวย สอพลอผู้มีอำนาจ จนละทิ้งหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยและความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย....

....เมื่อกาลเวลาล่วงเลยพุทธกาลของมหาศาสดาสมณโคดมได้ 3,000 ปี โลกเกิดวิปริต พืชพันธุ์ต่างสูญพันธุ์ไปสิ้น มนุษย์ต้องกินหญ้ากับแก้แทนข้าว ร่างกายจึงแคระแกรนลง อายุก็สั้นลงเหลือเพียง 10 ปี มนุษย์ยคนี้อายุเพียง 5 ขวบก็สามารถแต่งงานอยู่กินกันได้....

....จนล่วงได้ถึง 4,500 ปี ศาสนาทุกศาสนาในโลกนี้ต่างสาบสูญไปสิ้น ไม่มีใครรู้จักศาสนา คนที่ถูกยอมรับคือคนที่มีอาวุธ
มีกำลัง คนในยุคนี้มีจิตใจที่หยาบช้า ทารุณ หากพอใจจะฆ่าใครก็ฆ่าทันทีโดยที่รู้สึกว่าไม่ต่างจากฆ่าเป็ดฆ่าไก่สักตัวเท่านั้น เราเรียกยุคนี้ว่ายุคมิคสัญญี หรือ นึกว่าเนื้อ คือฆ่าคนสักคนก็มีความรู้สึกแค่ฆ่าสัตว์สักตัวเท่านั้น....

....ลุล่วงจนถึง 5,000 ปี มนุษย์ผู้มีอาวุธต่างพากันก่อสงครามเพื่อความเป็นใหญ่บนโลกแต่เพียงผู้เดียว ในยุคนี้ ทุกประเทศต่างมีอาวุธนิวเคลียร์อยู่ในมือทั้งสิ้น สงครามที่ดุเดือดและโหดร้ายถูกมนุษย์ก่อขึ้นอย่างรุนแรงที่สุด แผ่นดินทุกตารางนิ้วเต็มไปด้วยการเข่นฆ่า บนท้องฟ้าก็เต็มไปด้วยห่าฝนอาวุธ ทั้งจรวด ระเบิด ลูกกระสุนปืนที่ทุกฝ่ายระดมยิงเข้าใส่กันอย่างเมามันสงครามหฤโหดดำเนินไปเป็นเวลานาน จนคนของแต่ละฝ่ายบาดเจ็บ พิการและล้มตายจนเกลื่อนแผ่นดิน แต่สงครามก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง มนุษย์เริ่มขาดแคลนทุกอย่างต้องดื่มน้ำในแม่น้ำที่เต็มไปด้วยซากศพและเลือดจน
น้ำเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน ไม่นานโรคร้ายก็ระบาดอย่างรวดเร็ว คร่าชีวิตมนุษย์ให้ล้มตายลงโดยไม่มีผู้ใดดูแลรักษาเยียวยา
ต่อมา เมื่อถึงจุดสุดท้ายของสงคราม มนุษย์ต่างใช้อาวุธที่มีอยู่ในมือจนหมด เหลือเพียงอาวุธชิ้นสุดท้ายคืออาวุธนิวเคลียร์ ทุกประเทศต่างกดปุ่มยิงอาวุธนิวเคลียร์ของตนไปยังประเทศฝ่ายตรงข้าม บนท้องฟ้าจึงเต็มไปด้วยดวงอาทิตย์ที่เกิดจากอำนาจนิวเคลียร์เป็นร้อยเป็นพันลูก....
ความร้อนแรงเทียบเท่าดวงอาทิตย์ของลูกไฟนิวเคลียร์ ได้เผาผลาญทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้จนเป็นฝุ่นผงไปในพริบตา แม้มหาสมุทรยังแห้งขอดด้วยอำนาจของอาวุธนิวเคลียร
ยุคมิคสัญญี ไม่ใช่ยุคที่มนุษย์มีจิตใจเสมอสัตว์ หากแต่ยิ่งกว่าสัตว์ เพราะสัตว์ดิ้นรนเอาตัวรอดและแสวงหาผลประโยชน์โดยใช้ความจำและสัญชาตญาณเท่านั้น แต่มนุษย์สร้างสรรค์สติปัญญาให้เป็นเครื่องมือของสัญชาตญาณ คือเอาสัญชาตญาณนำปัญญา อันตรายชั่วร้ายกว่าสัตว์ ซึ่งสัญชาตญาณที่ว่าเนี้ย ตามหลักจิตวิทยาฝ่ายพุทธท่านว่าเป็น “ของเสีย” ที่เกิดมาจาก “การหมัก” ของกองขยะ ๔ กองเหตุ
การณ์ด้วยกันมี กามาสวะ (หมักจากกาม) ,ภวาสวะ (หมักจากความยึดถือว่าต้องมีต้องเป็น) , ทิฏฐาสวะ (หมักจากความยึดถือ
ว่าตนรู้ตนเห็น), และกองขยะที่สำมะคัญที่สุดในกระบวนการหมักขั้นสุดท้าย คือ อวิชชาสวะ…การหมักไว้ซึ่ง “ความรู้ที่ตนเองไม่ได้พิสูจน์ด้วยจิตอันบริสุทธิ์เฉพาะตน”
โบราณท่านเล่าไว้ อันว่ายุคมิคสัญญีนี้ มนุษย์ผู้หญิงเพียงมีอายุ ๕ ขวบ ๑๐ ขวบ ก็ถูกกระทำให้มีสามีแล้ว และ มนุษย์ผู้ชายก็ย่อมแก่งแย่งหมกมุ่นอยู่แต่ในเรื่องนี้ กระทำการทุกอย่างเพื่อให้ได้มาอย่างว่า ส่วนสัตว์และมนุษย์ที่ไม่ยอมให้สติปัญญาถูกสัญชาตญาณเข้าครอบงำ ย่อมทนอยู่ในสังคมนั้น ๆได้ยากจะพยายามปลีกตัวหรือถูกบังคับให้อยู่โดดเดี่ยวเหมือนฤษีชีไพรในตำนาน กลายเป็นโยคีทะเลทราย (เพราะป่าไม่มี) ดาบสป่าคอนกรีตไป พวกนี้แหละที่ถูกกดดันให้ต้องแสวงหาวิวัฒนาการระบบโครงสร้างของจิตใจขึ้นใหม่
ช่วงที่มนุษย์ผู้หญิง อายุ ๕ ขวบ ๑๐ ขวบ ถูกกระทำให้มีสามีแล้วกลับมีมนุษย์ใช้จริยธรรมนำปัญญาสร้างคุณภาพชีวิตกระทั่งวิวัฒนาการอายุขัยของมนุษย์ ให้ยืดออก
ไปจนนับได้ถึง ๑ อสงไขยปีแล้วกลับตกต่ำลงมาคืนหา ๕ ขวบ ๑๐ ขวบ อีก โบราณท่านเรียกช่วงคลื่นความถี่ของเหตุการณ์
ช่วงอย่างนี้ว่า “๑ อันตรากัป” และมิคสัญญี ก็คือ จุดต่ำสุด (Minimum) ของคลื่นความถี่อันตรากัปนี้

ข้อความการเกิดสงครามล้างโลก ผมได้คัดมาจากพุทธทำนายที่ปรากฎตามพระไตรปิฎก คัมภีร์พระสูตร ขุทฺทกนิกายฺ
มชฺฌิมวคฺค และสงครามนิวเคลียร์ จากพระสุริยสุตฺตํ โดยปรับปรุงข้อความใหม่ให้เป็นยุคปัจจุบันมากขึ้นโดยธรรมาธิษฐานคับ.....
....สงครามล้างโลก ปรากฎในคัมภีร์ของทุกศาสนา รวมทั้งศาสดาองค์ใหม่ของโลก ที่เราเรียกว่าพระศรีอาริยะเมตตรัยนั้น ตามพระคริสตธรรมคัมภีร์เรียกว่า พระเมษโปฎก คับ....


....ผมพยายามกระตุ้นเตือนสติเสมอมาว่าอย่าประมาท พุทธทำนายนั้นปรากฏเป็นจริงทุกประการในยุคปัจจุบัน ความอุบาทว์
วิปริต วุ่นวายเกิดขึ้นทุกหย่อมหญ้า เพราะจิตใจคนถอยห่างจากศีลธรรม....

....มนุษย์ผู้หลงระเริง สนุกสนานกับการทำลายศีลธรรม ตายไปตกนรกแล้วจะกลับมาเกิดในยุคมิคสัญญี ให้เขาฆ่าเล่นอีกหลายยกจนกว่าจะตายด้วยพิษของสงคราม.....

....มนุษย์ผู้ไม่ประมาท หมั่นรักษาศีล เจริญภาวนา ดำรงเมตตาธรรม รักษาวัฒนธรรม เมื่อตายจากชาตินี้ จะได้ไปสู่ภพที่ดี และกลับมาเกิดใหม่ในดินแดนแห่งศรีอาริยะ โดยไม่ต้องผ่านยุคลำเค็ญต่าง ๆ ดั่งที่ว่า
---------------------------------------------------------------------------------------
จากเว็บนี้ค่ะ
http://dhammaworld.exteen.com/20080217/entry-1
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 1
๓. จักกวัตติสูตร
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/sutta_line.php?B=11&A=1189
   อรรถกถา
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=11&i=33

[๔๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย จักมีสมัยที่มนุษย์เหล่านี้มีบุตรอายุ ๑๐ ปี ใน
เมื่อมนุษย์มีอายุ ๑๐ ปี เด็กหญิงมีอายุ ๕ ปี จักสมควรมีสามีได้ ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑๐ ปี รสเหล่านี้คือเนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง
น้ำอ้อย และเกลือ จักอันตรธานไปสิ้น ดูกรภิกษุทั้งหลายในเมื่อมนุษย์ มีอายุ
๑๐ ปี หญ้ากับแก้ ๑- จักเป็นอาหารอย่างดี ดูกรภิกษุทั้งหลายเปรียบเหมือนข้าวสุก
ข้าวสาลีระคนกับเนื้อสัตว์ จักเป็นอาหารอย่างดี ในบัดนี้ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑๐ ปี หญ้ากับแก้ก็จักเป็นอาหารอย่างดี ฉันนั้นเหมือนกัน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑๐ ปี กุศลกรรมบถ ๑๐ จักอันตรธานไปหมด
สิ้น อกุศลกรรมบถ ๑๐ จักรุ่งเรืองเหลือเกิน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ
๑๐ ปี แม้แต่ชื่อว่ากุศลก็จักไม่มี และคนทำกุศลจักมีแต่ไหน ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑๐ ปี คนทั้งหลายจักไม่ปฏิบัติชอบในมารดา จักไม่ปฏิบัติ
ชอบในบิดา จักไม่ปฏิบัติชอบในสมณะ จักไม่ปฏิบัติชอบในพราหมณ์ จักไม่
ประพฤติอ่อนน้อมต่อท่านผู้ใหญ่ในตระกูล เขาเหล่านั้นก็จักได้รับการบูชา และ
ได้รับการสรรเสริญ เหมือนคนปฏิบัติชอบในมารดา ปฏิบัติชอบในบิดา ปฏิบัติ
ชอบในสมณะ ปฏิบัติชอบในพราหมณ์ ประพฤติอ่อนน้อมต่อท่านผู้ใหญ่ใน
ตระกูล ในบัดนี้ ฯ
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑๐ ปี เขาจักไม่มีจิตคิดเคารพ
ยำเกรงว่า นี่แม่ นี่น้า นี่พ่อ นี่อา นี่ป้า นี่ภรรยาของอาจารย์ หรือว่านี่ภรรยา
ของท่านที่เคารพทั้งหลาย สัตว์โลกจักถึงความสมสู่ปะปนกันหมด เปรียบเหมือน
แพะ ไก่ สุนัขบ้าน สุนัขจิ้งจอก ฉะนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ
๑๐ ปี สัตว์เหล่านั้นต่างก็จักเกิดความอาฆาต ความพยาบาท ความคิดร้าย ความ
คิดจะฆ่าอย่างแรงกล้าในกันและกัน มารดากับบุตรก็ดี บุตรกับมารดาก็ดี บิดากับ
บุตรก็ดี บุตรกับบิดาก็ดี พี่ชายกับน้องหญิงก็ดี น้องหญิงกับพี่ชายก็ดี จักเกิดความ
อาฆาต ความพยาบาท ความคิดร้าย ความคิดจะฆ่ากันอย่างแรงกล้า นายพราน
เนื้อเห็นเนื้อเข้าเกิดความอาฆาต ความพยาบาท ความคิดร้าย ความคิดจะฆ่า
อย่างแรงกล้าฉันใด ฉันนั้นเหมือนกัน ฯ
             [๔๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑๐ ปี จักมีสัตถันตรกัป
สิ้น ๗ วัน มนุษย์เหล่านั้นจักกลับได้ความสำคัญกันเองว่าเป็นเนื้อ ศัสตราทั้ง
หลายอันคมจักปรากฏมีในมือของพวกเขา พวกเขาจะฆ่ากันเองด้วยศัสตราอันคม
นั้นโดยสำคัญว่า นี้เนื้อ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้น สัตว์เหล่านั้น บางพวกมี
ความคิดอย่างนี้ว่า พวกเราอย่าฆ่าใครๆ และใครๆ ก็อย่าฆ่าเรา อย่ากระนั้น
เลย เราควรเข้าไปตามป่าหญ้าสุมทุมป่าไม้ ระหว่างเกาะ หรือซอกเขา มีรากไม้
และผลไม้ในป่าเป็นอาหารเลี้ยงชีวิตอยู่ เขาพากันเข้าไปตามป่าหญ้าสุมทุมป่าไม้
ระหว่างเกาะหรือซอกเขา มีรากไม้และผลไม้ ในป่าเป็นอาหารเลี้ยงชีวิตอยู่ตลอด
๗ วัน เมื่อล่วง ๗ วันไป เขาพากันออกจากป่าหญ้าสุมทุมป่าไม้ ระหว่างเกาะ
ซอกเขา แล้วต่างสวมกอดกันและกัน จักขับร้องดีใจอย่างเหลือเกินในที่ประชุม
ว่า สัตว์ผู้เจริญ เราพบเห็นกันแล้ว ท่านยังมีชีวิตอยู่หรือๆ ฯ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่